ตอนที่ 30 เจ้าคิดมากไปแล้ว
ตอนที่ 30 เจ้าคิดมากไปแล้ว
คำถามของเซียวเฉินทำให้สีหน้าของหยางฉีบิดเบี้ยวราวกับกินหนูตายเข้าไป หยางฉีคิดไม่ถึงเลยว่าที่ชายผู้นี้ไม่ได้ลงชื่อสมัครเข้าร่วมการคัดเลือกของสำนัก ก็เพราะมีเตราประทับของศิษย์สายตรงในมือ!
อีกทั้งยังเป็นศิษย์สายตรงของอาจารย์เหมย!
ศิษย์ในสำนักสวรรค์ไร้ขอบเขตแบ่งออกเป็นสามระดับ ได้แก่ สามัญ ประทับนาม และสายตรง
ศิษย์ในระดับต่าง ๆ มีสถานะต่างกันลิบลับ สิทธิ์ในครอบครองก็แตกต่างกันตามไปด้วย
หยางฉีเป็นเพียงศิษย์ประทับนาม และอาจารย์ของเขาก็มีสถานะต่ำกว่าอาจารย์เหมยมาก
ในใจของเขารู้สึกเสียใจยิ่งนักที่คิดจะแย่งชิงคู่บำเพ็ญของศิษย์สายตรง
อีกทั้งเขายังพูดจาเหิมเกริมว่าจะให้ศิษย์สายตรงคุกเข่าขอโทษตนเอง
เขาแทบจะสงสัยว่าตนเองเสียสติไปแล้ว
“ข้า... ข้าตาบอด ไม่รู้จักศิษย์พี่ โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
ผู้คนตกตะลึงกับคำพูดที่หลุดออกมาของหยางฉี!
พวกเขายังไม่ได้เข้าสำนักสวรรค์ไร้ขอบเขต จึงไม่เข้าใจเรื่องตราประทับศิษย์สายตรง และไม่ค่อยได้ยินชื่ออาจารย์เหมย เมื่อได้ยินหยางฉียอมขอโทษโดยสมัครใจ ไหนเลยจะไม่ประหลาดใจ
ยิ่งไปกว่านั้นหยางฉียังเรียกอีกฝ่ายว่าศิษย์พี่
ดูจากวัยและพลังบำเพ็ญของชายหนุ่มผู้นี้ ไม่มีทางที่เขาจะเป็นศิษย์พี่ของหยางฉีได้
หยางฉีเจียมเนื้อเจียมตนขึ้นมาทันที!
“นี่คือท่าทีขอโทษหรอกหรือ” เซียวเฉินกล่าว ชวนให้ผู้คนสั่นสะท้านอีกครั้ง ขณะย้อนนึกคำพูดของหยางฉีก่อนหน้านี้
เขาให้เซียวเฉินคุกเข่าขอโทษตนเอง
หัวใจของหยางฉีสับสนยิ่งนัก เขาทำให้ศิษย์สายตรงอับอายจริง ๆ จะคุกเข่าก้มหัวก็สมควรแล้ว
ทว่าที่นี่คือด้านนอกสำนัก มีผู้คนนับไม่ถ้วนเฝ้าดูอยู่
และเซียวเฉินก็เป็นศิษย์สายตรงที่เขาไม่รู้จัก
ให้เขาคุกเข่านั้นยากจะยอมรับได้
“มันไม่มากเกินไปหรือ” หยางฉีหน้าเสีย
“ทำไมเจ้าไม่รู้สึกว่าตอนให้ข้าคุกเข่าขอโทษมันมากเกินไปบ้างเล่า การกระทำของเจ้าเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร คิดว่าข้าดูไม่ออกหรือ”
เซียวเฉินเอ่ยเสียงแข็ง หากไม่ใช่เพราะเคารพกฎของสำนักที่ห้ามฆ่าศิษย์ร่วมสำนัก หยางฉีคงตายไปนานแล้ว
กล้าแย่งชิงผู้หญิงต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ เขาไม่ยอมให้อภัยโดยเด็ดขาด
“ช่างเถิด ข้ารับผิดเอง”
หยางฉีราวกับต่อสู้กับความคิดในใจอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง ‘ตึง’
สายตาของผู้คนนับไม่ถ้วนต่างจับจ้องไปที่หยางฉีในเสี้ยววินาทีนี้
ในฐานะศิษย์ที่รับผิดชอบการลงชื่อสมัคร เขากลับคุกเข่าลงบนพื้น
“เช่นนี้พอใจหรือยัง” หยางฉีอับอายสุดขีด เขาเกลียดเซียวเฉินแต่ไม่กล้าแสดงออก
เซียวเฉินไม่แม้จะมองเขาอีก จับมือไป๋เนี่ยนปิงเดินไปที่ซุ้มประตูราวกับประกาศความเป็นเจ้าของ
“เจ้าเก็บรวบรวมเศษกระดาษเองแล้วกัน พรุ่งนี้เนี่ยนปิงจะเข้าร่วมการคัดเลือกตามปกติ หากกล้าขัดขวางอีก ข้าจะฆ่าเจ้า”
เสียงของเซียวเฉินก้องกลางลานเงียบสงบ หยางฉีลนลานเก็บเศษกระดาษบนพื้น ต้องการต่อกระดาษที่บันทึกข้อมูลของไป๋เนี่ยนปิง
“ข้าจำได้แล้ว เขาคือนักฆ่าระเบิดหัวที่สังหารคนเมืองกาลครามในโรงเตี๊ยมทักษิณไพศาล”
“เป็นเขานี่เอง เขาเป็นศิษย์ของสำนักสวรรค์ไร้ขอบเขตตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ดูท่าแล้วคงมีสถานะไม่ต่ำในสำนัก ดูเหมือนว่าเราไม่ควรคิดจะแย่งชิงหญิงสาวข้างกายเขาแล้ว”
เมื่อหยางฉีเก็บเศษกระดาษชิ้นสุดท้ายได้ ร่างในชุดคลุมสีเขียวมรกตก็เดินมาหาก่อนก้มมองเขา
หยางฉีเงยหน้าขึ้น สีหน้าสั่นสะท้าน “คุณชายจัว”
“ความอับอายที่เขามอบให้เจ้า เจ้าต้องการให้ข้าชดใช้ให้เจ้าเป็นสองเท่าหรือไม่” ผู้มาเยือนคือจัวชิง บุคคลที่ยามปกติหยางฉีไม่กล้าแม้แต่จะประจบประแจง
“ต้องการ” หยางฉีแทบจะกัดฟัน
“ต้องการก็ทำตามคำสั่งของข้า” คำพูดของจัวชิงจุดประกายความหวังของหยางฉี
“ฟังคำสั่งของคุณชายจัวทุกประการ” หยางฉีรู้ดีว่าเขาไม่สามารถสู้กับศิษย์สายตรงของอาจารย์เหมยได้ด้วยตัวเอง แต่หากมีจัวชิงผู้เป็นศิษย์สายตรงเช่นเดียวกันคอยหนุนหลัง สถานการณ์ก็จะแตกต่างไป
“เจ้าตามข้ามา เรื่องของเจ้าที่นี่ข้าจะจัดการให้คนอื่นทำแทน”
จัวชิงกล่าว หยางฉีรีบพยักหน้ารับ เขาไม่ต้องการอยู่ที่ลานแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว ที่นี่ทำให้เขาอัปยศอดสูไม่น้อย
เรื่องราวของหยางฉีและเจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองกาลครามแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ศิษย์ที่รับผิดชอบการลงชื่อสมัครในลานถ่อมตัวลงมาก กลัวว่าจะเจอ “นักฆ่าระเบิดหัว” แสนโหดเหี้ยมอีก
ในขณะเดียวกัน ชื่อของเซียวเฉินก็เริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนมากขึ้น
เมื่อก้าวเข้ามาในสำนักสวรรค์ไร้ขอบเขต หอคอยและเรือนต่าง ๆ ตั้งตระหง่านเป็นระเบียบ
เซียวเฉินเดินตามคำแนะนำของจูชิงฮวนในสำนักอยู่นานกว่าจะหาที่อยู่ของอาจารย์เหมยพบ
ศิษย์ส่วนใหญ่ที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาในสำนักต่างอาศัยอยู่ในหมู่เรือน โดยหลายคนอาศัยอยู่ในห้องเดียวกัน
ศิษย์ประทับนามสามารถมีห้องส่วนตัวได้
ส่วนศิษย์สายตรงนั้นได้รับการปฏิบัติต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกเขาติดตามไปอาศัยอยู่อาจารย์ของตน โดยอาศัยอยู่ในเรือนข้าง ๆ ผู้อาวุโส เพื่อให้ได้รับคำแนะนำจากผู้อาวุโสได้ทุกเมื่อ
เรือนของอาจารย์เหมยอยู่ที่สุดฟากเรือนผู้อาวุโส ทั้งเงียบสงบและสันโดษ
ก๊อก ๆๆ
เซียวเฉินเคาะประตูเบา ๆ ก่อนได้ยินเสียงจากด้านใน “เข้ามา”
เมื่อเปิดประตูก็เห็นร่างในชุดคลุมสีขาวนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกหันหลังให้เขา มือถือคัมภีร์โบราณ
เซียวเฉินกำลังจะเข้าไปคารวะ ทว่ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เงาหลังนี้ดูอ่อนเยาว์เกินไป
ร่างในชุดคลุมสีขาวหันกลับมา เผยให้เห็นใบหน้าสง่างามและหล่อเหลา เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าคือศิษย์น้องใช่หรือไม่”
“ศิษย์พี่” เซียวเฉินโพล่งเอ่ย
“จี้หรูเปย” ชายชุดขาวกล่าว
“ข้าขอคารวะศิษย์พี่จี้” เซียวเฉินกล่าว ไป๋เนี่ยนปิงก็กล่าวตาม
จี้หรูเปยคล้ายเคยได้ยินจูชิงฮวนพูดถึงไป๋เนี่ยนปิงมาก่อนจึงไม่แปลกใจที่นางมาด้วย เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “อาจารย์กำลังพักผ่อน พวกเจ้ารออีกสองสามวันค่อยไปคารวะท่าน”
“พักผ่อนหรือ สองสามวันเชียวหรือ” เซียวเฉินอึ้งเล็กน้อย
“อื้ม อาจารย์พักผ่อนค่อนข้างนาน อย่างน้อยก็สองสามวัน” จี้หรูเปยกล่าว
“แล้วอย่างมากที่สุดเล่า” เซียวเฉินรู้สึกสับสน
“หนึ่งหรือสองเดือน หรืออาจตลอดฤดูหนาว” จี้หรูเปยย้อนนึก
“การพักผ่อนของอาจารย์หมายถึงอะไรกัน” เซียวเฉินคิดว่าอาจารย์เหมยได้รับบาดเจ็บและต้องการพักฟื้น
“นอนหลับ” จี้หรูเปยกล่าวอย่างชัดเจน
“เข้าใจแล้ว” เซียวเฉินแตะศีรษะ รู้สึกราวกับติดกับดัก
นอนหลับตลอดฤดูหนาวอย่างนั้นหรือ
คนปกตินอนหลับกันเช่นนี้หรือ
“อย่าคิดมาก อาจารย์กล่าวว่าการนอนหลับก็นับเป็นการบำเพ็ญ” จี้หรูเปยเอ่ย “เพื่อระลึกถึงเคล็ดวิชาต่าง ๆ มันเป็นการขัดเกลาของขอบเขตสะพานชีวา”
“สมกับเป็นอาจารย์ สามารถพูดถึงการนอนหลับได้อย่างสง่างามเช่นนี้!” เซียวเฉินรู้สึกทึ่ง “เช่นนั้นพวกเราจะบำเพ็ญเช่นนี้ในยามปกติหรือไม่”
“อย่าหวัง! อาจารย์กล่าวว่าการบำเพ็ญของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน การบำเพ็ญโดยการนอนหลับนี้เหมาะสำหรับอาจารย์เท่านั้น ท่านเพิ่งมีความคิดเมื่อสองสามวันก่อนจึงรีบไปนอนหลับ ส่วนเจ้า วันหนึ่งนอนได้ไม่เกินสี่ชั่วโมง หากนอนเกินกว่านี้ข้าจะถลกหนังเจ้า”
จูชิงฮวนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าขณะเดินออกจากห้อง