ตอนที่ 27 คู่หมั้น?!
ตอนที่ 27 คู่หมั้น?!
“ผู้อาวุโสเจิ้ง จบเรื่องเท่านี้หรือขอรับ?! ข้ามองว่าที่เหอเฉียงให้การสมควรเป็นเรื่องจริงนะขอรับ เขาเป็นเพียงคนเดียวในพื้นที่โรงนาที่แข็งแกร่งมากพอจะฆ่าหวังอวิ๋นนะขอรับ”
ภายหลังออกมาจากพื้นที่โรงนา สิงจงย่างก้าวให้สั้นเพื่อเดินตามหลังผู้อาวุโสเจิ้งอยู่ราวครึ่งตัวคน ขณะเดียวกันก็หยิบยกข้อสงสัยขึ้นมาสอบถาม
ปัจจุบันจี้เตี๋ยคือคนที่มีองค์ประกอบฆาตกรครบถ้วน ทั้งยังมีความสามารถพอสังหาร รวมถึงมีพยานพบเห็นเหตุการณ์…
ต่อให้จับกุมมาตรวจสอบ แม้แต่เจียงโม่หลีก็คงไม่กล้า…
เพียงแต่เจิ้งอี้กำลังครุ่นคิดเสมือนไม่ได้ยินคำถาม ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
“เมื่อวานนี้มีศิษย์มารายงาน ว่ามีศิษย์อีกคนหนึ่งในพื้นที่โรงนาหายตัวไปขอรับ” สิงจงแสดงอาการลังเลออกมา
“ข้าส่งคนไปตรวจสอบแล้วขอรับ ไม่มีใครพบเห็นเขาปรากฏตัวในพื้นที่สำนัก ทั้งยังไม่มีใครทราบว่าเขาไปที่ไหน หรือที่เขาหายตัวไปจะเกี่ยวข้องอะไรกับหวังอวิ๋นกัน?”
“หืม? ก็เหมือนจะเป็นไปได้” เจิ้งอี้ที่ขมวดคิ้วมาตลอด ในที่สุดก็เอ่ยคำขึ้นมา
สิงจงเกิดลังเล “ข้าได้ยินมาว่าเฮ่อซงที่หายตัวไป ก็เคยมีเรื่องพิพาทกับเด็กหนุ่มนามจี้เตี๋ยนั่นขอรับ”
“เพราะอะไรถึงชี้ไปทางเขาหมดเช่นนี้กัน?” เจิ้งอี้แค่นเสียงขึ้นจมูก
“ไปตรวจสอบเรื่องความสัมพันธ์ของเด็กนั่นกับเจียงโม่หลีมา หากว่ามันพูดจริงก็แล้วไป แต่หากว่าโกหก ก็ใช้เป็นข้ออ้างจับกุมตัวมันมาสอบปากคำเสีย”
“ทราบแล้วขอรับ”
จี้เตี๋ยย่อมไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทางด้านนี้ และเพียงชั่วพริบตา เขาก็อยู่ที่สำนักเจ็ดลึกล้ำแห่งนี้มาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว
ด้วยความช่วยเหลือจากผลยกวิญญาณทั้งสาม อู๋ฮั่นสามารถทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่สามได้สำเร็จ กระทั่งแวะมาขอบคุณยกใหญ่
ภายหลังจี้เตี๋ยให้กำลังใจจึงส่งอีกฝ่ายกลับ
วันคืนดำเนินเช่นนี้ มันสงบประหนึ่งพายุใกล้มาเยือน เพียงแค่ชั่วพริบตา ครึ่งฤดูหนาวได้ผ่านพ้นจนฤดูใบไม้ผลิใกล้เยือนย่ำ
“ผลลัพธ์จากผลยกวิญญาณแทบจะไม่เห็นผลอะไรแล้ว ชักสงสัยว่ามียาอะไรที่ช่วยส่งเสริมการฝึกตนของเราในเวลานี้อีกบ้างหรือไม่” เด็กหนุ่มที่อายุจะครบสิบห้าปีในอีกสองเดือน ขณะนี้กำลังนั่งเดียวดายบนเตียงพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด
ขณะสรรพคุณของผลยกวิญญาณอ่อนลงไปเรื่อย ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาจึงแทบไม่ได้พึ่งพาใช้งานมันช่วยฝึกตนอีกต่อไป แต่เป็นการฝึกฝนด้วยตนเอง
ผลลัพธ์ที่ได้ ความเร็วจึงยิ่งเชื่องช้าลงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“ศาลาปราณสมบัติน่าจะมียาช่วยเร่งระดับการฝึกตนขาย เพียงแต่เราไม่มีศิลาวิญญาณแล้ว” จี้เตี๋ยครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง สุดท้ายจึงตัดสินใจหาเวลาแวะเวียนไปยอดเขาโอสถ เพื่อสอบถามว่ามีสมุนไพรใดในถุงมิติใช้ขายแลกเป็นศิลาวิญญาณได้บ้าง
“จี้เตี๋ย จี้เตี๋ยอะไรนั่นมันอยู่ที่ไหน!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในพื้นที่โรงนา เป็นเสียงตะโกนที่ค่อนข้างดัง
อีกฝ่ายคือชายร่างใหญ่ดวงตาโต ผิวกายสีเข้มและเสียงดัง กระทั่งว่าต่อให้อยู่มุมขอบของพื้นที่โรงนาก็ต้องได้ยิน
“นั่นใครน่ะ?”
“กล้าพูดเช่นนี้กับศิษย์พี่จี้ได้อย่างไร?!”
เนื่องจากจี้เตี๋ยเป็นผู้มีชื่อเสียงในพื้นที่โรงนา ศิษย์หลายคนในพื้นที่แถบนี้ที่รักชอบรับชมเรื่องสนุกจึงมารวมตัว สายตาของพวกเขาต่างแสดงออกว่าตื่นเต้น
“จี้เตี๋ยมันอยู่ที่ไหน? ลากตัวมันออกมา!” ชายร่างใหญ่เปล่งพลังของการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่แผ่พุ่ง โดยไม่คิดสนใจเหล่าศิษย์รอบด้านแม้แต่น้อย ทั้งยังตะโกนชื่อของจี้เตี๋ยออกมาเสียงดัง
ช่วงที่ผ่านมา นามของเด็กหนุ่มโด่งดังในหมู่ยอดเขาสรรพสัตว์ จนถึงขนาดแทบทุกคนบนยอดเขาทราบเรื่อง
ทั้งยังกล่าวกันว่าเขาเป็นเพื่อนสมัยเด็กกับเจียงโม่หลี ถึงขนาดมีข่าวลือว่าหมั้นหมายกันตั้งแต่ยังเด็ก!
“เจ้าคือ?” จี้เตี๋ยที่ได้ยินเสียงโวยวาย เวลานี้จึงเดินออกมาจากบ้านขณะมองไปยังอีกฝ่ายด้วยความสับสน
“เจ้าคือจี้เตี๋ย?” ชายร่างใหญ่ก้มเงยสำรวจจี้เตี๋ยหัวจรดเท้าด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
“ข้าเอง มีอะไรงั้นหรือ?” จี้เตี๋ยขมวดคิ้วขณะนึกย้อน พบว่าไม่เคยเห็นคนเช่นอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงหน้ามาก่อน
“ไอ้หนู หาญกล้าดี! กล้าดียังไงถึงได้ทำให้นามของศิษย์พี่หญิงเจียงต้องมัวหมอง? ทราบหรือไม่ว่าอาชญากรรมที่เจ้าก่อควรได้รับโทษใด?!”
มันแทบจะเป็นเสียงคำรามด้วยพลังวิญญาณอัดหน้า ดังนั้นจึงสะเทือนถึงประสาทรับฟังของเหล่าศิษย์รอบด้านจนพวกเขามีสีหน้าซีดเซียว
‘ทำให้ชื่อเสียงของศิษย์พี่หญิงเจียงต้องมัวหมอง… หรือว่านางทราบเรื่องแล้ว…’ ขณะจี้เตี๋ยได้ยินเรื่องราว ภายในใจของเขาจึงเกิดคำถามขึ้น
เพราะอย่างมากที่สุดเขาก็แค่แอบอ้างชื่อของศิษย์พี่หญิงเจียงไม่ใช่หรือ?
ไฉนเลยไปทำให้ชื่อเสียงของนางมัวหมองเสียได้?
“นี่เจ้ายังกล้าทำตัวไม่รู้เรื่องงั้นหรือ เช่นนั้นข้าจะถือโอกาสนี้สั่งสอนเจ้าแทนศิษย์พี่หญิงเจียง!” ชายร่างใหญ่พบเห็นจี้เตี๋ยทำสีหน้างงงันตอบรับ เวลานี้จึงโกรธจนปะทุพลังของการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ออกมา ขณะเดียวกันก็ขยับร่างพุ่งทะยานเข้าหา
“ศิษย์พี่หญิงเจียงขอให้เจ้ามาหรือ?” จี้เตี๋ยเผยสีหน้าแปรเปลี่ยน แต่พอคิดอีกทีก็พบว่ามันไม่น่าเป็นไปได้
หากว่าเจียงโม่หลีทราบเรื่อง นางคงมาที่นี่ด้วยตนเองแล้ว เพราะนิสัยของนางเป็นเช่นนั้น
“เจ้าไม่คู่ควรได้รู้!”
สายลมที่เกิดจากการเหวี่ยงหมัด มันทำให้เส้นผมสีดำของจี้เตี๋ยขยับเคลื่อนไหว ขณะเดียวกันชายร่างใหญ่ก็ปรากฏตัวตรงหน้าพร้อมซัดหมัดเข้าใส่แล้ว
จี้เตี๋ยได้เห็นถึงท่าทีความอวดดีของอีกฝ่าย เวลานี้จึงไม่คิดสนใจอีกแล้วว่าคนตรงหน้าเป็นใคร เขาจึงซัดหมัดสวนกลับ
แม้ว่าการปะทะนี้จะไม่ใช่ทุ่มเทสุดเรี่ยวแรง แต่มันก็ไม่ใช่อะไรที่ผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่สี่จะสามารถต้านทานได้
ชายร่างใหญ่ที่เมื่อครู่อวดดีล้นพ้น พลันต้องร่างกระเด็นไปประหนึ่งลูกบอลที่โดนตบ กระทั่งกระอักเลือดคำโตออกมาขณะร่างลอยลิ่วออกไปนอกโรงนา
“อูย ศิษย์พี่จี้ตอนนี้ฝึกตนถึงระดับใดแล้วขอรับ?” ศิษย์ข้างเคียงที่ได้เป็นประจักษ์พยานถึงการปะทะระหว่างจี้เตี๋ยและสิงจงผู้สำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่ห้า ในครั้งนั้นเขาสงสัยว่าเด็กหนุ่มน่าจะสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่จุดสูงสุด หรือไม่ก็ขั้นที่ห้า
เพียงแต่เวลานี้ที่ได้เห็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่สี่บาดเจ็บหนักเพียงแค่หนึ่งหมัดปะทะ ในใจของเขาจึงแตกตื่นจนรู้สึกว่าเรื่องราวยากเกินเชื่อได้
“ข้าขอถาม ว่าคำพูดของเจ้ามีความหมายว่าอย่างไร!” จี้เตี๋ยไปหยุดยืนตรงหน้าชายร่างใหญ่ขณะจ้องมองตอบด้วยสายตาเย็นเยือก
“ขะ… ข้า…” ชายร่างใหญ่ที่เดิมเปิดตัวอย่างถือดีสูงส่ง เวลานี้กลับพูดจาตะกุกตะกัก และยามได้เห็นสายตาอันเย็นเยียบและเงียบงันของจี้เตี๋ย เขาถึงกับกายสั่นเทาขณะพยายามอธิบายเรื่องราว
“ตอนนี้ทั่วทั้งยอดเขาสรรพสัตว์มีข่าวลือ กล่าวว่าเจ้าและศิษย์พี่หญิงเจียงเติบโตมาด้วยกัน กระทั่งว่าหมั้นหมายแต่งงานกันตั้งแต่ยังเด็ก… นอกจากนี้ศิษย์พี่หญิงเจียงก็ไม่ได้ปฏิเสธแม้แต่ครึ่งคำ ทำให้ศิษย์หลายคนคิดท้าสู้กับเจ้า ข้าเพียงแค่รับฝากฝังจากผู้อื่นมาเป็นตัวแทนสั่งสอนบทเรียนชีวิตให้… ภายหน้านับจากนี้ข้าไม่กล้าแล้ว…”
“เจ้ากำลังบอก ว่าทั้งยอดเขาสรรพสัตว์ทราบว่าข้าและศิษย์พี่หญิงเจียงหมั้นหมายกันตั้งแต่ยังเด็กงั้นหรือ?!” จี้เตี๋ยเผยสีหน้าดำมืด เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องราวจะบานปลายถึงขั้นนี้!
เขาแทบจินตนาการได้ ว่าเจียงโม่หลีในตอนที่ได้ยินข่าวคราวจะมีสีหน้าท่าทีและปลดปล่อยจิตสังหารออกมาท่วมท้นเช่นไร
‘นี่เรายังมีโอกาสหลบหนีออกจากสำนักเจ็ดลึกล้ำอยู่หรือไม่กันนะ?’ จี้เตี๋ยตัวสั่น ขณะเดียวกันก็กำลังสบถก่นด่าตนเองอยู่ในใจหลายต่อหลายครั้ง
“นายท่าน ข้าไปได้หรือยังขอรับ?” ชายร่างใหญ่พบเห็นสีหน้าอีกฝ่ายดำมืด เวลานี้จึงถามออกมาด้วยเสียงสั่น
“ไปไหนก็ไป!” จี้เตี๋ยไม่คิดสนใจอีกฝ่ายแล้ว เพราะเขากำลังเดินวนเวียนไปมาเพื่อครุ่นคิดหาวิธีรับมือ
ชื่อเสียงของสตรีคือสิ่งสำคัญ ต่อให้เจียงโม่หลีเป็นคนมีเหตุผลแค่ไหน หากได้ทราบข่าวอันไม่น่าอภิรมย์เช่นนี้ ไม่มีทางที่นางจะสงบจิตใจเอาไว้ได้
เกรงว่าสิ่งแรกที่นางกระทำภายหลังได้ทราบข่าว คือการสังหารคู่หมั้นตัวปลอมเพื่อกำจัดข่าวลือเสียด้วยซ้ำ!
ส่วนว่าจนถึงตอนนี้เหตุใดนางยังไม่ลงมือ อาจเป็นเพราะยังไม่ทราบก็เป็นได้ เนื่องจากอาการบาดเจ็บของนางในวันนั้น ทำให้จนถึงวันนี้ยังเก็บตัวพักฟื้นอยู่!
‘ต้องซ่อนตัว เราต้องออกจากยอดเขาสรรพสัตว์ไปซ่อนตัว’
สายตาของจี้เตี๋ยแสดงความหวาดกลัว ภายหลังเอ่ยปากขอให้อู๋ฮั่นช่วยดูแลเจ้างูดำต่อ เขาจึงคิดออกจากพื้นที่โรงนาแห่งนี้
“ศิษย์พี่จี้จะไปไหนหรือขอรับ?” อู๋ฮั่นที่ไม่ทราบถึงความร้ายแรงของเรื่องราวเอ่ยถามออกมา
“ไปหาที่หลบภัย”
จี้เตี๋ยเร่งร้อนออกมาจากโรงนาโดยไม่หันกลับมา
เขาคิดไปยอดเขาโอสถเพื่อใช้เป็นสถานที่หลบภัย