บทที่ 165 องค์หญิงสี่มาที่นี่ทุกวัน
อูฉีพยักหน้า พร้อมกล่าวสาบานต่อสวรรค์ชั้นฟ้า เพื่อเป็นประจักษ์พยานรับรู้ถึงความบริสุทธิ์ใจของเขาในครานี้ ว่าจะไม่คิดคดทรยศหรือมีเจตนาร้ายใดต่อหยางเสี่ยวเทียน นอกจากมุ่งมั่นทำตามสิ่งที่เขาปรารถนา
และนับแต่นี้สืบไป จะหลอมโอสถให้กับหยางเสี่ยวเทียน ยาวนานไปกระทั่งสิบปีข้างหน้า โดยไม่ขัดข้องหรือเคลือบแคลงใจใดๆ เลย
ศิษย์ทั้งห้าของเขา ก็กล่าวคำสาบานประสานเสียงพร้อมกับเขาเช่นกัน
เปรี้ยง!
ทั้งหกสะดุ้งสุดตัว พร้อมแหงนหน้ามองฟากฟ้าที่ส่องประกายวาบแลส่งเสียงลั่นสนั่นไปทั่วพงไพรอันมืดมิดยามนี้
สิ้นเสียงคำรามจากสวรรค์ก็เท่ากับคำปฏิญาณเป็นผล หลัวชิงถึงคลายกังวลลง เพราะหากผู้ใด ได้กล่าวให้คำสัตย์ตนต่อหน้าฟ้าดินแล้วไซร้ จะไม่สามารถคืนหรือหากผิดคำที่ตนพูด สวรรค์จะเป็นผู้ลงทัณฑ์อย่างแสนสาหัส สมการกระทำอันบังอาจกล้าท้าทายเอง
หยางเสี่ยวเทียนเผยยิ้ม ก่อนสืบเท้าเดินเข้าหาผู้เฒ่าอูฉี จับมืออันโรยราของเขาอย่างยินดี แม้นรู้ดีว่าเขายังพร้อมใจยอมรับเด็กน้อยผู้นี้เป็นนายได้ นอกจากยินยอมทำตามคำสั่งเพราะโอสถระดับนิรันดร์
แต่เมื่อเขากล้ากล่าวคำปฏิญาณตนต่อสวรรค์แล้ว หยางเสี่ยวเทียนจึงเริ่มวางใจได้ แม้จะเพียงแค่ตอนนี้เท่านั้น
เสร็จสิ้นทุกอย่างตรงนี้ หยางเสี่ยวเทียนพร้อมคนทั้งหมดยังไม่คิดออกจากหุบเขาพิษดับวิญญาณทันที พวกเขาต่างเดินสำรวจโดยรอบหุบเขา ค้นหาทุกที่ภายในเผื่อพบเจอของล้ำค่า นอกจากรากบัวทองที่สามารถนำกลับไปได้
ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เพราะนอกจากรากบัวทองอันหายากแล้ว บางอย่างที่พวกเขาได้มายังมีค่ามิด้อยกว่ามันเลย
เมื่อเป็นเวลาอันสมควรออกจากหุบเขาพิษดับวิญญาณแล้ว พวกเขาทั้งหกพร้อมหลัวชิงก็เคลื่อนตัวติดตามหยางเสี่ยวเทียน มุ่งหน้ากลับเมืองเสินเจี้ยนทันที
เพราะหากเวลายิ่งล่วงเลยถึงพลบค่ำเมื่อใด ทั้งสัตว์วิญญาณและแมลงมีพิษมากมายในไพรอู่ซานจะยิ่งชุกชุม ยากต่อการกำจัดมากขึ้น สถานที่แห่งนี้ จึงมิมีใครใคร่อยู่ได้นานนัก
หยางเสี่ยวเทียนตัดสินใจหาสถานที่ปลอดภัยนอกเขาอู่ซานพักหนึ่งคืน เพราะกว่าทั้งหมดจะบุกป่าฝ่าดงออกจากเขาอู่ซานได้ ท้องฟ้าก็ย่ำสนธยามากแล้ว
ถึงต้องนอนร่วมกองไฟเดียวกันกับคนแปลกหน้าทั้งหก หยางเสี่ยวเทียนก็มิครั่นคร้ามพร้อมนั่งหลับตาเข้าฌานอย่างไร้ซึ่งความกังวลใด หากพวกเขามีใจประสงค์ร้าย เพลานี้ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะสังหารเขาแล้วเอาสิ่งที่ต้องการไปเสีย
แต่หากไม่ นี้ก็นับเป็นโอกาสอันดีที่หยางเสี่ยวเทียนจะได้ล่วงรู้ถึงความสุจริตใจแท้จริง ว่าวาจาของคนทั้งหก มิใช่เพียงลมปากแลซื่อตรงต่อคำพูดดั่งเคยกล่าวไว้
รุ่งเช้าพวกเขาก็ออกเดินทางกันต่อ
ระหว่างทาง อูฉีแลคนทั้งห้า ต่างอยากรู้และในใจก็ใคร่สงสัยอยู่มากนัก เกี่ยวกับตัวตนของหยางเสี่ยวเทียน เด็กน้อยที่ยังคงเดินมุ่งไปข้างหน้า อย่างมิมีความเหน็ดเหนื่อยแสดงออกมาบนใบหน้าให้เห็นเลยแม้สักนิด
ไม่กี่วันต่อมา ที่สุดหยางเสี่ยวเทียนพร้อมทั้งคนอื่นๆ ก็กลับมาถึงเมืองเสินเจี้ยนกันอย่างปลอดภัย
เวลานี้ พวกเขาต้องพากันจับกลุ่มเดินเบียดเสียดไปพร้อมกับผู้คนที่ต่างหลั่งไหลเข้าเมืองเสินเจี้ยนกันอย่างหนาแน่น ด้วยเวลาเหลือเพียงไม่กี่วันก่อนการแข่งขันหลอมโอสถ
ทั้งศิษย์และเหล่าวิญญาจารย์จากนิกายหลักของอาณาจักรเสินไห่ กระทั่งผู้คนในตระกูลน้อยใหญ่มากมาย พร้อมใจมาเยือนเมืองเสินเจี้ยนกันอย่างพลุกพล่าน ทำท้องถนนอันกว้างขวางคึกคักไปด้วยกิจกรรมบันเทิงแลผู้คนนับพัน จนแออัดอยู่เล็กน้อย
แม้แต่รถม้าหรูหราราคาแพง ที่หาชมได้ยากในช่วงเวลาธรรมดาจากตระกูลหลักต่างๆ ยังสามารถพบเห็นได้ทุกที่
“ดูเหมือนว่าภายภาคหน้า ข้าคงต้องมีรถม้ากับเขาบ้างแล้ว” หยางเสี่ยวเทียนกล่าว พร้อมกับเหลียวมองบรรดารถม้าอันแสดงถึงความมั่งคั่งของต้นตระกูลพวกนั้น
“ไม่กี่วันก่อน ข้าได้รายงานเกี่ยวกับการประมูลของสมาคมการค้าเฟิงหยิว ว่านอกเหนือจากโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับนิรันดร์ทั้งสิบเม็ดแล้ว ยังมีของดีอีกมากมายที่อยู่ในรายการประมูล รวมถึงรถม้าสุดหรูด้วย” หลัวชิงเผยยิ้มกับหยางเสี่ยวเทียน
พร้อมกล่าวเสริมอีกว่า “รถม้าหรูหราที่ว่านั้น ตัวรถทำจากเหล็กเนื้อดี ม้าลากยังเป็นสัตว์อสูรมีเกล็ดสีดำทั้งตัวดูแปลกตาอีกต่างหาก!”
“มันเร็วกระทั่งสามารถเดินทางได้หลายพันลี้ในหนึ่งวัน” น้ำเสียงหลัวชิงเอ่ยอย่างพลางประหลาดใจกับคุณสมบัติของมัน
ข่าวคราวพร้อมข้อมูลอันละเอียดครบถ้วนทั้งหมดนี้ หลัวชิงได้รายงานจากพรรคเงาทมิฬที่หยางเสี่ยวเทียนขอให้เขาจัดตั้งเพื่อค้นหาข่าวสารเมื่อหลายวันก่อน ซึ่งถือว่าแม่นยำสมบูรณ์ สมฝีมือหลัวชิงผู้ฝึกสอนเองจริงๆ
แม้นี้จะเป็นผลงานแรกของพรรคเงาทมิฬที่หลัวชิงสั่งการ ถึงมิใช่งานยากแต่นับว่าเก่งกาจใช้ได้ ที่นำสารมารายงานละเอียดเพียงนี้
“ม้าเกล็ดดำเช่นนั้นหรือ” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวพร้อมชื่นชมผลงานของพรรคเงาทมิฬ ที่หลัวชิงฝึกให้ออกหาข่าวสารเป็นครั้งแรก
แม้รถม้าเกล็ดดำที่ว่านี้ จะไม่อยู่ในความสนใจเขามากนัก เพราะมันยังไม่ดีพอเป็นสัตว์ลากประจำตัวเขา แต่ภายภาคหน้าหยางเสี่ยวเทียนคิดเอาไว้แล้ว จะหาสัตว์ชนิดใดแทนม้าเกล็ดดำที่ว่านั้น
เมื่อมีเวลา ความตั้งใจเดิมเขาคือการออกเดินทางเยือนป่าพระจันทร์แดงอีกครั้ง เพื่อฝึกสัตว์อสูรสักสองตัวให้เชื่องและใช้พวกมันสร้างรถม้าเป็นของเขาเองในสักวัน
หยางเสี่ยวเทียนกับหลัวชิงพร้อมกลุ่มคนทั้งหก ต่างสนทนาพูดคุยเรื่อยเปื่อยขณะเดินสวนไปมากับผู้คนมากหน้าหลายตาที่ยังคงหลั่งไหลเข้าในเมืองไม่หยุด
บางคราก็หยุดพัก ร่วมเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมบันเทิงตามท้องถนน กระทั่งเดินกลับถึงจวนโดยไม่รู้ตัว
ทันทีที่เขากับหลัวชิงเข้ามาในเขตจวน อาลี่ เลี่ยวคุน จางจิงหรง และคนอื่นๆ ต่างวิ่งออกมาต้อนรับพวกเขาอย่างดีอกดีใจ สีหน้าประหนึ่งห่วงหาครอบครัวอันเป็นที่รัก หลังได้เห็นทั้งคู่กลับมาอย่างปลอดภัย
“นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว” อัตรีบรายงานหยางเสี่ยวเทียน “ระหว่างที่ท่านไม่อยู่ องค์หญิงสี่นำวิญญาจารย์จำนวนมากมาสร้างปัญหาเกือบทุกวัน”
“หากท่านยังไม่กลับมา ข้าเกรงว่านางจะพังประตูจวนเราเป็นแน่”
เมื่อเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของอัต หยางเสี่ยวเทียนก็กล่าวว่า “หากนางกลับมาอีกในคราวหน้า ไม่ต้องรายงานให้ข้าทราบ พวกเจ้าแค่จับนางโยนออกไปก็พอ”
เลี่ยวคุนกล่าวเสริมอัต “แต่นายน้อย บรรดาวิญญาจารย์ที่นางนำมาในครั้งนี้ มีหลายคนอยู่ในขั้นราชันยุทธ์ อีกทั้งสองคนในนั้นอยู่ในขั้นราชันยุทธ์ระดับสิบ”
“หึ ก็แค่ระดับสิบขั้นราชันยุทธ์” หลิวอัน ศิษย์อูฉียิ้มเยาะ
เลี่ยวคุนพร้อมทั้งคนอื่นๆ หันมองไปที่หลิวอันเป็นตาเดียว สำหรับเขา วิญญาจารย์ขั้นราชันยุทธ์ระดับสิบมันแค่ขยะหรือไร ไฉนจึงกล่าวออกมา วาจาดูถูกเหยียดหยามยิ่งนัก