ตอนที่แล้วตอนที่ 24 ความจริงถูกเปิดเผย?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 26 รอดเป็นการชั่วคราว

ตอนที่ 25 เขียนเสือให้วัวกลัว


ตอนที่ 25 เขียนเสือให้วัวกลัว

“ดื้อรั้นซะจริง! ในเมื่อปฏิเสธไม่ยอมจำนน งั้นก็อย่าหาว่าข้าเสียมารยาท!” สิงจงแค่นเสียงขึ้นจมูก สภาวะพลังกลั่นลมปราณขั้นที่ห้าแผ่พุ่งปะทุออก มือขวาของเขาเริ่มขยายขนาดและแข็งตัว ก่อนจะพุ่งทะยานเข้าหาจี้เตี๋ยด้วยความดุร้าย!

มันคือวิชาคาถาประเภทหนึ่ง วิชาศิลาแกร่งกล้า!

ภายหลังฝึกฝนได้สำเร็จ ผู้ใช้วิชาจะสามารถแปรเปลี่ยนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายให้เป็นหินแกร่งได้ตามใจนึก และมันแข็งแกร่งขนาดที่ว่าผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่เก้ายังยากจะทำให้บาดเจ็บได้!

เพียงแต่สิงจงยังไม่ได้ฝึกฝนสำเร็จถึงขั้นนั้น ปัจจุบันจึงทำได้เพียงแค่แปรเปลี่ยนมือข้างขวาให้กลายเป็นหิน ทว่าแค่นั้นก็มาพอให้ต้องทึ่ง! เพราะพลังหมัดที่ต่อยออกมา มันมากพอบดขยี้โลหะได้!

“วิชาบ้าอะไรกัน!” จี้เตี๋ยหรี่สายตา สัญชาตญาณของเขาร้องบอกว่าอันตราย ขณะนี้จึงไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรง เขาจึงตัดสินใจโบกมือส่งก้อนหินบนพื้นลอยขึ้นกลางอากาศพุ่งเข้าไปโจมตีเป้าหมาย เพื่อลองดูว่าจะหยุดมันเอาไว้ได้หรือไม่!

อึดใจถัดมา ก้อนหินบินเหล่านั้นที่เข้าปะทะกับหมัดของสิงจงพลันป่นกลายเป็นผง

“ทำได้แค่นี้งั้นหรือ?” สิงจงแค่นเสียงเย้ยขณะเดินเข้าหาจี้เตี๋ยด้วยสีหน้าถมึงทึง

ยามได้ยินคำเย้ยจากอีกฝ่าย นัยน์ตาของจี้เตี๋ยกลับกลายเป็นเย็นเยือกไร้อารมณ์ ขณะเดียวกันเขาก็กำลังถอยหนีพลางครุ่นคิดหาวิธีการตอบโต้

แต่แล้วทันใดนี้เองที่มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากฝูงชน

“ศิษย์พี่จี้ ศิษย์พี่หญิงเจียงฝากมากล่าวว่าขอให้ท่านนำยาไปส่งให้ด้วยขอรับ”

จี้เตี๋ยจดจำได้ว่าเป็นเสียงของอู๋ฮั่น เวลานี้จึงทั้งประหลาดใจและสับสน พลางนึกสงสัยว่าเหตุใดอีกฝ่ายพูดขึ้นมาในเวลาเช่นนี้

“ศิษย์พี่หญิงเจียง… นี่เจ้ารู้จักกับเจียงโม่หลี…” ไม่คาดคิดว่าสิงจงจะหยุดการกระทำพร้อมเผยความสงสัยออกมาผ่านสีหน้า แขนข้างที่แข็งกลายเป็นหินเองก็เลือนหายกลับกลายเป็นเลือดเนื้อขณะจ้องมองมา

เขาย่อมทราบนามของเจียงโม่หลี หรือจะกล่าวว่าทั่วทั้งฝั่งใต้ คงมีน้อยคนที่ไม่รู้จักนามดังกล่าว

ด้วยอายุยังเยาว์ นางสามารถทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่หก กล่าวได้ว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าสู่ฝั่งเหนือในปีนี้แล้วด้วยซ้ำ เพราะอนาคตอันสว่างไสวของนาง แม้กระทั่งผู้อาวุโสเจิ้งก็ยังไม่กล้ามีเรื่องด้วยโดยง่าย

“ก็รู้จัก” จี้เตี๋ยพบเห็นอาการตอบสนองของอีกฝ่ายพลันเผยประกายในดวงตาวูบขึ้นมา เขาได้เห็นว่าอีกฝ่ายมีความเกรงกลัวต่อเจียงโม่หลี และตอนนี้เองที่เขาเกิดเข้าใจ ว่าเหตุใดอู๋ฮั่นเลือกพูดขึ้นมาในสถานการณ์เช่นนี้

“ไม่เพียงแต่ข้ารู้จักศิษย์พี่หญิงเจียง แต่ยังคุ้นเคยด้วย! พวกเราเติบโตมาด้วยกัน รู้จักกัน และเป็นหวานใจต่อกันตั้งแต่ยังเด็ก! เจ้าที่ฟังความแต่ฝ่ายเดียวกลับสรุปไปแล้วว่าข้าคือฆาตกร หากศิษย์พี่หญิงเจียงทราบเรื่องย่อมไม่มีทางนิ่งดูดายแน่!” จี้เตี๋ยถือโอกาสเขียนเสือให้วัวกลัวโดยไม่รีรอ แม้ว่าในใจจะยังรู้สึกหวาดวิตกอยู่บ้างก็ตาม

เพราะทั้งเขาและเจียงโม่หลีไม่ใช่มิตรสหายอะไรต่อกัน เพียงแต่สถานการณ์ปัจจุบันบีบบังคับให้ต้องกล่าวอ้าง

อย่างน้อยเขาก็วาดภาพศิษย์พี่หญิงเจียงเพื่อข่มขวัญอีกฝ่ายได้

ส่วนว่าหากศิษย์พี่หญิงเจียงทราบเรื่องแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้น ก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตไป

สิงจงรับฟังคำกล่าวจนสีหน้าแปรเปลี่ยนจากดำมืดเป็นสว่างไสว

ปัจจุบันที่ไม่มีหลักฐานอะไรบ่งชี้ว่าจี้เตี๋ยเป็นคนฆ่า เรื่องราวทั้งหมดเป็นการฟังความและสรุปความแต่ฝ่ายเดียวโดยชายนามเหอเฉียง

หากว่าอีกฝ่ายพูดจริง และเป็นคนคุ้นเคยกับเจียงโม่หลีจริง หากเรื่องรู้ถึงหูนางเข้า เป็นไปได้มากที่เขาจะถูกต่อว่า และถึงเวลาเขาจะไม่อาจแบกรับโทสะจากนางได้ไหว

และแน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ได้โง่พอจะเชื่อทุกคำพูดของจี้เตี๋ยเช่นกัน!

สิงจงแค่นเสียงขึ้นจมูกก่อนจะชี้หน้าศิษย์ของพื้นที่โรงนาสุ่มคน ถัดจากนั้นจึงเรียกให้อีกฝ่ายก้าวออกมาเพื่อสอบถาม “ที่มันพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

“สมควรเป็นเรื่องจริงขอรับ ศิษย์พี่จี้รู้จักกับศิษย์พี่หญิงเจียงจริง ก่อนหน้านี้เขาเคยทำร้ายสัตว์อสูรของศิษย์พี่หญิงเจียงแต่กลับไม่ถูกลงโทษ ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังได้เห็นนางแวะมาพูดคุยกับศิษย์พี่จี้อีกหลายครั้งขอรับ” ศิษย์คนดังกล่าวที่พบเห็นสายตาคาดคั้น เขาจึงกล่าวความจริงที่เห็นทั้งหมดออกมาด้วยความหวาดกลัว

ภายหลังได้ยินคำบอกกล่าว สิงจงขมวดคิ้ว ตอนนี้เขาเริ่มเชื่อคำพูดขึ้นมาบ้างจนเกิดความลังเล สายตาจึงหันกลับมองยังจี้เตี๋ย เพราะไม่ทราบว่าควรจับกุมหรือว่าปล่อยตัวอีกฝ่ายไปดี

หากว่าจับกุมเด็กหนุ่มไป กรณีอีกฝ่ายเป็นคนสังหารจริงก็ไม่เป็นไร แต่หากว่าไม่ใช่ เช่นนั้นภายหน้านับจากนี้เขาจะแบกรับโทสะของเจียงโม่หลีไหวหรือไม่?

แต่หากว่าปล่อยไป เขาก็ไม่ทราบว่าควรอธิบายผู้อาวุโสเจิ้งอย่างไรดี

“ศิษย์พี่สิง…” พบเห็นอีกฝ่ายลังเล เหอเฉียงเผยสีหน้าแปรเปลี่ยน เพราะเขาปัจจุบันเขากับจี้เตี๋ยไม่อาจลงรอยด้วยกันได้อีกต่อไปแล้ว

มันคือสถานการณ์ที่หากเขาไม่ตาย อีกฝ่ายก็ต้องตาย

“ชายคนนี้ฆ่าผู้ดูแลนะขอรับ พวกเราจะปล่อยเขาไปเช่นนี้…”

“ไปรายงานเรื่องราวให้ผู้อาวุโสเจิ้งทราบ และขอให้ท่านเดินทางมาเพื่อตัดสินใจ” สิงจงหันสายตามองด้วยความเฉยชา เพราะเขาทราบแล้วว่าเรื่องราวมันเกินกว่าอำนาจตนเองจะตัดสินใจได้อีก ดังนั้นจึงสั่งเหอเฉียงให้ไปเชิญตัวผู้อาวุโสเจิ้งมา

เขาหันมองทางจี้เตี๋ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเอ่ยคำต่อ “เจ้าและข้ารอผู้อาวุโสเจิ้งอยู่ที่นี่ เรื่องที่เจ้าเป็นฆาตกรหรือไม่นั้น ผู้อาวุโสจะเป็นคนตัดสินใจ”

อย่างน้อยตอนนี้น้ำเสียงของอีกฝ่ายก็โอนอ่อนลงมาก

“ตกลง” จี้เตี๋ยพยักหน้ารับ พร้อมกับรู้สึกเกินคาดที่ชื่อของศิษย์พี่หญิงเจียงมีประโยชน์ถึงขนาดนี้ ปัจจุบันเขาจึงถอยหลบไปรออยู่อย่างเงียบงัน

เพียงไม่นาน ชายในชุดดำจึงปรากฏตัวเหนือพื้นที่โรงนา สุดท้ายจึงกระโดดลงมาจากกระบี่บินเล่มยาว

บุคคลผู้มาเยือนไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นผู้อาวุโสเจิ้งที่สิงจงเอ่ยถึง จากรูปลักษณ์แล้วอายุน่าจะราวสี่สิบปี สวมใส่ชุดคลุมสีดำปักลวดลายเมฆพร้อมกับแผ่พลังอันแข็งแกร่งออกมา

อีกฝ่ายหยุดยืนตรงหน้าฝูงชนขณะเปรยสายตามองทั่ว ทุกคนในที่นี้จึงพร้อมกันก้มศีรษะให้เป็นการคารวะ ขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่กล้าสบตา

‘ผู้อาวุโสเจิ้งงั้นหรือ…’ จี้เตี๋ยมองหน้าอีกฝ่ายพลางรับรู้ได้ถึงการสะกดข่ม แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองอะไร เขาก็ยังเลือกโค้งศีรษะให้

นับตั้งแต่มาถึงสำนักเจ็ดลึกล้ำ เขาเพิ่งเคยได้พบกับผู้อาวุโสเป็นครั้งแรก ขณะนี้เกิดรู้สึกได้ว่าชายวัยกลางคนตรงหน้ามีรากฐานการฝึกตนอันแข็งแกร่ง ทั้งยังมีสภาวะลมปราณที่ทัดเทียมกับสตรีโฉด

มันคือลมปราณอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณระดับสูง!

“สิงจง เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ข้าบอกให้เจ้าไปจับตัวฆาตกร แค่เรื่องเล็กน้อยกลับทำไม่ได้งั้นหรือ” เจิ้งอี้ที่ตอบรับการคารวะจากเหล่าศิษย์เรียบร้อยจึงหันไปสอบถามสิงจง

สำนักเจ็ดลึกล้ำมีผู้อาวุโสทั้งหมดห้าคน สองคนอยู่ฝั่งใต้ และอีกสามคนอยู่ฝั่งเหนือ พวกเขาแต่ละคนรับผิดชอบยอดเขาแต่ละแห่ง อีกฝ่ายคือผู้รับผิดชอบดูแลยอดเขาสรรพสัตว์

“รายงานผู้อาวุโส… เรื่องนี้…” สิงจงได้ยินน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ เวลานี้จึงไม่กล้าปิดบัง เขาเริ่มบอกเล่าถึงสายสัมพันธ์ระหว่างจี้เตี๋ยและเจียงโม่หลีออกมา

“เพื่อนสนิทสมัยเด็กของเจียงโม่หลี?” ภายหลังได้ยินเรื่องราว เจิ้งอี้ชะงักไป ถัดจากนั้นจึงหันมองยังเด็กหนุ่ม พิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า สุดท้ายจึงขมวดคิ้ว

เด็กหนุ่มตรงหน้ายังอ่อนเยาว์ เพียงแต่การฝึกตนกลับไปถึงกลั่นลมปราณขั้นที่ห้าแล้ว

“ศิษย์จี้เตี๋ย ยินดีที่ได้พบผู้อาวุโสเจิ้งขอรับ ข้าหาได้ทราบเรื่องราวความตายของผู้ดูแลไม่ ขอผู้อาวุโสเจิ้งคลี่คลายให้นามของข้าไร้มลทินด้วยขอรับ” พบเห็นสายตาจับจ้องมา จี้เตี๋ยรับรู้ถึงแรงกดดัน และเพราะไม่อาจหลบเลี่ยงหรือหลบซ่อน เขาจึงต้องแสร้งทำเป็นสงบเพื่อประสานหมัดกับฝ่ามือเป็นการตอบรับอย่างนอบน้อม

“เหอะ! จี้เตี๋ย หยุดการเสแสร้งของเจ้า! ผู้อาวุโสโปรดตรวจสอบถุงมิติของมัน ข้าเชื่อว่าจะต้องมีของของผู้ดูแลหวังแน่ขอรับ!” เหอเฉียงที่กลับมาจากการไปแจ้งข่าวคราวต่อเจิ้งอี้ เวลานี้กำลังหยุดยืนพลางหอบหายใจ

เขาไม่อาจขี่กระบี่บิน และเจิ้งอี้ก็ไม่คิดพาร่วมทางมาด้วย แต่เขาไม่กล้าปริปากบ่น

“เงียบ! เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นตลาดสดหรืออย่างไร? คิดว่าตนเองกำลังสั่งใคร? ข้าที่เป็นผู้อาวุโสย่อมตรวจสอบเรื่องราวให้กระจ่าง ไม่ใช่จับคนมั่วซั่วไร้ความผิด” เจิ้งอี้ตะโกนตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก เพื่อเป็นการขัดไม่ให้คนทั้งสองปะทะคารม

ในเมื่อสองฝ่ายให้การไม่ตรงกัน ก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโกหก

หากเขาเลือกเชื่อได้ เขาก็เลือกเชื่อเหอเฉียง เพราะหวังอวิ๋นหายตัวไปจริง

“เพียงแต่สิ่งที่เหอเฉียงกล่าวมาก็มีเหตุผล เพื่อตรวจสอบว่าเจ้าได้สังหารหวังอวิ๋นหรือไม่ ข้าจำเป็นต้องตรวจสอบถุงมิติของเจ้าว่ามีอะไรผิดแปลกอยู่หรือไม่”

เจิ้งอี้เพียงยกมือขึ้นก็ใช้พลังจิตช่วงชิงเอาถุงมิติจากเอวของจี้เตี๋ย จนกระทั่งมันลอยเข้าไปถึงมือของเขาอย่างง่ายดาย

4 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด