ตอนที่แล้วบทที่ 19 ฝึกฝนผู้เชี่ยวชาญการปรุงยา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 21 ข้าพร้อมแล้ว

บทที่ 20 บันทึกสายน้ำสีน้ำเงิน


เช่อชิงชิงเป็นอีกหนึ่งศิษย์ที่มีรากวิญญาณธาตุลม

ยังอายุน้อย มีความสามารถในการเรียนรู้สูง ไม่นับว่าสายเกินไปที่จะเริ่มเรียนศาสตร์การปรุงยา

ถึงแม้นางจะมีรากวิญญาณสามระดับคือ ไฟ ไม้ ลม แต่รากหลักเป็นไฟ เหมาะสำหรับการปรุงยามาก เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการเป็นนักปรุงยา

"มีพื้นฐานศาสตร์ยาวิเศษ จะได้ฝึกได้ง่ายขึ้นไม่น้อย"

ลู่ผิงไม่มีข้อโต้แย้งในการฝึกเช่อชิงชิงให้เป็นนักปรุงยา

เขาปิดตัวฝึกตนมาสามสิบปี รู้จักศิษย์ในนิกายน้อยนิดมาก ไหนเลยจะรู้ข้อมูลของพวกเขาอย่างแม่นยำได้

ข้อมูลที่ระบบให้มานั้นก็เป็นเพียงข้อมูลพื้นฐานเท่านั้น

หากลู่จือเวยแนะนำเช่อชิงชิง แสดงว่านางต้องมีค่าพอที่จะแนะนำ

"ข้าก็พอรู้วิถีการปรุงยา จะลองฝึกนักปรุงยาให้นิกาย แต่ก่อนอื่นต้องถามเช่อชิงชิงก่อนว่านางเต็มใจที่จะเรียนการปรุงยาหรือไม่"

"ถ้านางเต็มใจ เจ้าก็ไปตามหาตำราเกี่ยวกับการปรุงยาที่ศาลาเก็บตำรามาให้นางได้ มอบให้นางอ่านเยอะๆ วางรากฐานก่อน"

"หลักการเบื้องต้นของการปรุงยายังค่อนข้างง่ายอยู่"

การฝึกนักปรุงยาไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ต้องเช่อชิงชิงเต็มใจเองจริงๆ ถึงจะทำได้

ลู่ผิงแนะนำตำราไปสี่เล่ม

"เจ้าจำเอาไว้"

", , , ทั้งสี่เล่มนี้มีคุณค่าต่อการเรียนรู้สูงมาก ขาดไม่ได้เลย ส่วนตำราที่เกี่ยวข้องกับการปรุงยานอกเหนือจากนี้เจ้าค่อยเลือกเอาเพิ่มเติมตามความเหมาะสม"

สามเล่มที่ลู่ผิงแนะนำนั้นเป็นตำราที่เขาเคยอ่านตอนค้นคว้าศาสตร์ยามาก่อน จำได้แม่นยำ ศาลาเก็บตำราของนิกายก็มีเก็บไว้

เมื่อพูดถึง แล้วนั้น

ตำรานี้เป็นที่ลู่ผิงจดบันทึกความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรุงยาเอาไว้เล่นๆ มีบันทึกตั้งแต่ระดับเบื้องต้นไปถึงชั้น 1, 2, 3 ทุกชั้น

ที่ตั้งชื่อตำรานี้ก็เพื่อรำลึกถึงอาจารย์ผู้ประสาทวิชาให้กับเขา "เซียนชิงซี(เซียนผู้ดูแลสายน้ำสีน้ำเงิน)"

เซียนชิงซีแต่เดิมเป็นเอกนักปรุงยาของนิกายโบราณแห่งหนึ่งในแคว้นหลิงซี ลู่ผิงได้เข้าร่วมนิกายนี้ในตอนเขาเดินทางสมัยหนุ่มๆ เคยทำงานในสวนสมุนไพรของนิกายร่วมกับเซียนชิงซี และเริ่มฝากตัวเป็นศิษย์ ก่อกำเนิดสายสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์นับจากนั้น นี่เองที่ทำให้ลู่ผิงก้าวสู่วิถีการปรุงยาได้ทีละชั้นๆ

แต่ว่า ภายหลังเพราะนิกายนั้นเกิดการปะทะกับนิกายอื่นจนนำไปสู่สงครามใหญ่ บั้นปลายทำให้นิกายนั้นหายไปจากโลกเซียนภายในเวลาอันสั้น เซียนชิงซีติดพันกับแค้นเก่าจึงต้องจากไปไกลจนนอกแคว้นหลิงซี ตั้งแต่นั้นก็จากลู่ผิงไปคนละทาง

ทั้งคู่พรากจากกันครั้งนี้ ก็ไม่ได้พบกันอีกตลอดสองร้อยกว่าปี

ปัจจุบัน เล่มนี้ เก็บรักษาไว้ในศาลาเก็บตำราของนิกาย

คิดถึงศาลาเก็บตำรา ลู่ผิงชะงักคิดครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะถามว่า "เอกสารในศาลาตำรา...คงยังเก็บรักษาไว้อย่างครบถ้วนใช่ไหม?"

ก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้ถามล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องที่นิกายไม่มีนักปรุงยา ทำให้เกิดความกระอักกระอ่วนที่ทั้งที่แลกสูตรยาลูกจันทร์มาได้ แต่นิกายไม่มีนักปรุงยาเลย

ครั้นพอพูดถึงศาลาตำรา ลู่ผิงเห็นว่ายังไงก็ควรถามให้ชัดเจนเสียที

ถ้าตำราในศาลขาดหายไป ไม่ได้สืบทอดลงมา ก็คงต้องไปจัดซื้อให้ได้จากข้างนอก

นั้น ในเมื่อลู่ผิงเป็นคนเขียนเอง ลู่ผิงก็จะให้ลู่จือเวยหากระดาษและพู่กันมา แล้วใช้เวลานิดหน่อยในการคัดลอกออกมาใหม่ ให้ลู่จือเวยบันทึกหลักการปรุงยาไว้ก็พอ

ความจำของลู่ผิงยังดีอยู่มาก โดยเฉพาะความรู้เรื่องการปรุงยา

"ท่านพ่อวางใจได้"

ลู่จือเวยพูด "ศาลาเก็บตำรายังคงเก็บรักษาไว้ครบถ้วน หากได้รับการตกลงจากเช่อชิงชิงแล้ว ข้าจะทำตามที่ท่านสั่งในทันที"

ลู่จือเวยคาดไม่ถึงเลยว่าการชี้แนะที่ลู่ผิงให้จะออกมาในรูปแบบนี้

นางคิดไปเองว่า ลู่ผิงคงไม่ยุ่งเกี่ยวกับการฝึกนักปรุงยา แค่ให้นางหรือลู่หยวนซานจัดการเองน่าจะพอ แล้วแต่อยากฝึกยังไง ไม่คิดว่าลู่ผิงจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก

แท้จริงแล้ว นางไม่รู้หรอกว่าที่ลู่ผิงทำเช่นนั้นก็เพราะสถานการณ์บังคับ

ยังไงก็ต้องฝึกนักปรุงยา นิกายห้ามขาดคนเก่งด้านนี้ไม่ได้

ถ้าจะรับนักปรุงยาจากภายนอกละก็ ด้วยเกียรติภูมิของนิกายชิงซานแค่นี้ก็บางเกินไป คงไม่มีนักปรุงยาคนไหนแม้แต่จะมองแล้ว ไหนเลยจะเข้าร่วมกับนิกายนี้

รับจากข้างนอกไม่ได้ ก็ต้องลงมือหาผู้มีพรสวรรค์เพื่อฝึกเองในนิกาย

ใครจะไปว่าอะไร นิกายชิงซานตอนนี้กำลังฟื้นฟูสารพัด เผชิญสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก

ในฐานะเซียนอาวุโสของนิกาย ก็ควรทำประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ออกแรงบ้าง

มีระบบส่งสารจิต หากเช่อชิงชิงพบปัญหาอะไรที่ไม่เข้าใจ ลู่ผิงก็พอจะสอนความรู้เรื่องการปรุงยาให้นางได้ง่ายๆ

พอพูดถึงการให้เมล็ดพันธุ์ สูตรยา ลู่ผิงก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนักปรุงยามากไปกว่านี้ แต่ยังคงเน้นย้ำอีกเรื่อง

"ข้าได้ยินมาจากหยวนซานว่า หลังจากเจาเกอหายตัวไปโดยไร้ร่องรอย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวเลย"

พูดถึงจุดนี้ ลู่ผิงหัวใจหนักอึ้ง

"ส่งคนไปเสาะหาข่าวคราวเกี่ยวกับนางต่อไปเถิด ไม่ว่านางจะเป็นหรือตาย ก็ต้องหาให้ได้ความแน่ชัด"

ที่ภรรยาหายตัวไปหลายปีเพียงนี้ ลู่ผิงรู้สึกใจหาย

ถึงความหวังที่จะตามหานางจะริบหรี่เพียงใด แต่ตราบใดที่ยังมีความหวังแม้เพียงน้อยนิด ลู่ผิงก็ไม่ยอมล้มเลิก

"รับทราบ"

เมื่อพูดถึงหลี่เจาเกอ น้ำเสียงของลู่จือเวยก็หดหู่ลงทันที

นางคิดถึงมารดามาก

หลายปีมานี้ ทั้งพี่ชายใหญ่และรองต่างไม่เคยวางมือจากการตามหามารดา แต่หาอยู่นานเท่าไรก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี

ทั้งสองต่างใช้เวลาห่อเหี่ยวใจกับเรื่องนี้ ลู่ผิงจึงสั่งให้ลู่จือเวยออกไป

ลู่จือเวยมีสีหน้าเป็นกังวลขณะร่ำลากลับไป จนค่อยๆ หายไปจากสายตาของลู่ผิง

มองเห็นลูกสาวเดินจากไปอย่างเดียวดาย ลู่ผิงถอนหายใจออกมาครู่หนึ่ง ในใจค่อยๆ ลอยมาเป็นเงาร่างของสตรีผู้หนึ่งที่อ่อนโยน น่ารัก สง่างาม และรูปร่างหลังของลู่จือเวยก็ดูซ้อนทับรวมเข้ากับนาง

คล้ายกันมาก จือเวยหลังของเจ้าก็ดูเหมือนนางเช่นกัน

เจาเกอ ตอนนี้เจ้ากันแน่อยู่ที่ใด...

ลู่ผิงจมดิ่งเข้าสู่ห้วงคิดถึงยาวนาน โดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืดลง เขาถึงได้หันมาสนใจอีกครา

"ยังไงก็ดีกว่า อย่างน้อยเจาเกอก็แค่สูญหาย ก็ยังดีกว่าตายตั้งแต่ยังสาว หรือตายตามอายุขัย อย่างน้อยก็ยังมีความหวังที่จะมีชีวิตรอดอยู่"

"ขอให้เจ้าปลอดภัยดี นิกายในตอนนี้มีข้าแล้ว หวังว่าจะได้รอถึงวันที่เจ้ากลับมานะ"

พึมพำพลางปรับอารมณ์ตัวเอง ลู่ผิงใช้เวลาครู่หนึ่งแล้วเริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องของนิกาย

ตอนนี้เขามีเรื่องที่ต้องวางแผนค่อนข้างเยอะ ต้องจัดระเบียบให้ดีๆ

พอมีการจัดการไปก่อนหน้า ต้นท้อวิเศษก็ได้ลงปลูกแล้ว จิตมุ่งมั่นของลู่จือเวยก็ฟื้นคืน นิกายก็สามารถปลูกหญ้ารากจันทร์ได้

หลังจากลู่ผิงตื่นขึ้นมา หลังจากที่เขาพยายามอย่างเต็มที่ นิกายพอจะเริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นบ้างแล้ว นี่ทำให้ลู่ผิงโล่งอกไปได้มาก

แต่สุดท้ายแล้ว ปัญหาใหญ่สุดของนิกายในตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข

นิกายมีกำลังโดยรวมที่อ่อนแอเกินไป

มองภาพรวมทั้งนิกายชิงซาน ผู้ที่มีกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังไม่เกินขั้นฝึกปราณชั้น 9 นอกจากนี้กำลังของศิษย์นิกายส่วนใหญ่ก็อยู่ในขั้นฝึกปราณชั้น 1 ถึง 6

กำลังแค่นี้ของนิกายชิงซาน การที่จะยืนหยัดอยู่ในเขตหลูซานได้นั้นยากมาก

ดีอยู่อย่างที่ได้รับการคุ้มครองจากคำสั่งสร้างนิกาย นิกายชิงซานอย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องล่มสลายภายในสิบปีข้างหน้า นิกายเหิงเยว่ก็ไม่กล้าส่งกำลังมารุกรานมากๆ

แต่ก็เพียงเท่านั้นแหละ อย่างมากก็แค่การันตีว่านิกายชิงซานจะดำรงอยู่แบบยากลำบากไปพลางๆ เพื่อรักษาหน้ากากของการเป็นนิกายเท่านั้น

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด