ตอนที่ 28 ขายผลยกวิญญาณ… ยาทุ่งสมุทร
ตอนที่ 28 ขายผลยกวิญญาณ… ยาทุ่งสมุทร
ยอดเขาโอสถ หากมองจากภายนอกจะพบว่ามีสิ่งปลูกสร้างบนภูเขาไม่มาก ทั้งยังกระจัดกระจาย ส่วนใหญ่อยู่ตามเนินเขา และอีกครึ่งซ่อนอยู่ในหมู่เมฆ
“ให้ตายสิ!” จี้เตี๋ยที่ไม่คุ้นเคยกับพื้นที่แถบนี้ พอมาถึงจึงต้องเดินเตร่ไปทั่ว
ขณะเดียวกัน เขาก็สบถก่นด่าต่อกลุ่มคนที่ปล่อยข่าวลือออกไป แต่แล้วทันใดนี้เองที่เสียงอึกทึกดังขึ้นค่อนข้างใกล้ ทำให้เขาต้องหันไปมอง
เสียงดังกล่าวคล้ายจะดังมาจากเนินเขาที่อยู่ไม่ไกล เป็นศิษย์ในชุดเขียวคนหนึ่งผลักก้อนหินใหญ่เพื่อก้าวเดินออกมาจากถ้ำ
ถ้ำดังกล่าวคล้ายจะเป็นบ้านของอีกฝ่าย ภายหลังออกมาแล้วเขาจึงผลักก้อนหินกลับเข้าที่คล้ายเป็นการปิดประตู
จี้เตี๋ยเกิดประหลาดใจ เพราะไม่คาดคิดว่าจะมีคนอาศัยอยู่ในถ้ำจริง ๆ
เขาไม่ทราบว่าศิษย์ของยอดเขาโอสถมากมายที่สำเร็จการกลั่นลมปราณระดับกลางหรือสูงกว่า มักจะปลีกวิเวกไปฝึกฝนภายในถ้ำเพื่อเก็บตัว ทางหนึ่งเพราะต้องการความสงบ อีกทางหนึ่งเพราะไม่อยากให้ใครมารบกวนในระหว่างการปรุงยา
และภายหลังศิษย์คนนั้นผลักหินกลับไปปิดปากถ้ำ อีกฝ่ายมองมาทางจี้เตี๋ยด้วยสายตาระแวดระวัง
จี้เตี๋ยกลัวจะเกิดเรื่องเข้าใจผิด เวลานี้จึงประสานมือตอบก่อนจะเร่งร้อนเว้นระยะออกมา เพียงแต่ถ้ำของอีกฝ่ายกลับสร้างแรงบันดาลใจให้
เขาเริ่มมองหาสถานที่ที่ไม่ค่อยมีคน ก่อนจะใช้ไม้ต่างอุปกรณ์ขุดดินเพื่อเริ่มสร้างถ้ำสำหรับอยู่อาศัยชั่วคราวของตนเอง
ภายในถ้ำย่อมเรียบง่าย แน่นอนว่าไม่มีเครื่องเรือน กระทั่งเตียงนอนก็ไม่มี ทางเข้าออกก็ใช้ก้อนหินมาขวางเอาไว้ จนปัจจุบันจี้เตี๋ยกำลังนั่งเดียวดายที่กลางถ้ำ
“ตอนนี้เรากลับพื้นที่โรงนาไม่ได้เป็นการชั่วคราว เว้นแต่จะสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่หก ส่วนการไปจากสำนักเจ็ดลึกล้ำออกจะยากไปบ้าง ไม่งั้นคงได้โดนกระทำเหมือนคนทรยศ สุดท้ายคงถูกไล่ล่าจนตาย”
“เพราะแบบนั้นคงต้องซ่อนตัวอยู่ที่ยอดเขาโอสถนี้สักระยะ”
หลายชั่วโมงผ่านพ้นจนกระทั่งฟ้ามืด จี้เตี๋ยหลับตาและวางแผน ว่าพรุ่งนี้จะออกไปตรวจสอบดูว่าสามารถขายสมุนไพรวิญญาณและผลยกวิญญาณที่มีในถุงมิติได้หรือไม่
ขณะเดียวกัน เขาก็อยากดูว่าพอจะหาซื้อยาอะไรที่ช่วยส่งเสริมการฝึกตนได้บ้าง
จี้เตี๋ยถอนหายใจ เขายังคงก่นด่าสาปแช่งผู้ปล่อยข่าวลือไปทั่ว แต่สุดท้ายก็เริ่มการฝึกฝน จนกระทั่งเวลาล่วงเลยถึงวันถัดมา เขาจึงผลักเปิดประตูก้อนหินออกมาจากถ้ำ
ศิษย์ส่วนใหญ่ของยอดเขาโอสถต่างก็มีถ้ำเป็นของตนเองกระจัดกระจายกันอยู่ทั่ว ทำให้ระหว่างทางแทบไม่พบผู้คน และยามมองขึ้นไปจะได้เห็นหอสูงสีทองที่ยอดเขา เพียงแต่เขาไม่ทราบว่ามันเป็นสถานที่ไว้ใช้ทำอะไร
ส่วนสถานที่ซึ่งต้วนคุนพาเขาไปวันก่อน มันอยู่ระหว่างครึ่งทางขึ้นภูเขา กล่าวคืออยู่ค่อนข้างไกลห่างจากตรงนี้พอสมควร
จี้เตี๋ยเดินไปต่อจนกระทั่งถึงลานกว้าง วันนี้มีศิษย์สำนักแวะเวียนมาที่นี่น้อยกว่าวันก่อนที่เขาเคยมา ทั้งยังมีศิษย์เพียงแค่หนึ่งหรือสองคนที่มาตั้งร้านขายยา
“เจ้านี่เอง ทะลวงการกลั่นลมปราณขั้นที่ห้าได้แล้วหรือ เหมือนจะได้ยาทะลวงขอบเขตไปจริงสินะ!” เรื่องราวเกินคาด ต้วนคุนยังคงอยู่ที่นี่ เป็นร้านเดิมที่อีกฝ่ายเคยพามาเมื่อวันก่อน เพียงแต่ปัจจุบันเขาเป็นเจ้าของร้านเสียเอง ยามพบเห็นจี้เตี๋ย เขาจึงทักทายด้วยสายตาเป็นประกาย
“ก็นะ… ว่าแต่ทำไมวันนี้ถึงมาตั้งร้านเองล่ะ…” จี้เตี๋ยเองก็พบเห็นอีกฝ่าย เวลานี้จึงพยักหน้าและทักทายเป็นการตอบรับ
“ลูกพี่ของข้ามีธุระต้องไปทำพอดี จะว่าไปแล้วเจ้าไปหาดอกยี่หุบม่วงสี่ใบมาได้เช่นไร?” บังเอิญว่าช่วงเวลานี้ไม่มีลูกค้า ต้วนคุนที่เป็นคนกระตือรือร้นจึงพูดคุยด้วยอย่างสนุกสนาน
“วีรบุรุษไม่ควรกล่าวถึงที่มา สอบถามเรื่องที่มาที่ไปของสมุนไพรวิเศษยิ่งแล้วใหญ่” จี้เตี๋ยมองอีกฝ่ายก่อนจะตอบอย่างเป็นอุปมาอุปไมย
“น่าสนใจดี วันนี้เจ้ามายอดเขาโอสถเพื่อซื้อยางั้นหรือ?” ภายหลังต้วนคุนครุ่นคิดตาม พบว่ามันเป็นคำเปรียบเปรยที่สมเหตุสมผล ดังนั้นจึงเปลี่ยนเรื่อง
ในโลกของผู้ฝึกตนไม่เคยหน่ายอุบายและกลลวง สมุนไพรวิญญาณหรือยาวิเศษล้วนเป็นสิ่งล้ำค่าที่ง่ายต่อการถูกขโมย ดังนั้นจึงไม่มีใครยอมกล่าวบอกที่มาที่ไปโดยไร้เหตุผล
“ทั้งใช่และไม่ใช่” จี้เตี๋ยไม่ตอบให้ชัดเจน แต่เป็นการตอบแบบชวนพูดคุย “วันนี้ข้ามายอดเขาโอสถเพราะอยากหาสถานที่ใช้ฝึกตน”
“ซ่อนตัวจากอริงั้นหรือ?” ต้วนคุนมองตอบด้วยสายตาเวทนา “อาศัยจากการฝึกฝนของเจ้า หากว่าคิดซ่อนตัว ศัตรูก็คงเป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่หกกระมัง?”
จี้เตี๋ยไม่ตอบ เพราะปัจจุบันทั้งยอดเขาสรรพสัตว์ทราบกันแล้วว่าเขากับเจียงโม่หลีเป็นคู่หมั้น หลายคนจึงจับจ้องหาโอกาสฆ่าเขาทิ้ง
และในบรรดาคนกลุ่มนั้น คงมีผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่หกไม่น้อยกว่าหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกอับจน
“ไม่เป็นไร สุภาพบุรุษสิบปีล้างแค้นยังไม่สาย หากว่าเป็นไปได้ ก็เบิกถ้ำในยอดเขาโอสถเพื่อซ่อนตัวและฝึกฝน ภายหน้าที่ระดับการฝึกตนสูงพอแล้วค่อยหาโอกาสกลับไปล้างแค้น” ต้วนคุนตบไหล่เป็นการปลอบ เพียงแต่มุมปากไม่อาจสะกดกลั้นความรู้สึก เห็นได้ชัดว่ากำลังยินดีกับหายนะของผู้อื่น
“แล้วการปรุงยานี่ทำกันอย่างไร?” จี้เตี๋ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“การปรุงยาสำคัญที่พรสวรรค์และความทุ่มเท หากว่าอยากเป็นนักปรุงยา ก็มีเงื่อนไขที่ค่อนข้างเข้มงวดพอสมควร ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่อาจเรียนรู้ จนทำให้ยอดเขาโอสถมีนักปรุงยาที่แท้จริงอยู่ไม่มากนัก อย่าคิดว่าข้าจะช่วยให้คำแนะนำอะไรได้จะดีกว่า” ต้วนคุนมองตอบเพราะทราบว่าอีกฝ่ายครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ และแม้เขาจะว่างก็ไม่อาจสนทนาในเรื่องนี้ด้วยได้
จี้เตี๋ยเผยยิ้มขื่นขมพลางถามต่อ
“แล้วพอจะมียาอะไรที่ช่วยเร่งการฝึกฝนได้หรือไม่?”
“มีสิ ยารวมลมปราณ เป็นยาระดับพื้นฐานเลยทีเดียว ภายหลังใช้ในช่วงกลั่นลมปราณระดับต้น ผู้ใช้จะขัดเกลาสรรพคุณตัวยาได้ในระยะเวลาสิบวัน แต่ก็ไม่เหมาะกับเจ้าอยู่ดี ดังนั้นควรซื้อยาทุ่งสมุทร ภายหลังผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณระดับกลางทานเข้าไปแล้ว ความเร็วการฝึกฝนจะเพิ่มขึ้นสองเท่าในระยะเวลาสามชั่วโมง” ต้วนคุนพูดอ้อมไปนานจนกระทั่งกลับเข้าประเด็น
“ยาทุ่งสมุทร” จี้เตี๋ยทวนชื่อไปมาก่อนจะถาม “ยานั่นขายอย่างไร?”
ปัจจุบันผลยกวิญญาณไม่อาจช่วยอะไรเขาได้อีกแล้ว ทำให้จำเป็นต้องหาสถานที่เก็บตัวฝึกฝนอย่างเงียบสงบ แม้ยาทุ่งสมุทรไม่อาจช่วยเสริมระดับการฝึกตนโดยตรง แต่มันก็ดีกว่าไม่มีอะไร
“ขายผู้อื่นคิดราคาศิลาวิญญาณยี่สิบเอ็ดก้อน กับลูกค้าประจำอย่างเจ้าขายขวดละยี่สิบก็แล้วกัน แต่ละขวดมียาอยู่ห้าเม็ด”
“ศิลาวิญญาณยี่สิบก้อน… พอจะติดเอาไว้ก่อนได้หรือไม่?” จี้เตี๋ยเอ่ยถามเสียงเบาค่อย เนื่องจากปัจจุบันยากจนข้นแค้น ศิลาวิญญาณก้อนหนึ่งยังไม่มี นับประสาอะไรกับยี่สิบก้อน
“เชิญด้านนั้น” ต้วนคุนเผยสายตาเหยียดหยันขณะผายมือไล่ กระทั่งรู้สึกว่าเปลืองน้ำลายพูดคุยด้วย
“เหอะเหอะ ก็แค่ถามไปงั้น! จะว่าไปแล้ว พอทราบหรือไม่ว่าที่ไหนรับซื้อสมุนไพรวิญญาณ?” จี้เตี๋ยไม่คิดกล่าวต่อว่าท่าทีของอีกฝ่าย เพราะมันคืออะไรที่ควรเกิดขึ้นในโลกความเป็นจริงอยู่แล้ว
“สมุนไพรวิญญาณ…” ต้วนคุนกลอกตา “เจ้าอยากขายสมุนไพรวิญญาณงั้นหรือ?”
“ใช่ รอจนข้าขายสมุนไพรวิญญาณได้แล้วจะมาซื้อยาจากเจ้าอีกที”
“เรื่องของสมุนไพรวิญญาณ เจ้าจำเป็นต้องพบเจอผู้ซื้อที่เหมาะสม เนื่องจากสมุนไพรวิญญาณส่วนใหญ่แทบไม่อาจใช้งานจนกว่าจะนำไปปรุงยา สมุนไพรวิญญาณบางชนิดอาจไม่มีค่าสำหรับบางคน แต่มีค่าสำหรับคนที่วางแผนจะปรุงยาที่จำเป็นต้องใช้ส่วนผสมดังกล่าวอยู่พอดี กล่าวไปแล้วอยากขายสมุนไพรวิญญาณใดกัน?” ต้วนคุนมองอีกฝ่ายขณะครุ่นคิด ว่าจะหาผลประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างไรดี
“มีคนอยากซื้อผลยกวิญญาณบ้างหรือไม่?” จี้เตี๋ยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
“ผลยกวิญญาณหรือ มีเท่าไหร่กันล่ะ?” ต้วนคุนชะงักไปชั่วครู่ แน่นอนว่าแววตาในเวลานี้เปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นกัน
ผลยกวิญญาณคือสมุนไพรวิญญาณที่สามารถใช้เพื่อส่งเสริมการฝึกตนได้โดยตรง อีกฝ่ายมีของดังกล่าวในครอบครองแล้ว ถ้าอย่างนั้นจะขายมาซื้อยาอีกทำอะไร?
แต่ตราบเท่าที่มีส่วนต่างผลกำไรรออยู่ เขาก็ไม่คิดซักถามอะไรจนเกินควร
“ห้าผล กับสมุนไพรวิญญาณอีกจำนวนหนึ่ง” จี้เตี๋ยไม่กล้านำออกมาเป็นจำนวนมากในคราวเดียว เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายอาจเกิดความสงสัย ดังนั้นจึงนำผลยกวิญญาณออกมาเพียงแค่ห้าผลเพื่อลองดูก่อน
“หนึ่งผลแลกศิลาวิญญาณสิบสี่ก้อน! ผลยกวิญญาณเหมาะสมให้ผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณระดับต้นใช้งาน ขณะที่พอเป็นระดับกลางเมื่อไหร่จะส่งผลเพียงแค่น้อยนิด ราคานี้ถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว”
“ตกลง” จี้เตี๋ยทราบดีว่าคำพูดของอีกฝ่ายเป็นจริงแค่ไหน ยามผู้ฝึกตนสำเร็จการกลั่นลมปราณระดับกลาง ผลยกวิญญาณแทบจะใช้งานไม่ได้ผล นอกจากนี้เขายังมีพวกมันอยู่มากมายจนไม่จำเป็นต้องต่อรองราคาขาย
ต้วนคุนนำศิลาวิญญาณเจ็ดสิบก้อนออกมาจากถุงมิติเพื่อส่งมอบ เพียงแต่จี้เตี๋ยยังไม่รับเอาไว้
“ข้าขอแลกเป็นยาทุ่งสมุทรโดยตรง”