บทที่ 163 ผู้เฒ่าอูฉี
บางคนที่ได้ฟังมิคิดมีเจตนาร้ายใด พวกเขาแค่พบว่ามันน่าขันดี ที่มีเด็กน้อยผู้หนึ่งจากไหนไม่ทราบได้ ต้องการพิชิตเปลวไฟดารา หนึ่งในไฟประหลาดที่แม้แต่พวกเขาร่วมกันถึงหกคน ยังเป็นไปได้ยากเลย
หยางเสี่ยวเทียนหันมองยังสองสามคนนั้นแล้วกล่าวถาม ขณะมีสีหน้ายิ้มน้อยๆ แต่ดูจริงจัง “จะเป็นอย่างไร หากข้าสามารถพิชิตเปลวไฟดาราได้”
คำถามนี้ ไม่มีเพียงสองสามคนนั้นที่ผงะประหลาดใจ พวกเขาแต่ละคนต่างหันมองหน้ากันด้วยความรู้สึกอันตรงกันข้าม
ชายชราถือไม้เท้าหันเหลียวมองหยางเสี่ยวเทียน พร้อมปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าอันเหี่ยวย่น “เด็กน้อยเอ๋ย หากเจ้าสามารถพิชิตเปลวไฟดาราได้ ข้าจะคำนับเจ้าในฐานะอาจารย์ข้าโดยไม่ขัดข้อง พร้อมยินดีติดตามเจ้าไปทุกหนแห่ง!”
ชายชราหมายว่ามันเป็นเรื่องตลก เพียงคิดเอ่ยเล่นสนุกสนานกับคำถามของเด็กไม่รู้เดียงสาผู้นี้เท่านั้น
“ตกลง!” หยางเสี่ยวเทียนกล่าว ทำรอยย่นบนใบหน้านั้นพลางกระตุกเกร็ง
เมื่อยังเห็นว่าหยางเสี่ยวเทียนมีท่าทางจริงจัง ชายชราจึงเผยยิ้มสู้และกล่าวว่า “หากเจ้าไม่สามารถพิชิตเปลวไฟดาราได้เล่า เจ้ามีสิ่งใดมาเสนอแก่เรา”
“หากข้าไม่สามารถพิชิตเปลวไฟดาราได้ โอสถวิญญาณหลงหู่ระดับนิรันดร์นี้จะเป็นของท่าน” มุมปากหยางเสี่ยวเทียนเผยยก ขณะหยิบโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับนิรันดร์ออกมาจากแหวนเตาหลอมหนึ่งเม็ด
“โอสถวิญญาณหลงหู่ระดับนิรันดร์!” ไม่เพียงผู้เฒ่าชราเท่านั้น แต่ทั้งห้าคนยังพร้อมใจเบิกตาตกตะลึงอีกด้วย
พวกเขาหกคนล้วนเป็นปรมาจารย์นักปรุงโอสถ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งกลิ่นหอมอันเย้ายวนแลสีสันที่สดใสบ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ของโอสถระดับนิรันดร์นั้น พวกเขารู้จักเป็นอย่างดีแค่ไหน ทราบกระทั่งว่าโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับนิรันดร์นั้นหายากเพียงใด
ซึ่งโอสถระดับนี้ มีแต่คนในราชวงศ์แห่งจักรวรรดิเทียนโต้วเท่านั้น ที่มีมันในครอบครอง ทั้งยังเก็บรักษามันดั่งของสะสมเสริมอำนาจและบารมี
แต่เด็กผู้นี้ มีมันไว้ในครอบครองอยู่อันหนึ่งจริงงั้นหรือ
“เช่นนั้นตกลง!” หลังผู้เฒ่านิ่งอึ้งอยู่ครู่ เขาก็กลับมามีสติอีกครั้งก่อนมองหน้าขาวใบเล็กๆ ของเด็กน้อยหยางเสี่ยวเทียนผู้ไร้เดียงสา ด้วยสายตาชวนฝัน
เขาไม่เพียงประทับใจกับโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับนิรันดร์ ที่เด็กน้อยยื่นออกมาเป็นเครื่องประกันเท่านั้น แต่ชายชรายังมีความใคร่สงสัยในตัวหยางเสี่ยวเทียนด้วย ว่าต้นตระกูลเป็นใครมาจากไหน
เหตุไฉน ปรากฏตัวในหุบเขาพิษดับวิญญาณ ทั้งยังพกโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับนิรันดร์อันล้ำค่า ติดตัวไปไหนมาไหนด้วยอย่างมิเกรงกลัวถึงภัยใด ช่างเต็มไปด้วยปริศนาน่าค้นหายิ่ง
และสิ่งที่ทำเขากังขาพร้อมอยากรู้อีกประการสำคัญคือ เด็กผู้อยู่ตรงหน้าเขานี่ จะใช้วิธีการใดพิชิตเปลวไฟดารากัน วาจาจึงเต็มไปด้วยความมั่นใจเช่นนี้
“หากข้าพิชิตเปลวไฟดาราได้ หวังว่าผู้เฒ่า จะปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านเพิ่งกล่าว” หยางเสี่ยวเทียนเอ่ย น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น
ชายชราหัวเราะไหล่โยกไหว เมื่อเห็นท่าทีมาดมั่นของหยางเสี่ยวเทียน “ฮ่า ฮ่า วางใจเถิด ข้าอูฉี เป็นคนรักษาคำพูดยิ่งกว่าชีวิต หากกล่าวคำไหนออกไป ทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้น ข้าไม่ใช่ตาเฒ่าชั่วร้ายที่จะกลับคำกล่าวตน”
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้าพร้อมสืบเท้าเดินเข้าหากลุ่มเปลวไฟดาราทันที
อูฉีงั้นรึ หลัวชิงเหลือบมองไปที่ชายชราผู้กล่าวเอ่ยนามตนขึ้นมานั้นอย่างเงียบๆ ขณะเริ่มขบคิดด้วยรู้สึกว่านามนี้ค่อนข้างคุ้นเคยและดูเหมือนจะเคยได้ยินจากไหนสักแห่งมาก่อน
เขาละสายตาจากชายชรา ก่อนมุ่งความสนใจหันเฝ้าระวังให้หยางเสี่ยวเทียนผู้กำลังย่างเท้าหาสิ่งอันตรายยิ่งกว่าเบื้องหน้า
ท่ามกลางดวงตาทุกคู่ที่ต่างระทึกใจระคนเป็นห่วงหยางเสี่ยวเทียนผู้ยังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า อย่างไร้ซึ่งความรู้สึกประหวั่นใด
เพลานี้ แม้จะไม่มีใครอดเป็นกังวลมิได้ แต่พวกเขาก็ใคร่อยากเห็น ว่าเด็กน้อยผู้มีสีหน้านิ่งเรียบนี่ ไปรับความมุ่งมั่นและมั่นใจจากไหนจึงกล้าหาญ เอาชีวิตตนมาเสี่ยงทั้งที่อายุยังน้อยมากถึงเพียงนี้
ขณะหยางเสี่ยวเทียนเข้าใกล้กลุ่มเปลวไฟดารา มันก็พร้อมพุ่งโจมเข้าหาหมายผลาญเขาให้เป็นจุณทันที
“ระวัง!” ชายชราและคนอื่นๆ ที่เห็นความเร็วในการเคลื่อนไหวนี้ ต่างอดเผยปากร้องเตือนเขาอย่างพร้อมเพรียงไม่ได้
สิ้นเสียงร้องตะโกนจากคนเหล่านั้น แสงสว่างสีทองรอบกายหยางเสี่ยวเทียนก็พลันปรากฏขึ้นปกคลุมทั่วตัวเขาประหนึ่งเกราะชั้นดีจากสวรรค์
เมื่อเปลวไฟดาราพุ่งกระทบหยางเสี่ยวเทียน มันก็เพียงปะทะถูกชั้นเกราะสีทองบางๆ เท่านั้น ไม่กระเทือนถึงกายเขาที่อยู่ภายในเลยแม้แต่น้อย
และแน่นอนว่าแสงอันน่าอัศจรรย์ ที่ดูธรรมดาแต่แข็งแกร่งนี้ มันคือแสงที่ปล่อยออกมาจากตาเฒ่าเตาหลอมเหยาติง
ที่แม้แต่ไฟศักดิ์สิทธิ์อย่างเปลวไฟอัสนีแห่งทัณฑ์สวรรค์และเปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณ ก็ยังไม่สามารถผลาญทำลายแสงของเหยาติงออกไปได้ ไม่ต้องกล่าวถึงหนึ่งในไฟประหลาดอันดับเจ็ดสิบสามดั่งเปลวไฟดาราเลย ว่ามันจะแก่กล้าได้แค่ไหนกันเชียว
หลังชายชราและอีกหลายคนปรับสายตาจากความสว่างนั้นได้ พวกเขาถึงประจักษ์เห็นชัดว่าแสงเรืองรองอันน่าพิศวง สำแดงขึ้นจากตัวหยางเสี่ยวเทียนเป็นผู้ก่อกำเนิด ให้เปลวไฟดารามิสามารถทำอันตรายใดแก่เขาได้
ทุกคนต่างเบิกตาประหลาดใจ เพียงชั้นแสงบางๆ แต่กลับทรงอานุภาพปิดกั้นได้กระทั่งพลังเผาผลาญจากเพลิงแห่งสวรรค์และโลกเชียวหรือ
ไม่ว่าผู้ใด ต่างก็ล่วงรู้ถึงพลังอำนาจของไฟแห่งสวรรค์และโลกดี ว่าพวกมันล้วนทรงพลังยากจะป้องกันให้คนผู้นั้นปลอดภัยได้ง่ายๆ ดั่งเช่นเปลวไฟดารา หนึ่งในไฟประหลาดอันดับเจ็ดสิบสามนี้ ที่แข็งแกร่งยากจะกำราบแค่ไหน
ขนาดพวกเขาทั้งหก ยังร่วมกันปราบมันให้สิ้นฤทธิ์ไม่ได้ นอกจากประสบกับอาการบาดเจ็บแลหวั่นกลัว เพลาที่มันพุ่งโจมเข้าหาอย่างมิหยุดหย่อน ทำพวกเขาแทบสิ้นเรี่ยวแรง กระทั่งเผลอสติคิดปล่อยให้มันผลาญจนเหลือเพียงเถ้ามาแล้ว
แต่ตอนนี้ เปลวไฟดาราที่พวกเขาไม่สามารถกำราบได้ กลับถูกสยบโดยแสงสีทองจากตัวเด็กคนนี้ ที่ใช้เพียงปิดกั้นกายจากมันไว้เท่านั้นจริงหรือ
หยางเสี่ยวเทียนยืนนิ่งภายใต้ชั้นเกราะบางๆ อย่างสงบ เพื่อเรียนรู้ลักษณะนิสัยของเปลวไฟดาราที่พยายามพุ่งทะลวงเข้าหาเขาไม่มีเหน็ดเหนื่อย
พอทำความคุ้นเคยกับมันแล้ว เขาก็พร้อมปลดปล่อยปราณมังกรแรกเริ่มในกาย โดยยื่นมือทั้งสองข้างไปเบื้องหน้าก่อนมังกรจะพุ่งออกมาโจมเข้าหามันบ้าง
เสียงคำรามของมังกร ดังกึกก้องไปทั่วหุบเขาพิษดับวิญญาณทันที
ภายใต้สายตาที่ยังเบิกค้างด้วยประหลาดใจของใครหลายๆ คน ภาพธรรมปราณมังกรแท้จริงถึงยี่สิบตัวก็ปรากฏ ลอยพุ่งออกจากฝ่ามือของหยางเสี่ยวเทียน โถมเข้าเกี่ยวพันรอบเปลวไฟดาราได้อย่างน่าเหลือเชื่อ