บทที่ 18 เปิดไพ่เอง
เดินทางไกลร้อยลี้ เหลืออีกเพียงเก้าสิบ
หลี่ผิงอันยังคงใช้ญาณทัศนะสำรวจเส้นทางข้างหน้า ไม่เพียงไม่ประมาทในระยะทางสุดท้ายหลายร้อยลี้นี้ กลับยิ่งระมัดระวังมากขึ้น
จนกระทั่งภาพป่าเขาคุ้นตาปรากฏขึ้นในสายตา
หลี่ผิงอันหยุดยืนอยู่บนเนินเขา มองผ่านหุบเขาเขียวชอุ่ม จ้องมองศาลาเต๋าเล็กๆ ตรงเชิงเขาฝั่งตรงข้าม อารมณ์ความรู้สึกท่วมท้น
ภูเขาเปลี่ยว หลังฝนตก หมอกขาวหนาทึบ
ห้าปีก่อน วันฤดูร้อนวันนั้น เขาอาศัยมีดสับฟืนเล่มหนึ่ง ธนูล่าสัตว์คันหนึ่ง ตามคำแนะนำของชาวบ้านตัดฟืนไม่กี่คน ดื่มน้ำจากลำธาร กินสัตว์ป่า ฝ่าฟันความยากลำบากตามหาศาลานี้จนเจอ
ก็ที่นี่เอง เขาได้เคาะประตูไม้บานคู่ปิดสนิทบานนั้น พบ 'จุดเปลี่ยน' ของชาตินี้ของเขา
หลี่ผิงอันมีใจสำนึกในบุญคุณต่อนักพรตเฉินกงหมินเสมอมา
หลี่ผิงอันใช้กระจกสีมรกตในอุ้งมือมองท้องฟ้าครู่หนึ่ง แล้วหยิบเสื้อศิษย์ที่เตรียมไว้ออกมา มัดผมโดยใช้ผ้าโพกหัว สวมรองเท้าผ้า เสียบปิ่นไม้ไผ่ผ่านผ้าโพกหัว แล้วแขวนริ้วผ้ายาวสีเขียวข้างละเส้นไว้ที่ซ้ายขวาของปิ่น
หลังจากนั้น หลี่ผิงอันก็ใช้มือสองข้างจับที่ใบหน้าสักครู่ ต่อหน้าเหล่าเซียนบนเมฆ เขาถอดหน้ากากบางราวปีกจักจั่นออกมา เผยใบหน้าเดิมที่แท้จริงของตน
หลี่ผิงอันคิดในใจ
『นักพรตหญิงที่ปลอมเป็นคนแก่คนนั้น ใช้วิชาแปลงกายได้ นั่นถือเป็นวิชาที่หายากมากๆ เลย』
『หากนางก็เป็นศิษย์สำนักว่านหยุนจงเหมือนกัน วันหน้าหากมีโอกาสจะลองถามดูว่าไปเรียนวิชาแปลงกายมาจากที่ไหน』
ร่างของเขาลอยตามสายลมบนเขา ปล่อยพลังออกมาเล็กน้อย เพื่อใช้แสดงตัวตน
นักพรตเฉินกงหมินมีอายุ 120 ปีแล้ว ยังคงมีหน้าตาเหมือนคนวัยกลางคน พลังหยุดอยู่ที่ขั้นบำเพ็ญสุญญตา ยังห่างไกลจากขั้นผสานสัจธรรมพอสมควร ความหวังที่จะขึ้นเป็นเซียนแทบจะไม่มีเลย
นักพรตเฉินเป็นศิษย์นอกสำนักซึ่งประจำการอยู่ในหมู่มนุษย์สามัญแห่งสำนักว่านหยุนจง หน้าที่หลักคือดูแลนครหว่านอันและเมืองโดยรอบ หากมีปีศาจร้ายก่อเหตุ หากรับมือได้ก็กำจัดเสีย หากรับมือไม่ไหวก็รายงานเข้าในสำนัก
ผู้ฝึกปราณของสำนักว่านหยุนจงที่ประจำการอยู่หลายพื้นที่เช่นเดียวกับนักพรตเฉิน มีอยู่สองสามพันคนในดินแดนจางอันยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่อยู่ในขั้นบำเพ็ญสุญญตาและผสานสัจธรรม มักจะอยู่ในเมืองหลวงและเขตชายแดน
บริเวณชายแดนที่มักเกิดความขัดแย้งบ่อยครั้งของจางอัน ก็ยังมีนักพรตเซียนของสำนักว่านหยุนจงประจำการอยู่เช่นกัน
หากไม่มีเรื่องผิดปกติอะไร นักพรตเฉินก็จะมาเจริญสมาธิที่นี่เป็นเวลาหลายสิบปี หากสามารถพัฒนาพลังไปถึงขั้นผสานสัจธรรมได้ ก็จะกลับเข้าในสำนักเพิ่มประสบการณ์ หากได้รับการสนับสนุนจากใครสักคน ก็จะได้ทำหน้าที่ผู้จัดการนอกสำนักระดับล่างเหมือนเวยเหยียนจื้อเดิม
ครั้งนั้นตอนดูเวยเหยียนจื้อขึ้นเป็นเซียน หลี่ผิงอันเคยมีคำถามหนึ่ง
[ทำไมโลกนี้ถึงไม่มีเหตุการณ์ขึ้นเป็นเซียนท่ามกลางเมฆพายุ?]
เขาต้องค้นคว้าคัมภีร์โบราณจำนวนมากถึงพบว่า โลกนี้ไม่เคยมีแนวคิดเรื่องเมฆพายุมาตั้งแต่โบราณกาล
ไม่มีการแสดงออกของเทพสวรรค์ ทุกสิ่งดำเนินไปตามครรลองเอง
'วิถีแห่งฟ้า' ของโลกนี้ หมายถึง 'แนวทางการเคลื่อนไหวของสวรรค์' ไม่ใช่ 'ความปรารถนาของสวรรค์ที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน' ส่วนที่เรียกว่าครรลอง ล้วนเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นเอง
นี่ทำให้หลี่ผิงอันอดรู้สึกอ่อนใจไม่ได้
ไม่ว่าจะอยากเกาะแขนท่านเทพสวรรค์แกว่งไปแกว่งมา หรืออยากจะด่าว่าสวรรค์โหดร้าย ก็ล้วนเป็นเรื่องที่พูดไม่ขึ้น
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ศิษย์หนุ่มจากสำนักว่านหยุนจงก็มาถึงหน้าศาลาเต๋า
หลี่ผิงอันตั้งสมาธิ ก้มหน้าจัดเสื้อคลุมด้านนอกและปัดผมที่ระโยงระยางอยู่ด้านหน้าให้เข้าที่ เดินไปข้างหน้าแล้วเคาะประตูไม้เบาๆ
ตุบๆ!
เขาแอ่นอกผงกหัวขึ้น ตั้งใจจะโชว์ฝีมือให้นักพรตเฉินได้เห็นเล็กน้อย ล้อเลียนตัวเองในใจว่า
『นี่ข้าจะพูดได้ว่าสวมเสื้อผ้าหรูหรากลับบ้านแล้วใช่ไหม?』
พอดีกับตอนนี้ หมอกขาวก็ปกคลุมพื้นที่ด้านนอกศาลาเต๋า
ผนังแสงจากอาคมระดับตื้นส่องประกายขึ้น โอบล้อมลานบ้านทั้งหมดไว้ ประตูอาคมก็คือประตูศาลานี่เอง
『นักพรตเฉินคิดจะฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้เชียวหรือ?』
หลี่ผิงอันยิ้มขำก่อน แต่แล้วก็เริ่มระแวดระวังขึ้นมา
ศิษย์ฝึกปราณในสำนักที่ประจำการอยู่ในหมู่ชาวบ้านสามัญ ทรัพยากรสำหรับฝึกฝนที่หามาได้ก็มีไม่มากอยู่แล้ว นักพรตเฉินเพื่อประหยัดหินวิญญาณ ปกติก็จะเปิดอาคมที่นี่ก็ต่อเมื่อปิดวิเวกส่วนตัวเท่านั้น
หลี่ผิงอันถอยหลังไปสองก้าว ตะโกนเสียงดัง "ลูกศิษย์หลี่ผิงอัน รับคำสั่งมาส่งจดหมายถึงสหายร่วมสำนัก แล้วท่านกำลังบำเพ็ญเพียรหรือขอรับ?"
เขาใช้พลังเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่าเสียงของตนจะส่งไปด้านในได้
อาคมรอบศาลาเต๋ากระตุกสองสามที แล้วก็ปิดลง
จิตใจของหลี่ผิงอันเตือนให้ตื่นตัวขึ้นทันที
ในช่วงเสี้ยววินาทีที่อาคมปิดลง เขารับรู้ถึงพลังและท่วงทำนองเดินเต๋าที่ไม่คุ้นเคย ถึงจะมาจากสายเดียวกันของสำนักว่านหยุนจง แต่ก็แตกต่างจากลมปราณของนักพรตเฉินพอสมควร
มือขวาของหลี่ผิงอันกำอุปกรณ์วิเศษทำเองที่มีขนาดเท่าเม็ดพุทราไว้แน่น
เอี๊ยด--โอ้ย--
บานพับประตูส่งเสียงครวญครางเหมือนกำลังจะตาย
มีหัวเล็กๆ หัวหนึ่งโผล่ออกมาจากด้านใน ผมจุกสีชมพูสองอันดูเด่นสะดุดตาอย่างยิ่ง
ผมจุกคู่?
นักพรตหญิงที่ปลอมเป็นคนแก่คนนั้นก็ผมแบบเดียวกัน
นักพรตหญิงสาวคนนี้ชะโงกหน้ามองออกไป พอเห็นหลี่ผิงอันก็กระพริบตาปริบๆ ด้วยดวงตากลมโตเป็นระลอก ส่งเสียงอ่อนหวานถามเบาๆ ว่า
"ท่านมาหาใครหรือ อาจารย์ของข้าออกไปแล้ว"
หลี่ผิงอันขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเริ่มเย็นชาลง
หรือว่านักพรตเฉินถูกพวกนี้วางแผนกำจัดไปแล้ว?
พอนักพรตหญิงเห็นสีหน้าของหลี่ผิงอันในตอนนี้ จิตใจของนางก็พลอยหวั่นไหวไปด้วย
แต่ไม่ใช่เพราะตกใจที่หลี่ผิงอันพูดจะเผาศพเมื่อครู่ แต่เป็นเพราะว่า...
『นี่คือหน้าตาจริงๆ ของเขางั้นหรือ? หล่อจังเลย』
เวินหลิงเอ่อร์ดึงประตูไม้ทั้งสองบานออก ยังคงสวมบทสาวน้อยผู้ไร้เดียงสา กระโปรงสั้นเหนือเข่าเพียงนิด ปล่อยให้ขาขาวเนียนสะท้อนแสง ไม่มีเครื่องประดับอื่นใดอีก
แตกต่างไปจากนักพรตหญิงทั่วไป ที่เท้าบอบบางของนางสวมใส่ 'รองเท้าแตะ' ที่ถักทอจากหยก ยังเสริมส้นหนาให้ชัดเจนด้วย
ดวงตารูปไข่มุกของเวินหลิงเอ่อร์เป็นประกายวาววับ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ดูจากลมปราณของท่าน ก็เป็นศิษย์สำนักว่านหยุนจงหรือ?"
"ข้ามาจากสำนักว่านหยุนจง" หลี่ผิงอันยังคงขมวดคิ้วกล่าว "นักพรตเฉินเป็นอาจารย์ของเจ้างั้นหรือ?"
"อืม เจ้าค่ะ!"
"ข้ากับนักพรตเฉินสนิทกันยิ่ง แค่จากกันไปไม่ถึงสามปี ไม่คิดเลยว่านักพรตเฉินกลับมีศิษย์หญิงขั้นควบแน่นปราณเพิ่มขึ้นมาอีกคน!"
สายตาของหลี่ผิงอันค่อนข้างคุกคามนิดหน่อย
เวินหลิงเอ่อร์อธิบายอย่างใจเย็น
"อย่าเข้าใจผิดนะท่าน ข้าได้เป็นศิษย์เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง"
"ก่อนหน้านี้ข้าบำเพ็ญเพียงที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกมาตลอด อยู่ที่ร้านขายยาของสำนักว่านหยุนจงของพวกเรานี่แหละ ได้ใช้วิชาฝึกปรือของศิษย์นอกสำนัก แม้ฝึกฝนมานับสิบปี แต่ก็ได้เพียงผลลัพธ์แค่นี้"
"ได้ยินมาว่าอาจารย์ข้ามีโอกาสเป็นเซียน แล้วก็ฝึกฝนอยู่ในสำนักด้วย ดังนั้น ข้าจึงฝากบุญคุณเอาไว้มากมาย ถึงได้กลายเป็นศิษย์ของอาจารย์ได้"
"รออาจารย์กลับเข้าสำนัก ข้าก็จะได้ตามกลับไป ลงชื่อในสมุดเซียนไปในตัว..."
"ก็เพื่ออนาคตของตัวเองนั่นแหละ"
เมื่อจบคำ เวินหลิงเอ่อร์ก็คิ้วบางตกลง ตัวเล็กน้อยนั้นสั่นเทาเล็กน้อย แล้วก้มหน้าถอนหายใจอีก
สีหน้าของหลี่ผิงอันค่อยๆ ผ่อนคลายลง
เขากล่าวว่า "ฟังเจ้าพูดแล้ว ก็ไม่ค่อยเหมือนปลอมแปลงนะ แต่มีหลักฐานอะไรหรือไม่?"
"แน่นอนว่ามีสิ"
เวินหลิงเอ่อร์หยิบข้าวของบางอย่างออกมา - สมุดบัญชีไม่กี่หน้าของร้านขายยาในตำบลหนึ่งของสำนักว่านหยุนจง ขวดหยกเปล่าบางใบที่ประทับตราสำนักว่านหยุนจง และป้ายหยกแสดงตัวตนของร้านขายยา
หลี่ผิงอันตัดสินใจจะเช็คความจริงใจของอีกฝ่าย มุมปากเผยรอยยิ้มจางๆ
เขากล่าวว่า "ดูเหมือนข้าจะเข้าใจผิดเพื่อนนักพรตไปแล้ว ไม่ทราบว่านักพรตเฉินไปที่ใดหรือ จะกลับมาเมื่อไรหรือ?"
เวินหลิงเอ่อร์รีบบอก "เมื่อวานนี้อาจารย์ได้รับจดหมายด่วน บอกว่ามีพวกนักพรตมารวมกลุ่มจ้องจะยึดเหมืองแร่ใกล้ๆ นี้ เหมืองแร่นั้นมีชาวบ้านทำงานอยู่พันคน แต่มีศิษย์ฝึกปราณของสำนักเราไปประจำการอยู่แค่ 4 คน เลยขอให้อาจารย์ไปช่วยเหลือ... พวกเราอย่าคุยตรงนี้เลยดีกว่า ถ้าอาจารย์รู้เข้า เดี๋ยวจะดุข้าว่าไม่รู้จักมารยาทอีกนะ เชิญท่านข้างในเถอะ"
"ขอบใจ"
ญาณทัศนะของหลี่ผิงอันสำรวจรอบๆ ศาลาเต๋าไปหลายรอบตั้งแต่แรกแล้ว เขาประสานมือขอบคุณ แล้วเดินตามหลังสาวน้อยคนนี้เข้าไปในลานศาลา
ลานเล็กของศาลาเต๋าสะอาดเรียบร้อย พื้นหินขัดสีเขียวเต็มไปด้วยมอสนิดหน่อย ตรงกลางลานเป็นบ่อเลี้ยงปลาขนาดเจ็ดฟุตคูณเจ็ดฟุต มีปลาคาร์ฟสิบกว่าตัวกำลังแหวกว่ายอย่างสบายๆ ใต้ใบบัว
หลี่ผิงอันยิ้มกล่าว "ลานนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากตอนที่ข้ามาครั้งก่อนเลยนะ"
เวินหลิงเอ่อร์รีบเดินไปที่ห้องด้านข้างเพื่อต้มน้ำชา
หลี่ผิงอันเดินไปนั่งที่เก้าอี้หินตรงหน้าประตูอย่างคุ้นเคย หันหลังมองตามเวินหลิงเอ่อร์
นางมีรูปร่างเล็กจริงๆ แต่กลมกลึงน่ารัก สัดส่วนขาของนางถือว่ายอดเยี่ยม
หลี่ผิงอันถามขึ้นกะทันหัน "นักพรตเฉินไม่เคยพูดถึงข้ากับเจ้าบ้างเลยหรือ?"
เวินหลิงเอ่อร์ที่ยุ่งอยู่กับการจัดแจงเตาหินอุปกรณ์วิเศษไม่ได้หยุดมือ ยิ้มตอบ "ข้าพึ่งจะมาเป็นศิษย์ไม่นาน อาจารย์แทบไม่ค่อยเอ่ยถึงสหายของท่านเลย ท่านให้ข้าเรียกท่านว่าอะไรดีล่ะ?"
"หลี่ผิงอัน เหมือนกับเพื่อนนักพรตนั่นแหละ ยังไม่ได้เข้าเป็นศิษย์นอกอย่างเป็นทางการ"
หลี่ผิงอันยิ้มพูดว่า
"ตอนนี้ข้ากำลังทำภารกิจทดสอบศิษย์นอกอยู่ ก็ถือว่าโชคดีอยู่ ภารกิจทดสอบที่จับฉลากได้มีความง่ายเป็นพิเศษ แค่ส่งจดหมายให้นักพรตเฉินเท่านั้น"
"ถ้าผ่านไปได้ ข้าก็จะได้เป็นศิษย์สำนักว่านหยุนจงเต็มตัวแล้ว"
"น่าอิจฉาจริงๆ"
เวินหลิงเอ่อร์ถือถาดใส่ชามาอย่างสง่างาม ทักทายต้อนรับอย่างอบอุ่น
"ข้าเห็นว่าเพื่อนนักพรตน่าจะอายุไม่มากนะ แล้วมีพลังถึงขั้นควบแน่นปราณแล้วเชียวหรือ? เพื่อนนักพรตได้ใช้เทคนิควิชาบางอย่างปิดบังตัวเองเอาไว้ ข้าเลยดูไม่ค่อยออกหรอก"
"โดยหลักแล้ว เพื่อนนักพรตที่อายุน้อยแต่ความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ ควรจะมีนักพรตเซียนสนใจรับเป็นศิษย์แล้วนะ ทำไมถึงต้องมาทดสอบศิษย์นอกแบบนี้ด้วย?"
สายตาของหลี่ผิงอันกระพริบวาบ "เรื่องภายในนี้ค่อนข้างซับซ้อน ก็ถือว่าเป็นเพราะถูกพ่อข้าลากไปด้วยแหละ"
"โดนท่านพ่อลากไปด้วย?"
เวินหลิงเอ่อร์ก้มตัวรินชา แปลกใจถาม "มันเป็นยังไงกันแน่?"
หลี่ผิงอันตอบอย่างใจเย็น "พ่อของข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ใหญ่ผู้ก่อตั้งสำนักคงหมิง ทำให้รุ่นของพ่อข้ากลายเป็นรุ่นเดียวกับอาจารย์ใหญ่ผู้ก่อตั้ง ส่วนรุ่นของข้าก็ถูกดึงขึ้นไปด้วย บางทีนักพรตเซียนในสำนักอาจจะกังวลเรื่องพวกนี้กระมัง คงเป็นเพราะโอกาสของข้ายังไม่มาถึงนั่นเอง"
เมื่อพูดจบ เขาหยิบถ้วยชานี้ขึ้นมาราวกับจะยกไปดื่มทันที
เวินหลิงเอ่อร์หน้าเครียดขึ้นมาทันที
หลาน...หลานศิษย์ของอาจารย์ใหญ่ผู้ก่อตั้งสำนัก!
หลานศิษย์ของเทพเซียนอาวุโสในสำนัก!
คนที่ตอนนี้นางกำลังจะหลอกให้ตกหลุมพราง คือหลานศิษย์ของผู้ก่อตั้งสำนักนี่เอง!
หลี่ผิงอันทำท่าจะดื่มน้ำ
"อ๊ะ! ท่าน!"
เวินหลิงเอ่อร์ยกมือขึ้นจะแย่งถ้วยชา แต่ก็หยุดกึกชะงัก ราวกับตัวสั่นเทาไปทั้งตัว เสียงอ่อนหวานก็สั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด
"เพื่อน...เพื่อนนักพรต! นี่มันชาเมื่อคืนนะ!"
"หืม?"
หลี่ผิงอันเงยหน้ามองเวินหลิงเอ่อร์ แต่ก็เพียงแค่ยกถ้วยชาขึ้นมาที่จมูก ใช้อีกมือหนึ่งพัดเบาๆ
เขาทำท่าเหมือนกำลังดมกลิ่นอะไรบางอย่าง แต่จริงๆ แล้วปิดปากจมูกไว้ด้วยพลังปราณตั้งแต่แรกแล้ว ค่อยๆ วางถ้วยชาลง แล้วเงยหน้ามองเวินหลิงเอ่อร์ยิ้มๆ
ตอนนี้ เวินหลิงเอ่อร์รู้สึกเหมือนตัวเองยืนอยู่ใต้แดดร้อนจัด หัวใจเริ่มเตลิดไปทางอื่น
นางนี่มันไปเกี่ยวพันกับการชิงอำนาจภายในสำนักระดับสูงสุดเข้าให้แล้ว?
หลี่ผิงอันถามต่อ "แล้วเพื่อนนักพรต เรียกเจ้าว่าอะไรดีล่ะ?"
"หลิงเอ่อร์... ข้าชื่อเวินหลิงเอ่อร์"
เวินหลิงเอ่อร์เผชิญสถานการณ์ได้ไม่เลวเลย ถึงแม้จะถูกหลี่ผิงอันทำให้สับสนไปบ้าง แต่ก็ฉีกยิ้มออกมาได้ทันที "ไม่คิดเลยนะว่าท่านจะมีภูมิหลังเช่นนี้"
"ก็แค่ส่องแสงจากพ่อของข้ามาเท่านั้นแหละ"
หลี่ผิงอันเล่าว่า
"ระหว่างทางมาที่นี่ ข้าก็เจอเรื่องตลกนิดหน่อย ข้าเจอกับยายแก่คนหนึ่งที่บอกว่าตัวเองเป็นมารดาของศิษย์ในสำนักว่านหยุนจงน่ะ"
"ยายนั่นอยากจะจบชีวิตตัวเอง บอกว่าลูกๆ ไม่กตัญญู ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว"
"ข้าเห็นมันน่าสนใจดี เลยจงใจแกล้งนางไปหน่อย"
"ยายนั่นคิดว่าตัวเองปลอมตัวได้ดีแล้ว แต่จริงๆ แล้วกลับพลาดในรายละเอียดพื้นฐานที่สุด ข้าเห็นทะลุตั้งแต่แรกแล้ว"
"คนอายุเยอะขนาดนั้น ถ้าลูกไม่กตัญญูจริงๆ แล้วไฉนถึงได้หน้าตาอิ่มเอิบแดงก่ำ รูปร่างก็กระฉับกระเฉง แม้แต่ชาที่ชงก็ยังมีกลิ่นแย่ขนาดนั้น"
หลี่ผิงอันเงยหน้ามองเวินหลิงเอ่อร์ "เพื่อนนักพรตว่ายังไงล่ะ?"
เวินหลิงเอ่อร์ถอยหลังไปครึ่งก้าวโดยอัตโนมัติ กำหมัดน้อยๆ จ้องหลี่ผิงอัน ใบหน้างามหวานเต็มไปด้วยความลังเล ความงุนงง
หากหลี่ผิงอันไม่ได้โอ้อวด 'เส้นสายพ่อ' ของตนก่อนหน้านี้ ป่านนี้เวินหลิงเอ่อร์คงลุกขึ้นโวยวายใส่เขาแล้ว
แต่ตอนนี้ นางไม่กล้า
"เวินหลิงเอ่อร์ เพื่อนนักพรต ไม่อยากจะพูดอะไรกับข้าหน่อยเหรอ?"
หลี่ผิงอันยังคงยิ้มกริ่มๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่เร็วไม่ช้า
"หากสิ่งที่เพื่อนนักพรตพูดตอนอยู่ข้างนอกประตูศาลาเป็นความจริง เช่นนั้นเพื่อนนักพรตก็ผ่านโลกมามากว่าสี่ห้าสิบปีแล้ว ควรจะรู้ว่าควรพิจารณาสถานการณ์พอสมควรแล้ว"
"เจ้าบอกว่ามาจากชายฝั่งทะเลตะวันออก ซึ่งชายฝั่งตะวันออกนี้ยาวมาก มีตำบลเมืองใหญ่น้อยกว่าพันสองร้อยแห่ง สำนักเรามีร้านค้าหลายร้อยร้าน ส่วนใหญ่รวมตัวกันอยู่ในไม่กี่สิบตำบลตอนกลางของชายฝั่งทะเลตะวันออก"
"รองเท้าที่เจ้าใส่นี่ไม่ค่อยเห็นบ่อยนักในทวีปตะวันออก แต่กลายเป็นแฟชั่นที่กำลังฮิตในเกาะอมตะหยิงโจวที่ทะเลด้านนอก ในบรรดาเมืองตำบลใหญ่ๆ ไม่กี่แห่งที่ใกล้กับเกาะหยิงโจวที่สุด บังเอิญพอดีมีตำบลใหญ่ที่สำนักเรากับสองสามสำนักอื่นร่วมกันดูแลอยู่พอดี"
"หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าน่าจะฝึกวิชาอยู่ที่นั้นสินะ?"
เวินหลิงเอ่อร์ฝืนยิ้ม "ท่านช่างรอบรู้กว้างขวางยิ่งนัก อยู่แต่ในสำนักบำเพ็ญเพียร แต่กลับเห็นไกลถึงนอกหมื่นลี้"
"ก็แค่ชอบอ่านหนังสือไร้สาระไปเรื่อยเปื่อยน่ะแหละ"
หลี่ผิงอันถอนหายใจเบาๆ
"ในเมื่อเจ้าไม่ได้ปฏิเสธ ข้าก็พอจะรู้แล้วว่าผู้เป็นนักพรตบนเมฆเบื้องบนนี่คือใคร"
"ผู้ดูแลกิจการร้านค้าเหล่านั้นก็คือผู้อาวุโสนอกสำนักเซียวเยว่ นางเป็นที่รู้จักในชื่อผู้จัดการเซียวในสำนัก เป็นศิษย์ของเทพเซียนในสำนัก และไม่กลัวว่าจะไปขัดแย้งกับพ่อของข้า"
"อย่างไรก็ตาม เรื่องทั้งหมดในวันนี้ น่าจะเป็นฝีมือของบรรดาผู้ใหญ่ในสำนักที่ฟังเชื่อข่าวลือ คิดว่าพ่อของข้าจะได้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไป เลยขอให้นางออกหน้าออกตามาเพิ่มความยากให้กับการทดสอบศิษย์นอกสำนักของข้า"
"ส่วนการทดสอบศิษย์นอกนี้ ไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับข้ามากนัก แย่ที่สุดก็แค่ทำให้พ่อเสียหน้าไปบ้างเท่านั้น"
"แต่เจ้าล่ะ เพื่อนนักพรตเวิน"
ใบหน้าของเวินหลิงเอ่อร์ซีดขาวขึ้นมาทันที
นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือหัวโดยไม่รู้ตัว พึมพำ "เพื่อนนักพรตช่างพูดเหลวไหลไปเสียหมด... ข้า...ข้าไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยสักนิด"
หลี่ผิงอันถามขึ้นทันใด "นักพรตเฉินไม่เป็นอะไรใช่ไหม?"
"ไม่เป็นอะไร! แน่นอนว่าไม่เป็นอะไร! เขาอยู่ที่เหมืองแร่นั่นแหละ!"
"งั้นไปกันเถอะ"
หลี่ผิงอันลุกขึ้นยืน มองตาเวินหลิงเอ่อร์ตรงๆ แล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง
"เจ้าก็เป็นศิษย์สำนักเรา วันนี้เพียงแค่ทำตามที่รับคำสั่งมา ข้าก็ไม่ควรจะทำให้เจ้าลำบากใจมากนัก"
"ที่ที่เจ้าตั้งใจจะพาข้าไปแต่แรก ตอนนี้ก็พาข้าไปที่นั่นเถอะ"
"ข้าว่านี่คงเป็นแค่ผู้อาวุโสเซียวอยากจะสอนข้าผู้เป็นศิษย์น้องน่ะแหละ"
ว่าแล้ว หลี่ผิงอันก็หยิบป้ายหยกชิ้นนั้นออกมา วางไว้บนโต๊ะตรงหน้า
"นี่คือจดหมายที่ให้ข้าเอามาจากในสำนัก ข้าวางมันไว้ตรงนี้ ก็ถือว่าได้ส่งให้นักพรตเฉินแล้ว หากนักพรตเฉินไม่เห็นมัน ข้าจะขอให้คนในสำนักตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด"
เวินหลิงเอ่อร์กระพริบตาเบาๆ
นางตื่นจากภวังค์ขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน
ไอ้หนุ่มตรงหน้า อ้อมค้อมพูดมาตั้งนาน ดูเหมือนจะแค่อยากให้เฉินกงหมินปลอดภัยงั้นหรือ?
หลี่ผิงอันเงยหน้ามองเมฆที่เซียวเยว่ซ่อนตัวอยู่ ประสานมือไหว้ไกลๆ ไม่ได้พูดอะไรมาก
บนเมฆ เซียวเยว่ขมวดคิ้วแน่น
นางถูกจับทางได้โดยหลี่ผิงอันผู้นี้?
ไอ้หนูนี่กล้าดียังไงถึงได้อ้างถึงผู้เป็นพ่อที่มีเทพเซียนอาวุโสหนุนหลังอยู่ ใช้คำพูดไม่กี่คำก็บีบคั้นนางจนแผนการทั้งหมดไร้ความหมายไปเสียหมด
...
เซียวเยว่ได้ยินเสียงเรียกผ่านจิต กลับเป็นผู้อาวุโสเยี่ยนที่อาสาเชิญนางไปร่วมเป็นประจักษ์พยานบนเมฆ