ตอนที่แล้วตอนที่ 28 ขายผลยกวิญญาณ… ยาทุ่งสมุทร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 30 พบเจียงโม่หลีอีกครั้ง…

ตอนที่ 29 ตอบโต้!


ตอนที่ 29 ตอบโต้!

จี้เตี๋ยนำยาทุ่งสมุทรที่เพิ่งซื้อมากลับไปยังถ้ำ สุดท้ายจึงปิดปากถ้ำลงอีกครั้ง

“ยาทุ่งสมุทร! เจ้านั่นบอกว่าแค่กินเข้าไปจะช่วยเร่งความเร็วการฝึกตนเป็นสองเท่า มันจะวิเศษขนาดนั้นจริงหรือ?” จี้เตี๋ยหยิบยาขึ้นมามองด้วยความสงสัย มันเป็นเม็ดยาที่เล็กกว่านิ้วมือเล็กน้อย เรียกได้ว่าไม่เหมือนยามุ่งอำพัน เพราะมันมีสีขาวสว่างทั้งเม็ด และยังปรากฏรอยนูนไปมาบนพื้นผิว

เขาที่รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งส่งยาเข้าปาก สุดท้ายจึงหลับตาลง จนกระทั่งผ่านไปสามชั่วโมงจึงลืมตาตื่น พร้อมพยายามตระหนักรู้ถึงปราณวิญญาณภายในร่างกาย

“ความเร็วการฝึกฝนเกือบจะเป็นสองเท่าจากปกติจริง ๆ การฝึกฝนสามชั่วโมงที่ผ่านมา แทบจะเทียบเท่าการทุ่มเทฝึกฝนอยู่ทั้งวัน นี่มันเร็วยิ่งกว่าใช้ศิลาวิญญาณฝึกฝนด้วยซ้ำ”

“ศิลาวิญญาณที่จ่ายไปถือว่าสมเหตุสมผล!”

จี้เตี๋ยหลับตาขณะส่งยาทุ่งสมุทรเข้าปากเพิ่มอีกเม็ดหนึ่ง

ยาทุ่งสมุทรทั้งสามขวด รวมกันแล้วมีทั้งสิ้นสิบห้าเม็ด

ไม่กี่วันถัดมา จี้เตี๋ยไม่เคยออกมาภายนอก จนกระทั่งใช้ยาทุ่งสมุทรทั้งสามขวดจนหมด เขาจึงก้าวเดินออกมาจากถ้ำเพื่อคิดไปหาซื้อมาใช้เพิ่มเติม

ก่อนออกเดินทาง เขายกระดับสมุนไพรวิญญาณในถุงมิติที่มี เพื่อเตรียมไปขายแลกเปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณ

“หญ้าวิญญาณหยกอายุร้อยปี เหตุใดสีของหญ้าวิญญาณหยกจึงกลายเป็นสีครามกันนะ สรรพคุณทางยาของมันน่าจะเหนือกว่าหญ้าวิญญาณหยกทั่วไปแล้ว เกรงว่าน่าจะอายุหลายร้อยปีด้วยซ้ำ”

“กล่าวไปแล้วยังมีกรณีคล้ายดอกยี่หุบ ตามปกติแล้วมันจะมีแค่สามใบ แต่ของเจ้ามีสี่ใบ…”

ที่ลานกว้าง ต้วนคุนที่พบเห็นสมุนไพรวิญญาณซึ่งจี้เตี่ยนำออกมา เขาแทบเผยดวงตาถลนออกมาจากเบ้า

ไม่ใช่ว่าสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้หายาก แต่มันเป็นของที่หาได้ธรรมดาสามัญด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่พวกมันจะถูกใช้เพื่อปรุงเป็นยาขั้นกลาง

เพียงแต่คุณภาพของสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ มันห่างไกลเกินกว่าสมุนไพรวิญญาณปกติจะเทียบได้

หากกล่าวถึงประสิทธิภาพจากยาที่ปรุงขึ้นโดยสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ มันย่อมเหนือกว่ายาที่ใช้สมุนไพรวิญญาณทั่วไปอย่างแน่นอน

“คิดว่าจะขายได้สักเท่าไหร่?” จี้เตี๋ยในเวลานี้แทบจะได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของตนเอง กระทั่งน้ำเสียงเริ่มแห้งผาก

“คิดว่า หากเจ้าไม่คิดว่ามันน้อยจนเกินไป ข้าประเมินราคาให้หนึ่งร้อยศิลาวิญญาณ!” ต้วนคุนกัดฟันตอบ

“อย่างไรเสียสมุนไพรวิญญาณก็ต้องจับคู่กับคนที่เหมาะสม หากจะขายมันให้ได้ราคาดีก็ต้องหาคนซื้อที่ต้องการพวกมันให้ได้เสียก่อน! สมุนไพรวิญญาณทั้งสองนี้ไม่ได้ใช้เพื่อปรุงเป็นยาส่งเสริมการฝึกตน ดังนั้นข้าที่รับซื้อเอาไว้จึงมีความเสี่ยงอยู่บ้าง” คำกล่าวของต้วนคุนไม่ได้หลอกลวง เพราะเขาต้องรับผิดชอบนำพวกมันไปออกขาย โดยแบกความเสี่ยงว่าจะมีลูกค้ากระเป๋าหนักยอมจ่ายหรือไม่

หากว่าหาคนซื้อไม่ได้ ก็ถือเป็นการลงทุนที่เสียเปล่า

“ข้าขอแลกกับยาทุ่งสมุทร” จี้เตี๋ยไม่คิดต่อรองราคา

“ตอนนี้เหลือยาทุ่งสมุทรแค่สองขวด ส่วนต่างข้าจะให้เป็นศิลาวิญญาณก็แล้วกัน”

“ตกลง”

จี้เตี๋ยพยักหน้าตอบ พร้อมกับรับยาทุ่งสมุทรและศิลาวิญญาณที่เป็นส่วนต่างมา และเขายังไม่คิดเร่งร้อนกลับถ้ำแต่อย่างใด

อย่างไรเสียต้วนคุนก็ไม่ใช่ผู้ขายในยอดเขาโอสถเพียงหนึ่งเดียว ที่นี่ยังมีนักปรุงยาอีกมากที่พร้อมขาย

ตราบเท่าที่เดินสำรวจทั่วยอดเขาโอสถ เช่นนั้นย่อมได้พบศิษย์สำนักที่พร้อมขายยา! และคนเหล่านี้ไม่ใช่ตัวนักปรุงยา แต่เป็นผู้ติดตามของนักปรุงยาอีกทีหนึ่ง

จี้เตี๋ยขายผลยกวิญญาณอีกจำนวนหนึ่งที่มี รวมกับศิลาวิญญาณหกสิบก้อนที่มีอยู่กับตัวและยาสองขวดที่ซื้อมาแต่เดิม รวมแล้ววันนี้เขาได้ยาทุ่งสมุทรมาทั้งสิ้นแปดขวด

และมันมากพอสำหรับใช้งานได้ถึงสิบวัน

“ระดับการฝึกตนปัจจุบันของเราไม่น่าจะด้อยไปกว่าสิงจงอะไรนั่นมากแล้ว หากอนาคตเผชิญหน้ากัน กรณีมันไม่ใช้คาถากลายเป็นหินอะไรนั่น โอกาสชนะก็น่าจะราวครึ่งต่อครึ่ง”

เวลาแห่งการฝึกฝนผ่านไปไวเสมอ เพียงพริบตาก็ผ่านไปแล้วสิบวัน

จี้เตี๋ยใช้ยาทุ่งสมุทรทั้งแปดขวดจนหมด ขณะนี้จึงลืมตาจากห้วงสมาธิ ตระหนักรู้ถึงพลังวิญญาณภายในร่าง ความมั่นใจในปัจจุบันของเขาเพิ่มพูน ว่าหากได้พบสิงจงอีกครั้งจะต้องไม่มีทางอับอายเหมือนครั้งก่อนหน้า!

เขาไม่ใช่คนที่จะพึงพอใจเพียงเท่านี้ ภายหลังลุกขึ้นยืดเส้นสาย ปัดฝุ่นตามเนื้อตัว ถัดจากนั้นจึงออกจากถ้ำอีกครั้ง เพื่อไปขายผลยกวิญญาณและซื้อยาทุ่งสมุทรต่อ

แต่ขณะกำลังกลับไปยังถ้ำ นาคาอัคคียาวครึ่งฉื่อพลันปรากฏตัวจากทางด้านหลัง

ภายใต้ความร้อนที่แผ่พุ่งเข้าหา ขนทั่วกายของเขาพลันลุกชี้ชันประหนึ่งรับรู้ความเย็นเยือก

โชคดีที่จี้เตี๋ยตอบสนองรวดเร็ว เขาหันกลับไปซัดหมัดเข้าใส่

ตู้ม! นาคาอัคคีแตกสลายคาที่ เพียงแต่แขนเสื้อของเขากว่าครึ่งไหม้เป็นธุลี ผิวกายที่เผยออกเพราะแขนเสื้อไหม้เลือนหาย มันปรากฏรอยความร้อนที่ถูกเผาจนเกรียม

“มีเหตุผลอะไรได้โจมตีกันอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้กัน?!” จี้เตี๋ยหันไปต่อว่าด้วยสายตาหรี่ลงเล็ก เมื่อมองกลับไปจึงพบเห็นชายหนุ่มที่เดินเข้ามาใกล้ด้วยสายตาเย็นเยือก

“การตอบสนองของเจ้ารวดเร็ว สามารถทำลายนาคาอัคคีของข้าได้ด้วย! เหมือนว่าอย่างน้อยก็เป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ ไอ้หนู ส่งถุงมิติมาให้ไว แล้วข้าจะละเว้นชีวิตเจ้า!” ชายหนุ่มแผ่พลังการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ออกมาจากทั่วทั้งร่าง แต่กลับสวมใส่หน้ากากเอาไว้ราวกับกลัวใครล่วงรู้ตัวตน อีกฝ่ายคือหลิวเหวินปิน เป็นศิษย์คนหนึ่งของยอดเขาโอสถ

หลายวันที่ผ่านมาจี้เตี๋ยนำผลยกวิญญาณมาขายที่ยอดเขาโอสถจำนวนไม่น้อย มันคือการกระทำดึงดูดความสนใจ เขาที่เกิดความละโมบจึงคิดอยากปล้นชิง!

“คิดปล้นชิงข้า?” จี้เตี๋ยมองด้วยสายตาเย็นเยียบ ราวกับเพิ่งเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย

“รู้ก็ดี!” หลิวเหวินปินตะโกนเสียงดังตอบ เขากำลังกังวลอยู่ว่าเสียงอึกทึกทางด้านนี้จะกระตุ้นความสงสัยของศิษย์คนอื่น เวลานี้จึงหยุดพูดพล่ามพร้อมบุกทะยานซัดหมัดเตรียมจบการต่อสู้อย่างรวดเร็ว

เนื่องจากเขาเป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่สี่จุดสูงสุด ต่อให้จี้เตี๋ยกำจัดนาคาอัคคีของเขาได้ก็ไม่ใช่เรื่องต้องใส่ใจจริงจัง กระทั่งคิดเพียงแค่ว่าอีกฝ่ายคือผู้ฝึกตนที่เพิ่งสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่

เพียงแต่ผู้ใดกันคาดคิด ว่าทันทีที่เขาขยับเคลื่อนไหว จี้เตี๋ยกลับหายตัวจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ไปอย่างลึกลับไร้ร่องรอย

“ความเร็วบ้าอะไรกัน” หลิวเหวินปินโจมตีพลาด หากจะโดนก็เป็นแค่ภาพติดตา เวลานี้เองที่เขาตระหนักถึงสังหรณ์ลางร้ายขึ้นมา

ขณะพยายามหาตำแหน่งที่อยู่ของจี้เตี๋ย เขาตระหนักได้ว่าแผ่นหลังของตนเองโดนวัตถุอันหนักอึ้งนับพันจินเข้าเล่นงานจนต้องกระอักเลือด ก่อนร่างจะกระเด็นไปฟาดและล้มกองกับโคนต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกล

นัยน์ตาของเขาแสดงความหวาดกลัวออกมา เพราะตระหนักทราบดีว่ากระดูกในกายหลายท่อนแตกหัก ตัวเขาไม่อาจลุกขึ้น สิ่งเดียวที่ทำได้คือจ้องมองจี้เตี๋ย

“แกไม่ใช่ผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่สี่!”

“ข้าก็ไม่เคยตอบว่าใช่!” จี้เตี๋ยเผยสายตาเย็นเยือกขณะก้าวเท้าเข้าหาอีกฝ่าย

หลิวเหวินปินเผยสายตาหมองหม่น เขาทราบดีว่าตนเองจนตรอกแล้ว ขณะนี้จึงพยายามอดกลั้นต่อความเจ็บปวด เพื่อลุกขึ้นและหลบหนี

“คิดว่าจะหนีพ้น?” จี้เตี๋ยแค่นเสียง เพราะเขาไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายคิดมาก็มาคิดไปก็ไป เวลานี้จึงปะทุความเร็วทะยานร่างออกไปคว้าคอของเป้าหมายเอาไว้ในพริบตา

“เจ้า… เจ้าคิดทำอะไร? รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ หากกล้าฆ่าคนในสำนักเจ็ดลึกล้ำ เหล่าผู้อาวุโสจะไม่มีทางปล่อยเจ้ารอดพ้น!” หลิวเหวินปินร้องตะโกน นัยน์ตาเวลานี้เผยเพียงแต่ความหวาดกลัว

“ส่งถุงมิติของเจ้ามา ลบล้างรอยพันธะทิ้งให้เรียบร้อยด้วย” ดวงตาของจี้เตี๋ยทอประกายเย็นเยือก ทั้งที่เขาเดินทางมายอดเขาโอสถเพื่อฝึกฝนโดยสงบ ไม่ใช่คิดมาสร้างปัญหาจนไร้ที่อยู่อาศัย

แต่ในเมื่ออีกฝ่ายคิดปล้นชิง เขาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมอยู่เฉยและปล่อยไปเช่นกัน!

“ถุงมิติ อย่าฝัน…”

“ข้าจะพูดแค่ครั้งเดียว” จี้เตี๋ยเริ่มออกแรงบีบคอมากขึ้น

“แค่ก แค่ก! ยอมแล้ว! ข้าจะลบล้างรอยพันธะให้! ปล่อยข้า!” ยามตระหนักถึงคลื่นยักษ์ที่เรียกว่าความตายกำลังจะกลืนกินตนเอง หลิวเหวินปินหวาดกลัวจนยอมลบล้างรอยพันธะของถุงมิติอย่างเชื่อฟัง

“ไสหัวไป!” ภายหลังจี้เตี๋ยยืนยันแล้วว่ารอยพันธะของถุงมิติถูกลบล้าง เขาจึงเก็บถุงมิติดังกล่าวมาก่อนจะโยนร่างอีกฝ่ายทิ้ง

“ฝากไว้ก่อนเถอะ กล้าปล้นชิงของของข้างั้นหรือ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้ารอดพ้นแน่ ไอ้หนู กล้าดีก็เสนอหน้าอยู่อย่าคิดหลบหนีเชียว!”

ผู้ใดกันทราบได้ ว่าภายหลังอีกฝ่ายถูกปล่อยตัวจะยังวางตัวโอหังเช่นเดิม

แต่พอจี้เตี๋ยหันมองตอบ ก็พบว่าอีกฝ่ายหลบหนีไปเรียบร้อยแล้ว

“คงอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้วสินะ!”

5 3 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด