ตอนที่ 24 ความจริงถูกเปิดเผย?
ตอนที่ 24 ความจริงถูกเปิดเผย?
“กลั่นลมปราณขั้นที่ห้า เอาละนะ!”
ขณะยาเข้าสู่ร่างกาย จี้เตี๋ยหลับตาลงขณะรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านในกายลงไปตั้งแต่ลำคอ
ทันใดนี้เองที่ลมปราณในกายของเขาเริ่มขยายขนาดใหญ่มากขึ้น พลังวิญญาณภายในร่างก็ราวกับส่งเสียงร้องเรียก วังวนขนาดใหญ่บังเกิดขึ้นจนมีคลื่นซัดราวกับพายุที่ก่อตัวกลางทะเลอย่างกะทันหัน
จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งอึดใจ ลมปราณจึงเริ่มเข้าสู่สภาวะวิกฤต มันส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำแผ่พุ่งออกมาจากร่างกาย
ขณะนี้ลมปราณของการกลั่นลมปราณขั้นที่ห้ากำลังไหลทะลักออกมา!
ปัจจุบันจี้เตี๋ยรับรู้เพียงแค่ประสาทรับฟังและการมองเห็นของตนเองกระจ่างชัด เขาสามารถพบเห็นการเคลื่อนไหวภายนอกบ้านได้ราวกับมันอยู่ใกล้แค่เอื้อม!
“นี่หรือคือการกลั่นลมปราณขั้นที่ห้า?!” ภายหลังพลังวิญญาณในร่างกายสงบลง จี้เตี๋ยจึงค่อยลืมตาขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
การกลั่นลมปราณขั้นที่สี่และห้า แม้ตัวเลขต่างกันเพียงแค่หนึ่ง แต่มันกลับเป็นช่องว่างที่ยากจะทะลวงเพื่อข้ามผ่าน หากมองทั่วทั้งฝั่งใต้แห่งสำนักเจ็ดลึกล้ำ คาดว่าคงมีผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่ห้าเพียงแค่หยิบมือ
กระทั่งเจียงโม่หลี ก็น่าจะเป็นเพียงผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่หก หรือก็คือสูงกว่าตัวเขาเพียงแค่หนึ่งขั้น!
“ตอนนี้เราแข็งแกร่งขึ้นกว่าขั้นที่สี่ประมาณหนึ่ง ยาทะลวงขอบเขตนี่สมกับชื่อของมันซะจริง!” จี้เตี๋ยกำลังยินดี การทะลวงการฝึกตนหนึ่งขั้น หมายถึงพลังวิญญาณในกายเพิ่มขึ้นจากขั้นก่อนหน้าเป็นเท่าตัว และมันกำลังเข้าใกล้การแปรสภาพพลังวิญญาณให้กลายเป็นแม่น้ำแล้ว!
วันถัดมา ที่คอกสัตว์ เจ้างูดำที่ดูง่วงซึม ยามพบเห็นผลไม้กลิ้งเข้าหาจึงกลืนเข้าไปโดยไม่มีลังเล อาการบาดเจ็บที่หางของมันคล้ายจะฟื้นตัวขึ้นมาประมาณหนึ่งแล้ว
‘ชักสงสัยแล้วสิว่าเราจะก้าวสู่ขั้นที่หกได้เมื่อไหร่!’ จี้เตี๋ยแสดงท่าทีคาดหวังขณะเดินออกจากโรงนา
เท่าที่เขาเรียนรู้มาในช่วงครึ่งเดือน ในบรรดาศิษย์ของสำนักเจ็ดลึกล้ำทางฝั่งใต้ ผู้แข็งแกร่งที่สุดเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่หก!
หากว่าเขาสามารถก้าวสู่ขั้นที่หกได้สำเร็จ เช่นนั้นคิดเดินเหินในฝั่งใต้ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวาง
“น่าเสียดายที่ตอนนี้ผลยกวิญญาณช่วยเราได้เพียงแค่เล็กน้อย คงต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะทะลวงสู่ขั้นที่หกได้สำเร็จ” จี้เตี่ยถอนหายใจ
ภายหลังทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่ห้าเมื่อคืน เขาทดลองใช้งานผลยกวิญญาณแล้ว พบว่าพลังวิญญาณที่ได้รับน้อยนิดจนน่าอนาถใจ
ผลยกวิญญาณหนึ่งผล กลับมอบพลังวิญญาณให้เพียงแค่เล็กน้อย…
ไม่ทราบว่าที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเขาทานมันเยอะจนเกินไป จนกระทั่งทำให้เกิดภูมิต้านทานขึ้น หรือว่าเพราะผลยกวิญญาณแทบไม่มีส่วนช่วยต่อผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่ห้ากันแน่…
หรือบางทีอาจเป็นเพราะทั้งสองประเด็นก็เป็นไปได้…
มันถือเป็นปัจจัยที่จี้เตี๋ยไม่อาจควบคุม เหตุผลที่เขาสามารถฝึกฝนก้าวหน้ารวดเร็วได้ มันแทบจะเป็นความดีความชอบของผลยกวิญญาณไปเสียทั้งหมด
สรรพคุณของผลยกวิญญาณที่เหลือเพียงแค่น้อยนิด ทำให้ความเร็วการฝึกตนของเขาจะยิ่งเชื่องช้าลง…
“ช่างมัน อะไรก็ดี ยังไงเราก็เพิ่งทะลวงสู่ขั้นที่ห้าได้สำเร็จ ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อนไปสู่ขั้นที่หกอะไรขนาดนั้น ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า!”
จี้เตี๋ยส่ายศีรษะ เขาทราบดีว่าไม่ควรคิดลบจนเกินไป และขณะกำลังจะกลับไปที่บ้านของตนเอง กลับได้พบว่ามีคนสองคนดักรออยู่ภายนอกโรงนา ขณะนี้พวกเขากำลังเดินเข้ามาใกล้
เป็นชายสองคน หนึ่งเป็นชายหนุ่มใบหน้าถือดีพร้อมความผันแปรทางการฝึกตนอันแข็งแกร่งแผ่พุ่งออกมาจากร่างกาย
ส่วนอีกคนหนึ่งที่ติดตามชายหนุ่ม คือเหอเฉียงที่หายหน้าหายตาไปนาน ปัจจุบันกำลังมีสีหน้าท่าทีประจบประแจง
‘พวกมัน…’ จี้เตี๋ยที่พบเห็นคนทั้งสองจึงขมวดคิ้ว เขาคาดเดาได้ ว่าคนทั้งสองสมควรมาเพราะความตายของชายหน้าม้า
และก็เป็นดังที่คาดคิดเอาไว้ ยามเหอเฉียงพบเห็นจี้เตี๋ยที่เพิ่งเดินออกมาจากโรงนา เวลานี้จึงแสดงท่าทียินดีเบิกบานออกมาผ่านทางสายตา
“ศิษย์พี่สิง มันคือฆาตกรที่ฆ่าผู้ดูแลหวังขอรับ! รีบจับมันเลยขอรับ!” เหอเฉียงแสดงอาการออกหน้าออกตาพร้อมชี้นิ้วมาทางจี้เตี๋ย
ในค่ำคืนที่ชายหน้าม้าออกไปตามล่าจี้เตี๋ย เขาคือคนที่รับผิดชอบเฝ้าจับตาไม่ให้ใครอื่นจากพื้นที่โรงนาไปรบกวน
เพียงแต่ผู้ใดกันคาดคิด ว่าท้ายที่สุดแล้วผู้ดูแลหวังจะไม่กลับมา แต่กลับได้เห็นจี้เตี๋ยกลับมาเสียแทน ดังนั้นเขาที่ตระหนักทราบถึงความผิดปกติจึงรีบร้อนหลบหนีออกจากพื้นที่แถบนี้เป็นการด่วน
เรื่องราวถัดจากนั้นก็เป็นดังที่เขาคาดคิด ชายหน้าม้าไม่ได้กลับมา หมายความว่าอาจจะตายไปแล้ว
เพื่อป้องกันไม่ให้จี้เตี๋ยฆ่าตนเองปิดปาก เขาจึงรีบไปรายงานผู้อาวุโสสำนัก กล่าวว่าผู้ดูแลหวังถูกฆ่า แต่เป็นการฆาตกรรมอำพราง! นอกจากนี้เขายังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่อีกฝ่ายคิดร้ายต่อผู้อื่นก่อนแม้แต่น้อย!
“มันคือจี้เตี๋ยงั้นหรือ?”
ชายหนุ่มที่มาด้วยนามว่าสิงจง อายุยี่สิบห้าปี เป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่ห้าผู้มีชื่อเสียงลือเลื่องในยอดเขาสรรพสัตว์
เนื่องจากยืนอยู่ไม่ไกลจากจี้เตี๋ย ยามได้ยินคำบอกกล่าว เขาจึงเลิกคิ้วมองมาด้วยความเหยียดหยัน
“เจ้าหนู กล้าดีอย่างไรถึงขั้นสังหารผู้ดูแล หาญกล้ายิ่งนัก!”
ถ้อยคำเหล่านี้อัดแน่นด้วยพลังวิญญาณ ยามกระทบเข้ากับประสาทรับฟังจึงเป็นประหนึ่งสายฟ้าฟาดเข้าใส่
“ศิษย์พี่กล่าวเช่นนี้หมายความถึงอย่างไร ข้าไม่เข้าใจแม้แต่น้อยขอรับ” จี้เตี๋ยยังคงอาการสงบตอบคำกลับ
“ไม่เข้าใจงั้นหรือ? เช่นนั้นข้าจะพูดให้ชัดเจนก็แล้วกัน! บุคคลผู้นี้รายงานว่าเจ้าได้ลงมือสังหารผู้ดูแลโรงนาหวังอวิ๋น! ข้าจึงรับคำสั่งจากผู้อาวุโสเจิ้งให้มาจับกุม! จงยอมจำนนเสีย หรือจะต้องเจ็บตัวก่อนแล้วจึงยอมรับ?”
สิงจงแค่นเสียงอันเย็นเยือก ทั้งยังไม่คิดเสียเวลาพูดพร่ำกับจี้เตี๋ยต่อ นิ้วทั้งห้าของเขากลับกลายเป็นกรงเล็บพร้อมคว้าตะปบเข้าที่หัวไหล่ของเด็กหนุ่มเตรียมสยบให้ยอมจำนน
จี้เตี๋ยที่พบเห็นจึงเผยสีหน้าดำมืด เขามองมือข้างนั้นด้วยความรู้สึกเย็นเยือกที่โลดแล่นทั่วทั้งกาย เป็นเหตุให้เขาต้องเร่งร้อนถอยเว้นระยะพลางอธิบาย
“ศิษย์พี่ท่านนี้อาจเข้าใจอะไรผิดแล้ว ข้าหรือจะสังหารผู้ดูแลได้? ข้าไม่ทราบเรื่องราวใดด้วยซ้ำ ขอท่านอย่าได้เชื่อคำของเหอเฉียงแต่ฝ่ายเดียวขอรับ!”
เพียงแต่สิงจงกลับแค่นเสียงขึ้นจมูกเป็นการตอบกลับ เห็นได้ชัดว่าไม่คิดฟังคำอธิบาย ภายหลังพบว่าการโจมตีพลาดท่า เขาจึงปะทุพลังทั้งหมดของผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่ห้าออกมา ชั่วพริบตานี้เองที่ร่างพุ่งทะยานประหนึ่งลูกธนู
“สำนักเจ็ดลึกล้ำคิดจับกุมผู้คนโดยอาศัยฟังความใส่ร้ายข้างเดียวเช่นนี้งั้นหรือ?!” จี้เตี๋ยเผยสีหน้าดำมืดขณะเร่งความเร็วถอยหลบเลี่ยง กระนั้นสิงจงรวดเร็วกว่า นิ้วทั้งห้าเปรียบดังกรงเล็บอินทรีที่หมายตาเหยื่อเอาไว้แล้ว มันคว้าเกี่ยวเข้ากับหัวไหล่ของเขาอย่างแม่นยำ
“บัดซบ!” จี้เตี๋ยสบถคำออกมาเพราะความเจ็บปวด ความดุร้ายทอประกายในสายตาของเขาก่อนจะปล่อยหมัดออกไปเพื่อบีบบังคับให้คู่ต่อสู้ต้องล่าถอย!
“ไม่รู้จักที่สูง!” สิงจงแค่นเสียงก่อนจะซัดหมัดเข้าใส่เช่นกัน ภายหลังเกิดเสียงปะทะดัง ทั้งสองฝ่ายต่างต้องถอยเท้ากลับคนละสองก้าวอย่างไม่อาจควบคุม
“เป็นไปได้ยังไง? มันถึงขั้นต่อสู้กับศิษย์พี่สิงได้!” เหอเฉียงมองภาพฉากตรงหน้าราวไม่คิดเชื่อสิ่งที่ตาเห็น
ดังทราบว่าสิงจงคืออัจฉริยะผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่ห้า ขณะที่จี้เตี๋ยนั้น เท่าที่เขาทราบเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ คนทั้งสองไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันแม้แต่น้อย
เพียงแต่ความเป็นจริงได้ปรากฏตรงหน้า จี้เตี๋ยสามารถรับหมัดของสิงจงเอาไว้ได้!
“เจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ แต่เป็นขั้นที่ห้า ไม่แปลกที่จะสังหารหวังอวิ๋นได้! เพียงแต่เจ้าเพิ่งทะลวงสู่ขั้นที่ห้า อย่าคิดว่าจะต่อกรกับข้าได้ แนะนำให้ยอมรับความพ่ายแพ้เสีย!” สิงจงขมวดคิ้ว เพราะเขาเพิ่งพิจารณาจากลมปราณที่จี้เตี๋ยปลดปล่อยออกมา จนคาดเดาระดับการฝึกตนของอีกฝ่ายได้โดยคร่าว
“ข้าไม่ได้ฆ่าใคร เหตุใดต้องยอมจำนน!” จี้เตี๋ยแค่นเสียงขึ้นจมูกตอบคำกลับ ขณะเดียวกันก็ปาดเช็ดคราบเลือดจากมุมปาก สายตาของเขายังคงจ้องมองบุคคลตรงหน้า เพราะทราบดีว่าคำของอีกฝ่ายนั้นถูกต้อง
เขาเพิ่งทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่ห้าจริง ดังนั้นพละกำลังจึงไม่อาจเทียบคู่ต่อสู้ตรงหน้าได้ หมัดเมื่อครู่มันทำเขารู้สึกประหนึ่งต่อยเข้าใส่กำแพงที่แข็งแกร่ง จนตระหนักทราบตนเองดีว่ากำลังเสียเปรียบเต็มประตู!
เพียงแต่เสียเปรียบกับยอมจำนนถือเป็นคนละเรื่องกัน!
“หือ มีคนกล้าเล่นงานศิษย์พี่จี้งั้นหรือ ใครกัน?”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นศิษย์พี่สิง! เป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่ห้า! เมื่อครู่คล้ายจะได้ยินคำกล่าวหาว่าศิษย์พี่จี้ไปฆ่าผู้ดูแลอะไรทำนองนั้น นี่มันเรื่องราวอะไรกัน?”
ขณะนี้เองที่ศิษย์ทั้งหลายในพื้นที่โรงนาเริ่มให้ความสนใจเสียงอึกทึกที่เกิดขึ้น พวกเขาเพียงเห็นสิงจงก็ตระหนักทราบว่าเป็นใคร เวลานี้จึงเผยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีกันออกมา
“เหอะ! ดื้อรั้นดีนัก!”