ราชาอันเดดแห่งพระราชวังอันมืดมิด บทที่ 1 (4/4) : ผู้ฟื้นคืนจากความตาย
ผมพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ พบว่าตนเองไม่หายใจ ผมจึงลองวางมือทาบลงบนหน้าอกดู แต่กลับไม่รู้สึกว่าหัวใจของผมกำลังเต้นอยู่เลย
แย่ชะมัด! ในที่สุดผมก็ตระหนักได้ว่าตนเองกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจให้อภัยได้ไปแล้ว
ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้ ไร้ซึ่งความเจ็บปวด แต่กลับไม่มีชีวิต ทำได้เพียงเคลื่อนไหวไปมาเท่านั้น
เมื่อลองคิดดูดีๆ ผมก็พบว่าตอนที่เจ้านายมาที่นี่ ลมหายใจของเขาขาวโพลนราวกับถูกแช่แข็ง นอกจากนี้ซากศพที่เรียงรายกันอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เน่าเปื่อยลงเลยแม้แต่น้อย ใช่แล้ว ที่นี่คือห้องเก็บศพที่มีอุณหภูมิต่ำมาก มันต้องหนาวจนแทบขาดใจ ทว่าผมกลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเหน็บนั้นเลย ราวกับประสาทสัมผัสที่มีส่วนในการรับรู้อุณหภูมิภายนอกนั้นขาดหายไป
ตอนแรกที่เข้ามาในห้องนี้ ผมยังสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ทั้งที่ภายในห้องไม่มีหน้าต่างหรือแสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาเลยสักนิด
นี่เป็นสิ่งที่สามารถยืนยันได้ว่าร่างกายของผมได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่รู้สึกกลัวทั้งที่มีศพเรียงรายกันเป็นแถวอยู่ด้านหน้า
ผมจมอยู่กับภวังค์ความคิดนั้นอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงส่ายหัวเพื่อไล่ความคิดนั้นออกไป
ไม่เป็นไร--- ผมยังมีสติอยู่ ผมยังมีความคิดเป็นของตัวเอง ผมยัง---ยืนอยู่ตรงนี้ ต่อจากนี้ไปผมจะได้ใช้ชีวิตที่ตนเองใฝ่ฝันซักที
ชีวิตก่อน ผมเป็นผู้ป่วยติดเตียงที่ใช้เวลาหลายปีก็ยังไม่สามารถลุกขึ้นมาจากเตียงคนไข้ได้ ทำได้เพียงอดทนต่อความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ทรมานเสียจนร่างกายทั้งหมดแทบจะแหลกเหลว พูดง่ายๆ ก็คือ ผมเป็น “คนที่มีชีวิตอยู่ราวกับตายไปแล้ว” ทว่าปัจจุบันนี้ ผมกลับกลายเป็น “คนตายที่ยังมีชีวิตอยู่”
ผมควรที่จะยอมรับมันเอาไว้ แม้สุดท้ายแล้วผมจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผุดขึ้นมาจากความมืดมิด แต่มันก็ดีกว่าการหมดลมหายใจไปโดยที่ไม่มีความหมายอะไรเลยเช่นชีวิตก่อน
ผมลุกขึ้นยืน จ้องมองไปยังประตูที่เปิดออกเพียงไม่กี่มิลลิเมตร แล้วปิดมันอย่างเงียบเชียบ ประตูที่ไม่ได้ขยับนานบานนี้ก็กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมได้อย่างง่ายดาย
ผมไม่รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ นี่คือคำสั่งของเจ้านาย มันน่าจะเป็นสิทธิพิเศษที่พ่อมดผู้ปลุกคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้รับมา คำสั่งเหล่านี้สามารถบีบบังคับให้ทาสรับใช้ทำในสิ่งที่เจ้าตัวไม่ต้องการได้
ทว่า มันต้องมีข้อยกเว้นอยู่แน่ๆ
เจ้านายเคยพูดเอาไว้ตั้งแต่แรกว่า “หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจคำสั่งของข้าได้ เจ้าก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย” หรือก็คือ มีความเป็นไปได้ว่าคำสั่งเหล่านั้นจะส่งไปไม่ถึงพวกซากศพที่ถูกปลุกขึ้นมาใหม่เหมือนกับผม
ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องมีชีวิตรอด---ต้องรวบรวบข้อมูล ผมต้องรวบรวมข้อมูลเพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากการควบคุมของเจ้านาย
สิ่งที่ผมยังไม่รู้นั้นมีมากจนเกินไป ทั้งเรื่องเวทมนตร์แห่งความตาย เรื่องคฤหาสน์หลังนี้ และแม้กระทั่งตัวผมเองที่เปลี่ยนไป
ตอนนี้เป็นเวลาที่ผมต้องรวบรวมข้อมูล อดทนและลับมีดเพื่อรอเวลาที่จะหลุดพ้น
การรอคอยเป็นสิ่งที่ดีที่สุด บางทีอาจจะมีสิ่งที่เป็นประโยชน์รออยู่ในอนาคตข้างหน้าก็ได้ ผมแค่ต้องอดทนรอเท่านั้น
เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ผมก็ยืนอยู่ตรงที่เดิมพลางจ้องมองไปข้างหน้า
ผมหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่าง เอาแต่นับเลขอยู่ในหัวของตนเอง
ผมไม่มีทั้งความรู้สึกง่วง เหนื่อย หรือแม้กระทั่งความหิว และแม้จะไม่ได้กะพริบตาเลยสักครั้ง ดวงตาของผมก็ไม่เคยเหือดแห้ง
ผมทำเพียงแค่จ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตัวเองแล้วนับเลขไปเรื่อยๆ โดยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ เท่านั้น แสร้งทำราวกับว่าตนเองเป็นเพียงซากศพเหมือนกับสิ่งที่เรียงรายอยู่รอบตัว
------------------------------------------------------------------
เมื่อเจ้านายเข้ามาในห้อง ผมก็นับเลขไปจนถึงสองหมื่นแล้ว
เจ้านายสวมเสื้อคลุมสีดำ เขาตรวจสอบให้แน่ใจว่าตัวผมไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงหลังจากที่เขาออกจากห้องไป แล้วจึงยื่นบางอย่างให้ผม
“รับไปซะ”
สิ่งที่เขามอบให้คือมีดพร้าขนาดใหญ่ มันมีความยาวประมาณหนึ่งเมตร ใบมีดมีสีหม่นผสมปนเปไปกับคราบเลือดเกรอะกรัง แล้วยังมีแสงประหลาดส่องแวววาวออกมาจากตัวมีด
ผมรับมีดเล่มนั้นมาตามคำสั่งของเจ้านาย อดไม่ได้ที่จะรู้สึกวิงเวียนเมื่อได้สัมผัสกับน้ำหนักที่น่าตกใจของมัน น้ำหนักนั้นสามารถทำลายร่างกายทั้งหมดของผมให้แหลกเหลวในทีเดียวได้เลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่เจ้านายเห็นผมถือมีดพร้าด้วยมือทั้งสองข้าง เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกแต่อย่างใด
“คงต้องทดสอบดูซักหน่อย---ตามข้ามา”