บทที่ 19 ฝึกฝนผู้เชี่ยวชาญการปรุงยา
ในร้านค้าระบบ ลู่ผิงใช้ค่าชื่อเสียง 55 แต้ม แลกเปลี่ยนเอาหญ้ารากจันทร์และตำรับยาลูกจันทร์ออกมา
นิกายต้องการยาลูกจันทร์ ยาเหล่านี้ที่ต้องให้ศิษย์ใช้ยังคงจำเป็นและต้องไม่ขาดมือ ต้องรีบจัดการโดยเร็ว หญ้ารากจันทร์ก็ต้องใช้เวลาจนกว่าจะพร้อมเก็บเกี่ยว
"ข้ามีเมล็ดพันธุ์หญ้ารากจันทร์อยู่บ้าง สามารถปลูกในสวนสมุนไพรได้ เพื่อให้นิกายมีรายได้บ้าง"
ลู่ผิงกล่าวอธิบายอย่างย่อๆ
"นอกจากนี้ยังมีตำรับยาอีกฉบับหนึ่ง มีบันทึกวิธีปรุงยาลูกจันทร์เอาไว้ เจ้าสามารถจัดส่งให้ผู้เชี่ยวชาญปรุงยาของนิกายเรียนรู้ได้"
พูดจบ เขาก็นำสองสิ่งออกมา
ในขณะที่ลู่จือเวยกำลังลังเลอยู่ว่าจะเข้าไปรับเมล็ดพันธุ์กับตำรับยาจากบิดา หรือรอให้บิดาเดินออกมาจากถ้ำแล้วส่งให้ จู่ๆก็ปรากฏภาพเงาขึ้นสองภาพลอยอยู่กลางอากาศด้านหน้าถ้ำ
ภาพเงาสองภาพควบแน่นเป็นวัตถุจริงในเวลาไม่กี่ลมหายใจ
ลู่จือเวยจ้องมองแล้วเห็นว่ามันคือถุงกระดาษใบเล็กหนึ่งถุง ปิดทับด้วยแผ่นหนังแพะที่เขียนตำรับยาลงไป
ดูท่าสิ่งเหล่านี้คงเป็นของที่บิดาพูดถึงเมื่อครู่
ลู่จือเวยหยิบขึ้นมาดู
สำหรับที่มาอันน่าอัศจรรย์ของสองสิ่งนี้ นางไม่ได้ถามไถ่อะไร
การเปลี่ยนจากนามธรรมกลายเป็นรูปธรรมเช่นนี้ ค่อนข้างคล้ายกับการหยิบของออกมาจากถุงเก็บของ ไม่ถือว่าแปลกใหม่อะไร หรือไม่ก็เป็นหนึ่งในวิธีการอันยอดเยี่ยมมากมายของบิดา
สิ่งที่บิดาไม่ได้อธิบายเอง ก็ไม่ควรถามมากนัก
พอเห็นว่าเป็นเมล็ดพันธุ์หญ้ารากจันทร์กับตำรับยาลูกจันทร์ ลู่จือเวยเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด มีท่าทีเจื่อนลงเล็กน้อย
เมล็ดพันธุ์ก็ไม่เป็นไร ปลูกลงไปเท่านั้น ในสวนสมุนไพรมีศิษย์ที่ดูแลได้
ส่วนตำรับยาก็มีแล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญปรุงยา...
ลู่จือเวยทำหน้าเจื่อนๆออกมา ลู่ผิงเห็นแล้วก็อดถามไม่ได้ "เป็นอะไรไป มีปัญหาอะไรหรือ"
"เอ่อ..."
ลู่จือเวยพูดเสียงอับจนคำพูด
"ข้าจะไม่ปิดบังท่านพ่อ เพราะช่วงหลายปีมานี้สวนสมุนไพรผลิตได้น้อยมาก แถมศิษย์ในนิกายก็หดหายไปเยอะ ตอนนี้ในนิกายจึงไม่มีผู้เชี่ยวชาญปรุงยาเหลืออยู่แล้วเจ้าค่ะ"
"..."
ได้ยินคำตอบนี้ ลู่ผิงก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี
ยาลูกจันทร์เป็นยาขั้นที่หนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญปรุงยาขั้นหนึ่งสามารถปรุงได้เองเลย
ผู้เชี่ยวชาญปรุงยาเช่นนี้ นิกายชิงซานแต่ก่อนมีอยู่แน่นอน ขั้นหนึ่งมี 5 คน ขั้นสองมีสองคน ขั้นสามมีหนึ่งคน จำนวนถือว่าพอสมควร
แต่วันนี้ไม่เหมือนเมื่อวานแล้ว เมื่อนิกายชิงซานเสื่อมถอยลง ตอนนี้จึงไม่เหลือสักคน
สาเหตุหลักๆก็คือ หากนิกายไม่สามารถจัดหาสมุนไพรต่างๆให้แก่ผู้เชี่ยวชาญปรุงยามาใช้ปรุงยา เรียนรู้ศาสตร์การปรุงยา ก็จะไม่มีผู้เชี่ยวชาญปรุงยาคนไหนอยากอยู่ด้วย
นอกจากนี้ ในนิกายไม่มีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งหรือสายเลือดมาเป็นแรงยึดโยง สมาชิกนิกายที่ยังคงทำงานให้นิกาย มีแต่เพียงเพราะผลประโยชน์เท่านั้น
เห็นได้ชัดว่า ในสายตาของคนจำนวนมาก นิกายชิงซานในปัจจุบันไม่มีประโยชน์อะไรให้ได้มุ่งหวัง การถูกมองว่าไม่มีค่าเป็นเรื่องปกติ
ความจริงก็คือ นี่คือผลที่ตามมาของความยากจน รักษาใจคนไว้ไม่อยู่
"ไม่เป็นไร"
ลู่ผิงถอนหายใจ ก็รู้สึกอับจนใจกับเรื่องนี้ นี่เขาคิดไม่ทั่วถึงเอง
ก่อนหน้านี้พอเห็นรางวัลเป็นตำรับยาลูกจันทร์ในใจก็ดีใจเงียบๆจริงๆ สามารถผลิตยาได้เอง นี่เป็นเรื่องดีสำหรับนิกาย ไม่มีแง่เสียอะไร
แต่เขากลับลืมสอบถามก่อนแลกเปลี่ยนว่าในนิกายยังมีผู้เชี่ยวชาญปรุงยาเหลืออยู่หรือไม่ ควรถามสักหน่อยก่อน
สภาพความเสื่อมโทรมของนิกายชิงซานนั้น มากกว่าที่คาดไว้อีก
แต่ก็ไม่เป็นไร ผู้เชี่ยวชาญปรุงยาจำเป็นต้องฝึกอยู่แล้ว ขั้นตอนนี้ไม่สามารถข้ามได้อยู่ดี
เข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว ลู่ผิงจึงเริ่มพูด "เริ่มต้นปลูกหญ้ารากจันทร์ก่อน ในนิกายไม่มีผู้เชี่ยวชาญปรุงยา ก็ต้องหาหนทางฝึกอบรมขึ้นมา"
"ส่วนการคัดเลือกคนที่จะฝึก เจ้าลองมองหาได้เลย เรื่องนี้ไม่ควรรอช้า"
การปลูกหญ้ารากจันทร์ ต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปีจึงจะสุกงอมพร้อมเก็บเกี่ยว
ตอนนี้นิกายไม่มีผู้เชี่ยวชาญปรุงยา ในระยะสั้นไม่สามารถหวังพึ่งรายได้จากการปรุงยาของนิกาย
แต่การฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญปรุงยาขึ้นมาหนึ่งคน จะใช้เวลาราวหนึ่งปี นี่ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสิ้นเปลืองเงินทองมาก
เรื่องนี้ทำให้รู้สึกไม่สบายใจนัก
ได้ตำรับยามาใบหนึ่ง ไม่เพียงแต่ต้องรอให้หญ้ารากจันทร์สุกงอมถึงจะเริ่มปรุงยาได้ แต่ยังต้องฝึกผู้เชี่ยวชาญปรุงยาให้แก่นิกายก่อนจะเริ่มได้...
แน่นอนว่าผู้เชี่ยวชาญปรุงยาต้องฝึกอยู่แล้ว
นิกายต้องมีผู้เชี่ยวชาญปรุงยาเป็นของตัวเอง ถ้าเชิญผู้เชี่ยวชาญปรุงยาจากภายนอกมาปรุง ลู่ผิงก็ไม่ค่อยวางใจ
ในโลกการฝึกตน ไม่เคยขาดผู้เชี่ยวชาญปรุงยาบางคนที่หวังผลประโยชน์ส่วนตัว ลอบวางยาพิษหรือทำร้ายผู้อื่นระหว่างปรุงยา
ดังเช่นเมื่อ 500 ปีก่อน ที่ประเทศฉู่เคยเกิดเรื่องวุ่นวายนักปรุงยาวิปริตครั้งใหญ่ จนเป็นที่โด่งดัง
เรื่องวุ่นวายผู้วิปริตปรุงยานั้น ทำให้เซียนขั้นควบแน่นหลายคน กับเซียนขั้นสร้างรากฐานหลายสิบคน ถูกผู้วิปริตควบคุมจนตกอยู่ในอำนาจ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ทำให้ในช่วงยาวนานต่อมา นิกายใหญ่และตระกูลเซียนต่างๆไม่กล้าเชิญผู้เชี่ยวชาญปรุงยาจากภายนอกมาปรุงยาให้ง่ายๆ
สุดท้ายต้องให้สำนักเทียนชูออกหนา้ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญปรุงยาในแคว้นหลิงซีลงนามในข้อตกลงทางเต๋า ภัยพิบัติที่ตกค้างจากเรื่องวุ่นวายนักปรุงยาวิปริตจึงค่อยๆคลี่คลายลงได้ในที่สุด
นิกายชิงซานต้องฝึกผู้เชี่ยวชาญปรุงยาเป็นของตัวเอง ต้องเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด
โชคดีที่หลังจากลู่ผิงบรรลุขั้นแก่นทองคำ มีเวลาว่างมากขึ้น จึงศึกษาการปรุงยาและหลอมอาวุธอย่างจริงจัง ทำให้มีความรู้เกี่ยวกับศิลปะต่างๆในการฝึกตนอยู่บ้าง
ถึงแม้ในศาสตร์การปรุงยา ลู่ผิงจะมีความรู้ไม่ลึกซึ้งนัก เทียบได้แค่ระดับผู้เชี่ยวชาญปรุงยาขั้นสามชั้นสูง แต่ด้วยความรู้การปรุงยาที่เขามี การฝึกผู้เชี่ยวชาญปรุงยาให้แก่นิกายไม่ใช่เรื่องยาก
พอดีมีฟังก์ชันการสื่อสารของระบบช่วยอยู่ เขาสามารถเดินไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ ไม่มีข้อจำกัด ก็มีวิธีชี้นำศิษย์ในการเรียนรู้ศาสตร์การปรุงยาได้ทั้งทางคำพูดและการมอง
แต่สำหรับการสาธิตปรุงยาด้วยตัวเอง เขาทำไม่ได้แน่ๆ ก็เพราะเขาเป็นเพียงร่างจิตวิญญาณเท่านั้น
แต่ก็ไม่เป็นไร แค่มีศิษย์ตั้งใจเรียน การฝึกฝนพวกเขาไปจนถึงระดับผู้เชี่ยวชาญปรุงยาขั้นสองนั้นค่อนข้างง่าย
ถ้าศิษย์ไปถึงขั้นสองได้ ลู่ผิงก็พอใจแล้ว
อย่าลืมว่าตัวเขาเองก็เพียงขั้นสามเท่านั้น ไม่สามารถสาธิตการปรุงยาได้ สูงสุดก็แค่ฝึกศิษย์ให้ไปถึงระดับผู้เชี่ยวชาญปรุงยาขั้นสองเท่านั้น หลังจากนี้หากศิษย์ต้องการก้าวไปให้ไกล พัฒนาศาสตร์การปรุงยาของตน ก็ต้องอาศัยความขยันของพวกเขาเอง
จริงๆแล้ว ในขณะที่ลู่ผิงครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่ ลู่จือเวยก็กำลังใคร่ครวญเรื่องผู้เชี่ยวชาญปรุงยาด้วยเช่นกัน
ในเมื่อบิดาตื่นขึ้นมาแล้ว ต้องการฟื้นฟูนิกาย ผู้เชี่ยวชาญปรุงยาของนิกายก็ไม่สามารถขาดได้ ต้องรีบฝึกขึ้นมาจริงๆ
ดีที่นางเป็นผู้เชี่ยวชาญหลอมอาวุธเอง มิฉะนั้นนอกจากต้องฝึกผู้เชี่ยวชาญปรุงยาแล้ว นิกายยังต้องทุ่มเททรัพยากรในการฝึกผู้เชี่ยวชาญหลอมอาวุธอีก
ในบรรดาศิลปะต่างๆของการฝึกตน การสร้างผู้เชี่ยวชาญปรุงยาและหลอมอาวุธ ล้วนแต่เป็นอาชีพที่ต้องผลาญเงินทั้งนั้น หากต้องฝึกทั้งสองอย่างพร้อมกัน นิกายคงไม่ไหวแน่ๆ
โชคดีที่ในนิกายตอนนี้มีคนที่มีพรสวรรค์ในการปรุงยาอยู่คนหนึ่ง เป็นผู้มีแววอย่างยิ่งในการฝึกฝน บิดาก็มีความรู้ด้านการปรุงยาบ้าง ไม่ต้องพึ่งพาคนภายนอก
เมื่อนึกถึงผู้ที่เหมาะสมในใจแล้ว ลู่จือเวยจึงพูดขึ้นเอง
"ท่านพ่อ สำหรับการฝึกผู้เชี่ยวชาญปรุงยานั้น ข้ามีคนที่จะแนะนำเจ้าค่ะ"
"ลองพูดมาซิ"
"ช่วงหลายปีมานี้ ผู้ที่ดูแลสวนยาตลอดก็คือเช่อชิงชิง นางมีความสามารถในการปลูกและแยกแยะสมุนไพรได้อย่างชำนาญยิ่ง บางทีเราอาจจะฝึกนางให้เป็นผู้เชี่ยวชาญปรุงยาได้"
"เช่อชิงชิง เป็นศิษย์รุ่นไหนเหรอ"
ลู่ผิงรู้สึกแปลกใจกับชื่อนี้มาก ฟังดูเป็นศิษย์หญิง
"นางเป็นคนที่อาจารย์พี่เอาเข้ามาในนิกายเมื่อ 6 ปีก่อนค่ะ มีกำลังยุทธ์อยู่ในช่วงขั้นฝึกปราณชั้นสอง บิดาเจ้าข้าปิดตัวบำเพ็ญมานาน ไม่รู้จักนางก็ไม่แปลกค่ะ"
นอกจากเช่อชิงชิงแล้ว ในนิกายก็ไม่มีใครเหมาะกว่านางที่จะฝึกให้เป็นผู้เชี่ยวชาญปรุงยาแล้ว
อีกทั้งคนที่นางมั่นใจก็มีแต่เช่อชิงชิงเท่านั้น
ในขณะที่ลู่จือเวยแนะนำ ลู่ผิงก็ได้ค้นหาข้อมูลคุณสมบัติของเช่อชิงชิงในระบบสมาชิกนิกาย
[ชื่อ: เช่อชิงชิง]
[สถานะ: ศิษย์นิกายชิงซาน]
[อายุ: 17]
[อุปนิสัย: สตรีงามสง่า ความคิดละเอียดรอบคอบ]
[สุขภาพ: แข็งแรงดี]
[ขั้นพลัง: ฝึกปราณชั้นสอง]
[ธาตุ: รากวิญญาณสามธาตุ ไฟ ไม้ และลม]
[ตำแหน่ง: ภูเขาชิงเหลียน]