บทที่ 164 การแลกเปลี่ยนที่ทัดเทียม
ครานี้ เป็นปราณแท้มังกรของหยางเสี่ยวเทียนบ้างที่เป็นฝ่ายปะทะเปลวไฟดารา พวกมันทั้งยี่สิบกระหน่ำโจมตีพร้อมส่งเสียงคำรามอย่างดุเดือด กระทั่งเปลวไฟดาราไม่สามารถทะลายพันธนาการจากปราณมังกรได้
“ขั้นเซียนสวรรค์ระดับแปด!” น้ำเสียงพึมพำของชายชราสั่นเทา ด้วยไม่หวังว่าเด็กน้อยผู้อยู่ตรงหน้า จะกลายเป็นวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์ระดับแปด
หรือเด็กผู้นี้ คือเชื้อสายจากจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ แห่งอาณาจักรมังกรศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นหรือไม่
ไม่สิ!
แม้แต่ผู้สืบเชื้อสายของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ก็ยังมิอาจเป็นวิญญาจารย์ผู้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ หลังจากเพิ่งปลุกวิญญาณยุทธ์ได้ไม่นานเช่นนี้
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงขั้นเซียนสวรรค์ระดับแปด เพราะนั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่
ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้น คือปราณแท้ของเด็กเบื้องหน้าข้า มันคืออะไรกันแน่ ทำไมถึงปลดปล่อยพลังจากปราณให้แสดงอำนาจได้แก่กล้ามากเพียงนี้
พวกเขาทุกคน ล้วนไม่เคยมีใครได้ประสบพบเห็นปราณแท้ ที่ปรากฏออกมามีรูปร่างเป็นมังกรมาก่อน!
อีกทั้งปราณมังกรนี้ ยังสามารถปราบพยศอันทรงพลังของเปลวไฟดารา กระทั่งมันแทบสิ้นฤทธิ์จนไม่หลงเหลือความน่ายำเกรงครู่ก่อนหน้านั้นได้เลย
แม้แต่ปราณแท้ของผู้ที่อยู่ในขั้นจักรพรรดิยุทธ์หลายคน ก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้ หรือเกี่ยวพันเปลวไฟดาราได้ ไฉนปราณแท้ของเด็กน้อยคนนี้กลับสามารถจัดการมันลงได้อย่างง่ายดาย
นอกจากคนพวกนี้จะเบิกตากว้างขณะจับจ้องหยางเสี่ยวเทียนแล้ว ปากพวกเขายังอ้าค้างพร้อมสีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจปนความไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นอีกด้วย
นอกจากหยางเสี่ยวเทียนจะใช้ปราณแท้จับเปลวไฟเหล่านั้น เขายังใช้มันพิชิตเปลวไฟดาราอีกต่างหาก
ภายในเวลาไม่ถึงชั่วยาม เพลิงที่ลุกโชติช่วงของเปลวไฟดาราก็เริ่มสงบลง
โดยไม่รั้งรอ หยางเสี่ยวเทียนเร่งใช้ทักษะควบคุมไฟ พลางโบกมือสร้างอักษรรูนเพื่อกำกับไฟพุ่งออกไปทีละตัวจับพวกมัน ก่อนอักษรเหล่านั้นจะพลันดูดซับเปลวไฟดาราเบื้องหน้า
ก่อนสุดท้าย เปลวไฟดาราที่มิต่างจากหายนะหน้านั้น จะถูกกำราบจนสิ้นพยศ พร้อมให้เด็กน้อยหยางเสี่ยวเทียนพิชิตโดยสมบูรณ์ ด้วยเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น
หยางเสี่ยวเทียนเหยียดมือขวาเขาออกไป รับเปลวไฟดาราที่กำลังหดตัวเล็กลง มันลอยอยู่บนอากาศไม่นานก่อนจะตกลงบนฝ่ามือของหยางเสี่ยวเทียน
ทันทีที่เปลวไฟดาราประทับอยู่บนฝ่ามือเขา แสงรัศมีแห่งดวงดาราก็ส่องสว่างจรัสไปทั่วร่างของหยางเสี่ยวเทียน ทำให้เขาดูราวกับบุตรแห่งดาราจักร
ยามนี้ เปลวไฟดาราค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ฝ่ามือหยางเสี่ยวเทียน โคจรไปทั่วร่างแล้วเคลื่อนมาบรรจบกันที่ตันเถียน
เปลวไฟอัสนีแห่งทัณฑ์สวรรค์ ส่องแสงสุกสกาวอยู่กลางตันเถียน ในขณะที่เปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณและเปลวไฟดาราลายล้อมมันอยู่รอบข้าง
อูฉีแล้วคนของเขาที่อยู่รอบข้าง นิ่งค้างเฝ้าดูหยางเสี่ยวเทียนพิชิตเปลวไฟดาราจนสำเร็จทุกขั้นตอน และต่างไม่มีใครเปล่งเสียงกล่าวอันใดได้ ด้วยพากันตกตะลึงเป็นเวลานาน
ในเวลาเพียงชั่วยาม เปลวไฟดารา หนึ่งในร้อยอันดับแรกของไฟประหลาด ก็ถูกเด็กตัวเล็กๆ ที่อยู่เบื้องหน้าเขาพิชิตไปจนได้
เมื่อหยางเสี่ยวเทียนพิชิตเปลวไฟดาราได้จริงดั่งกล่าว พวกเขาก็มิต่างตกอยู่ในห้วงภวังค์ พากันนิ่ง แข็งทื่อราวกับศิลา
ไม่นานหลังได้สติ อูฉีก็สูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนแสดงรอยยิ้มอันขมขื่นให้กับหยางเสี่ยวเทียน “ข้าไม่คิดเลยว่า เจ้าจะสามารถพิชิตเปลวไฟดาราได้จริงๆ”
หยางเสี่ยวเทียนส่ายศรีษะขณะพลางกล่าวว่า “ครั้งนี้ข้าไม่ได้ทุ่มกำลังมากเท่าไรนัก จึงนับว่าช้าแลทำเสียเวลาไปมาก”
พวกเขาทั้งหมดสะดุ้งตกใจในทันทีหลังได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ย เป็นเพราะตอนนั้นเขาไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด ไม่เช่นนั้นคงพิชิตมันได้รวดเร็วกว่านี้อย่างงั้นหรือ
ประโยคนั่น ทำอูฉีพร้อมคนทั้งห้าเกือบสำลักพิษในหุบเขาตาย เพราะเวลาเพียงชั่วยามในการพิชิตเปลวไฟดารา ยังนับว่าช้าเกินไปสำหรับเขา
เด็กนี่กล่าวเช่นนั้นได้อย่างไร ว่าใช้เวลาเพียงชั่วยามถือว่านานเกินไป แล้วพวกข้าเล่า พวกข้าที่พยายามอย่างหนักมาหลายปีแต่ก็ยังมิอาจพิชิตมันได้ แบบนี้เรียกว่าอะไร หากไม่เรียกว่าไร้ประโยชน์
“ท่านผู้เฒ่า ท่านยังจำคำพูดของท่านได้อยู่หรือไม่” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวกับอูฉี
ใบหน้าของอูฉีมืดมนลงราวกับจะหมดสติ แต่ไม่ช้าเขาก็สืบเท้าเข้าหาหยางเสี่ยวเทียน
เมื่อเห็นชายชราเดินพุ่งตัวเข้าหาอย่างเร็วเช่นนั้น หลัวชิงก็รีบปรี่มายังเบื้องหลังของหยางเสี่ยวเทียน และจับจ้องการเคลื่อนไหวของชายชราทุกฝีก้าว ด้วยหวาดหวั่นว่าเขาจะทำอันตรายต่อหยางเสี่ยวเทียน
แม้เขาจะไม่สามารถสัมผัสถึงความแข็งแกร่งแท้จริงของชายชราผู้เป็นจอมเวทย์คนนี้ได้ แต่ความแข็งแกร่งของศิษย์เขานั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ซึ่งมาตรว่าต้องแข็งแกร่งกว่าเขาก็เป็นแน่
หลัวชิงรู้สึกตึงเครียด ขณะอูฉีเมื่อบรรลุถึงหยางเสี่ยวเทียน เขาก็รีบยกมือประสานกันแน่นพร้อมกล่าวว่า “อูฉีขอคารวะท่านอาจารย์” จากนั้นโน้มคำนับ
บรรดาศิษย์ของอูฉี ต่างมีอารมณ์คละเคล้ากันไป
พวกเขายืนนิ่งตะลึงลานราวกับคนโง่ ไม่รู้ว่าควรปฏิบัติตนเช่นไรในยามนี้ ระหว่างที่คนหนึ่งยื่นมือออกไปหมายจะกล่าว ผู้เป็นอาจารย์เขาก็พลันกล่าวแทรกขึ้นมาในทันที
“พวกเจ้ารอช้าอยู่ไย ไฉนไม่รีบมาคำนับท่านอาจารย์เล่า!” อูฉีสังเกตเห็นท่าทางลังเลของทั้งห้า ใบหน้าเขาก็มืดลงพลันเปิดปากตวาดเสีย
แรงกดดันอันมหาศาลของผู้เป็นอาจารย์ พานให้ทั้งห้ามีสีหน้าข่มขืน แต่ไม่ช้า พวกเขาก็ดาหน้าเข้ามาหาหยางเสี่ยวเทียน แล้วคำนับเปิดปากเรียกเขาว่าอาจารย์อย่างจำยอม
พวกเขามิได้รังเกียจอะไร เพียงแต่มันอึดอัดใจที่จะให้เรียกเด็กว่าอาจารย์ก็เท่านั้นเอง
หยางเสี่ยวเทียนเห็นสีหน้าอึดอัดของอูฉีและคนอื่นๆ จึงกล่าวกับอูฉี “ท่านผู้เฒ่า จากนี้ไปพวกท่านไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ เพียงแต่ว่า พวกท่านต้องหลอมโอสถให้ข้าเป็นเวลาสิบปีแทน พวกท่านเห็นเป็นเช่นไร”
“แน่นอน ข้าจะไม่ให้พวกท่านหลอมโอสถให้ข้าเปล่าๆ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนที่ทัดเทียม ข้าจะมอบโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับนิรันดร์ให้กับพวกท่านเป็นการทดแทน”
อูฉีรู้สึกราวกับถูกยกภูเขาออกจากอก หลังได้ยินหยางเสี่ยวเทียนกล่าวเช่นนั้น ว่าไม่จำเป็นต้องเรียกเขาว่าอาจารย์อีกต่อไป
แต่เขาสะดุ้งทันทีที่ได้ยิน ว่าพวกเขาต้องหลอมโอสถให้หยางเสี่ยวเทียนเป็นเวลาสิบปี และหยางเสี่ยวเทียนจะมอบโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับนิรันดร์ให้ทุกปีถือเป็นการแลกเปลี่ยน
“ตกลง” อูฉีพยักหน้ายอมรับเงื่อนไขนั้น
“ดี เช่นนั้นท่านผู้เฒ่า พวกท่านสาบานกับฟ้าดินต่อหน้าข้าได้หรือไม่” หยางเสี่ยวเทียนกล่าว