บทที่ 166 พรสวรรค์ในการหลอมโอสถเขาเป็นเช่นไร
ครั้นคนของเขาเริ่มสังเกตเห็นกลุ่มอูฉีแล้ว จึงได้เวลาที่หยางเสี่ยวเทียนต้องแนะนำคนทั้งหกให้เลี่ยวคุนกับคนอื่นๆ ทราบว่าพวกเขาที่มาใหม่วันนี้เป็นใครบ้าง
“นี่คือ ท่านอูฉี พวกเขาเป็นศิษย์ของท่าน และเป็นนักปรุงโอสถที่จะมาทำงานให้ข้านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป อย่างไร พวกเจ้าก็ช่วยจัดเตรียมห้องไว้สำหรับคนทั้งหกด้วยนะ” หยางเสี่ยวเทียน แนะนำกลุ่มของอูฉี ให้เลี่ยวคุน จางจิงหรงและอัตทราบ
อัตและอาลี่ทำความเคารพอย่างนับถือ พร้อมผายมือเชิญคนทั้งหกให้เดินตามไปยังเรือนรับรอง ที่มีมากพอให้พวกเขาเลือกสรรด้วยความพอใจ
“ถ้าอย่างนั้น พวกขาข้อตัวพักผ่อนก่อน หากท่านต้องการอะไร เชิญนายน้อย เรียกหาได้ตลอดเวลา” อูฉียกมือขึ้นประสานกันพร้อมกล่าวกับหยางเสี่ยวเทียน ก่อนเดินตามอัตและอาลี่ไป
หลังจากอัตและอาลี่ จัดการพาอูฉีกับคนทั้งห้าไปพักเรือนรับรอง หยางเสี่ยวเทียนจึงหันมาถามเลี่ยวคุน พร้อมคนทั้งสี่เกี่ยวกับสถานการณ์การฝึกฝนของทาสกลุ่มล่าสุด ที่พวกเขานำมา ว่าก้าวหน้าถึงไหนกันบ้างแล้ว
เมื่อได้ทราบรายงานว่ามีห้าร้อยคนทะลวงขั้นนักยุทธ์เข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ระดับหนึ่งสำเร็จ หยางเสี่ยวเทียนจึงมอบโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ให้เลี่ยวคุน นำส่งทาสที่เหลือสองร้อยคนผู้ยังไม่สามารถทะลวงขั้น กลืนมันเพื่อบ่มเพาะและฝึกปรือต่อไป
ด้วยโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์สองร้อยส่วน ที่เขาเพิ่งหลอมระหว่างเดินทางไปเขาอู่ซานนี้ ไม่นาน คนกลุ่มนั้นจะต้องทำได้สำเร็จ
“บอกข้า เมื่อทุกคนทะลวงเข้าขั้นเซียนสวรรค์สำเร็จแล้ว” หยางเสี่ยวเทียนกล่าว
หากทาสนับพันเขา ทะลวงเข้าขั้นเซียนสวรรค์สำเร็จครบทุกคนเมื่อไร เขาจะนำคนเหล่านั้นออกหาประสบการณ์ที่ป่าพระจันทร์แดง ฝึกให้พวกเขาได้ต่อสู้ เอาชีวิตรอดจากสถานการณ์ความเป็นความตายทั้งหลาย เพื่อสั่งสมความรู้และความผิดพลาดของตน ให้ชำนาญกับสิ่งที่ได้ฝึกปรือกันมากขึ้น
แน่นอนว่าทาสเหล่านี้ จะเก็บให้อยู่เฉพาะในเรือนกระจกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ พวกเขาต้องเรียนรู้โลกภายนอก ที่เต็มไปด้วยอันตรายอยู่ทุกหย่อมหญ้า หากเกิดเรื่องไม่คาดฝัน จะได้มีทักษะเอาตัวรอดยามคับขันไม่เป็นภาระใคร
ต้องฝึกฝนอย่างหนักแลเอาจริงเอาจังเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าพวกเขาใช้งานได้จริง ไม่เสียแรงเปล่า
อีกทั้งการไปเยือนป่าพระจันทร์แดงครั้งนี้ เขาต้องได้สัตว์อสูรดีๆ สักสองตัวกลับมาเป็นพาหนะประจำกายชั้นยอดให้จงได้
ต่อจากนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็ขอให้หลัวชิงเลือกวิญญาจารย์จากกลุ่มทาสผู้มีพรสวรรค์ ฝีมือดี ขยายพรรคเงาทมิฬเพิ่มอีกเป็นร้อยคน
ตกกลางคืน
ในลานฝึกยุทธ์ หยางเสี่ยวเทียนก็กลับมาร่ายรำเพลงกระบี่นับร้อย กระทั่งได้เวลาที่เขาต้องกลับขึ้นเรือนหลัก เพื่อหลอมโอสถวิญญาณหลงหู่และโอสถวิญญาณสี่ประการต่อ อย่างที่เคยทำทุกวัน
เวลาเดียวกันนี้ หลิวอันผู้เพิ่งกลับเข้ามารายงานสารเกี่ยวกับสถานการณ์ของหยางเสี่ยวเทียนต่ออูฉี ที่เขาได้ทราบมาระหว่างออกหาข่าวในเมืองเสินเจี้ยนพักใหญ่
ด้วยความอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของหยางเสี่ยวเทียน ช่วงกลางวันหลังอัตพามายังเรือนพักแล้ว หลิวอันจึงลอบออกไปสอบถามเรื่องพวกนี้อย่างระมัดระวัง
ช่วงที่จางจิงหรงออกสื่บข่าวเกี่ยวกับหยางเสี่ยวเทียนครั้งแรก ตอนนั้น เขาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่ หลังหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้สามสิบเล่ม
แต่ตอนนี้ ฐานะหยางเสี่ยวเทียนหาใช่เพียงผู้อาวุโสไม่ เพราะเขาหยั่งรู้ศิลากระบี่ครบร้อยเล่ม ซึ่งตำแหน่งนับว่าคือผู้อาวุโสสูงสุด มีฐานะเป็นเจ้าตำหนักกระบี่คนใหม่ของสำนักเสินเจี้ยนทั้งหมด
ดังนั้น หลังจากหลิวอันได้ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาถึงยิ่งมีสีหน้าซีดเซียวด้วยประหลาดใจมากไปกว่าคราของจางจิงหรงเสียอีก
“เจ้าว่าอะไรนะ นายน้อยนะหรือ เป็นเจ้าตำหนักกระบี่คนใหม่ของสำนักเสินเจี้ยน!” อูฉีแทบพ่นชาออกมาทันทีหลังได้ยินเรื่องนี้
ในฐานะหนึ่งในชายผู้แข็งแกร่งไม่กี่คนแห่งจักรวรรดิเทียนโต้ว เขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับตำหนักกระบี่ของสำนักเสินเจี้ยนเป็นอย่างดีแน่นอน และเขายังรู้ด้วยว่า ตำแหน่งเจ้าตำหนักกระบี่ของสำนักเสินเจี้ยน มิมีผู้ใดมีพรสวรรค์สามารถครอบครองมันได้มาหลายร้อยปีแล้ว
ศิษย์คนอื่นๆ ของอูฉีก็ตกตะลึงเช่นกัน
“พี่ใหญ่หลิว ท่านแน่ใจหรือ ว่าเจ้าตำหนักกระบี่คนใหม่กับนายน้อยหยางเป็นคนเดียวกัน ไม่ใช่ว่าพวกเขามีชื่อคล้ายกันงั้นหรือ”
เฉินเย่หง น้องชายหลิวอันแทบไม่อยากเชื่อ ว่าตำแหน่งเจ้าตำหนักกระบี่แห่งสำนักเสินเจี้ยนที่ว่างเว้นมาหลายร้อยปี จะตกเป็นของเด็กน้อยอายุเพียงแปดขวบได้
“ตอนรู้ทีแรก ข้าก็ไม่อยากเชื่อ แต่หลังจากยืนยันมาแล้วกับหลายๆ คน เขาก็คือนายน้อยของเราจริงๆ” หลิวอันกล่าวขณะสีหน้าดูซับซ้อน “เจ้าตำหนักกระบี่คนใหม่ของสำนักเสินเจี้ยน ตกเป็นของหยางเสี่ยวเทียน เด็กน้อยผู้มีอายุแปดขวบ” เขาพึมพำอย่างหวาดหวั่น
จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทา อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “นะ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน นายน้อยหยั่งรู้ศิลากระบี่ของสำนักเสินเจี้ยนจนสำเร็จทั้งหมด”
ดวงตาอูฉีพร้อมทั้งคนอื่นๆ เบิกกว้างจวนลูกกะตาแทบถลนหลุดออก
“เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน เขาหยั่งรู้ศิลากระบี่สำเร็จถึงร้อยเล่มเลยรึ!”
เพราะไม่กี่เดือนที่ผ่านมา พวกเขาเอาแต่หมกตัวอยู่ในอู่ซาน เพื่อหาทางพิชิตเปลวไฟดารา ดังนั้นจึงไม่มีใครได้รับข่าวใหญ่อันโด่งดังจากโลกภายนอก โดยเฉพาะข่าวสารเกี่ยวกับหยางเสี่ยวเทียน
“กล่าวให้ถูกก็คือ ไม่ถึงครึ่งเดือนด้วยซ้ำ” หัวใจหลิวอันเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ “เพราะหลังจากนายน้อยหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้สามสิบเล่มแล้ว เขาก็หยุดไปพักหนึ่ง แล้วกลับมาหยั่งรู้ศิลากระบี่ที่เหลืออีก”
“มีครั้งหนึ่ง ที่นายน้อยหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้สูงสุดถึงสิบเล่มในวันเดียว”
เมื่อกล่าวถึงสิ่งนี้ เขาก็เริ่มหายใจถี่ขึ้น “เขาเป็นวิญญาจารย์ ผู้มีวิญญาณยุทธคู่ขั้นสูงระดับสิบเอ็ด ทั้งยังฝึกฝนเพลงกระบี่แต่ละทักษะ เข้าขั้นวรยุทธไร้เทียมทานเกือบจะทั้งหมดแล้ว”
เพลานี้ อูฉีและคนทั้งสี่นั่งแข็งนิ่ง พร้อมอ้าปากค้างมิต่างกับรูปปั้น
“นะ นานแค่ไหนแล้ว ที่นายน้อยปลุกวิญญาณยุทธ” เฉินเย่หงเอ่ยถาม ขณะน้ำลายปากเหนียวแห้งกลืนลงคออย่างยากลำบาก
“เขาเพิ่งเข้าพิธีปลุกวิญญาณยุทธไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว” หลิวอันกล่าว
ตอนนี้เป็นเดือนกรกฎาคม ดังนั้นวิญญาณยุทธจึงเพิ่งตื่นขึ้นได้เพียงแปดเดือนเท่านั้นเองหรือ
“แล้วพรสวรรค์ในการหลอมโอสถของเขาละ เป็นเช่นไรบ้าง” อูฉีรีบเปิดปากถามอย่างกระตือรือร้น เพราะนี่คือสิ่งที่พวกเขาอยากรู้มากที่สุด
“ข้ายังไม่รู้” หลิวอันส่ายหัว
“เพราะไม่มีใครเห็นเขาหลอมโอสถ ข้าจึงไม่รู้ว่าเขามีความสามารถเพียงใดในการหลอม แต่ข้าได้ยินว่า เขาเคยบอกเรื่องนี้กับองค์หญิงสี่เฉิงเป้ยเป้ยฟัง ว่าทดสอบการเป็นนักปรุงโอสถผ่าน ด้วยเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา แต่องค์หญิงสี่พร้อมทั้งคนอื่นๆ เชื่อว่าเขาโกหกและแสร้งเป็นนักปรุงโอสถของหอสมาคม” เขากล่าวเสริม
ผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงโอสถ ในเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชางั้นรึ บะ บ้าไปแล้ว!
ทั้งห้าตกตะลึงขณะเริ่มสงสัยว่าข่าวที่หลิวอันได้มา เกี่ยวกับทักษะการหลอมโอสถของหยางเสี่ยวเทียน เขาอาจมิได้แอบอ้างเป็นนักปรุงโอสถ ดั่งใครๆ กล่าวหากันจริง
สีหน้านิ่งเงียบของอูฉีขณะเหม่อมองไปยังทิศทางเรือนหลักที่หยางเสี่ยวเทียนพำนักอยู่ ทั้งเขาและศิษย์ทุกคน ต่างคิดไม่เหมือนเฉิงเป้ยเป้ย ที่บอกว่าเด็กผู้นั้นกำลังโกหก