บทที่ 18 ฟื้นฟูจิตใจแห่งเต๋า
หลังจากดูผลของ [ปรับปรุงทรัพยากร 2 ดาว] อย่างละเอียด ลู่ผิงก็เปิดหน้าต่างระบบ
[ระบบจำลองนิกายนิกาย]
[ผู้เล่น: ลู่ผิง]
[นิกาย: นิกายชิงซาน]
[ตำแหน่ง: ประมุขนิกายชิงซาน]
[ระดับ: นิกายขั้นฝึกปราณ]
[ค่าชื่อเสียง: 141]
[ชื่อเสียง: ชื่อเสียงถดถอย ยากจะบ่งบอกแน่ชัด]
[สมาชิก: 30]
[สิ่งปลูกสร้าง: ศาลาประมุขนิกาย ห้องสมุด ห้องปรุงยา ห้องสร้างอาวุธ อื่นๆ]
[ทรัพยากร: หลักปราณต้นกำเนิดชิงเหลียน (ขั้น 2), ค่ายกลหมอกสีเทาขนาดเล็ก (ขั้น 2), ไร่ยา 3 ไร่ (ขั้น 1), ไร่วิญญาณ 10 ไร่ (ขั้น 1), ร้านค้าในตลาด 1 ร้าน, ต้นท้อวิเศษ (ขั้น 1)]
[รายได้: 730 หินวิญญาณต่อปี]
[รายจ่าย: 1,260 หินวิญญาณต่อปี]
[กำไรสุทธิ: -530 หินวิญญาณต่อปี]
[เงินสำรอง: 23 หินวิญญาณ]
[แผนที่: เขตหลูซาน (49%)]
[คำแนะนำ: ในยุทธจักรกว้างใหญ่ ปีศาจกลืนโลก แม้การมาของเจ้าจะเป็นส่วนเล็กน้อยในฟ้าดิน ไม่มากมายสำคัญ แต่คนธรรมดาก็ทำสิ่งยิ่งใหญ่ได้]
[เป้าหมาย: นิกายชิงซานมีอุปสรรคทั้งภายในและภายนอก ทุกสิ่งต้องฟื้นฟู ในฐานะประมุขผู้ก่อตั้ง ขอจงพยายามฟื้นฟูนิกายของเจ้า]
...
เนื่องจากลู่จือเว่ยและคนอื่นยังไม่กลับมาไม่ถึงนิกาย ส่วนขนหมาป่าในโพรงไม้ก็ยังไม่ได้นำไปขายในตลาด ดังนั้นเงินสำรองของนิกายจึงยังคงมี 23 หินวิญญาณ
ในตัวเลขหลายส่วน มีเพียงแค่ทรัพยากรและสมาชิกนิกายเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลง
เนื่องจากทังจื้อเสียนได้ออกจากนิกาย สมาชิกจึงลดลงจากเดิม 31 คน เหลือ 30 คน
ที่ส่วนทรัพยากร ปรากฏต้นท้อวิเศษเพิ่มขึ้นมาหนึ่งรายการ
การดำเนินการก่อนหน้าของลู่ผิง หนึ่งคือการซื้อต้นกล้าท้อวิเศษ อีกอย่างคือใช้ระบบพื้นฐานส่งศิษย์ไปเพิ่มประสบการณ์ภายนอก แล้วส่งศิษย์ไปทำภารกิจ
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากตัวเลขส่วนใหญ่ของนิกายไม่เปลี่ยนแปลง ในระยะเวลาสั้นๆเช่นนี้
หลังคิดใคร่ครวญสักพัก ลู่ผิงก็มีความคิดในการใช้ [ปรับปรุงทรัพยากร]
จากผลของสินค้ารายการนี้ เห็นได้ว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพทรัพยากรชนิดหนึ่งในนิกายได้ หากโชคดี อาจจะทำให้ทรัพยากรชนิดหนึ่งเลื่อนขั้นได้
เป็นโอกาสดีที่เขาจะใช้กับไร่วิญญาณหรือไร่ยา เพื่อยกระดับสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นชั้น
แท้จริงแล้ว ตอนที่ลู่ผิงตัดสินใจลงทุนอย่างมากกับ 3 อุตสาหกรรมหลักของนิกาย เขายังค่อนข้างกังวลกับอนาคตของนิกาย
ไม่ใช่กังวลเรื่องการลงทุนเสี่ยง หรือได้ผลตอบแทนน้อย แต่เป็นเรื่องประสิทธิภาพที่ไม่สูงนัก
แค่ไร่ปลูกวิญญาณ สิ่งที่นิกายปลูกเป็นไร่วิญญาณขั้นหนึ่ง ย่อมผลิตข้าววิญญาณในระดับขั้นหนึ่ง
ข้าววิญญาณระดับนี้ ราคาต่ำ ผลผลิตก็ไม่สูง
ผลผลิตต่อไร่วิญญาณ ประมาณ 300 หินวิญญาณ
หากจะทำให้นิกายดีขึ้นภายใน 3 ปี และสะสมผลกำไรไม่น้อยเพื่อจ่ายค่าตอบแทนค้างจ่ายของศิษย์ กระบวนการนี้ย่อมไม่ง่ายดาย จะยากลำบากมาก
ลู่ผิงมีความทะเยอทะยาน รู้ข้อดีของข้าวไฮบริดจากชาติก่อน เขาจึงหวังจะขยายพื้นที่ปลูก เพื่อให้ผลผลิตข้าววิญญาณสูง มีประสิทธิภาพตอบแทนนิกายดี
หากใช้ [ปรับปรุงทรัพยากร] กับไร่วิญญาณ อาจยกระดับได้เป็นขั้นสอง
ไร่วิญญาณขั้นสอง สามารถผลิตข้าววิญญาณขั้นสองได้!
ราคาข้าววิญญาณขั้นสอง มากกว่าขั้นหนึ่งถึงหนึ่งเท่าตัว รายได้จะเพิ่มขึ้นมากทีเดียว!
หากไม่ยกระดับไร่วิญญาณ แค่เพิ่มประสิทธิภาพไร่ยาบ้าง ก็จะให้ผลดีมากแล้ว
ตอนนี้ ลู่ผิงอยากจะแลก [ปรับปรุงทรัพยากร] มาใช้กับไร่วิญญาณหรือไร่ยาเลย
และแม้การเลื่อนขั้นจะล้มเหลว แต่การปรับปรุงให้ดีขึ้นสักหน่อยก็ยังดี อย่างน้อยก็พัฒนาดีกว่าเดิม
แม้แนวคิดจะดี พอมาดูราคาแลกเปลี่ยน ก็ต้องใช้ค่าชื่อเสียง 50 แต้ม ลู่ผิงรู้สึกแพงไปหน่อย
"แลกอันหนึ่งต้องใช้ 50 แต้มค่าชื่อเสียง หากจะเพิ่มประสิทธิภาพทั้งไร่วิญญาณและไร่ยา ต้องใช้อย่างน้อย 100 แต้มสินะ"
"ของดี ๆ ที่นี่ก็ไม่ค่อยถูกจริง ๆ "
แม้ตอนนี้มี 141 แต้มค่าชื่อเสียง สามารถแลก [ปรับปรุงทรัพยากร] ได้อย่างหนึ่ง แต่ลู่ผิงตัดสินใจจะไม่แลกตอนนี้
เขาคิดจะรอจนกว่าจะเก็บเกี่ยวไร่วิญญาณปีนี้เสร็จ แล้วค่อยขยายไร่และแลก ถึงตอนนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพของไร่ก็จะได้ผลดีที่สุด
การแก้ไขปัญหาด้านจิตใจของลู่จือเวย นั้นสำคัญกว่า ต้องจัดลำดับความสำคัญให้ดี
ขณะที่ลู่ผิงกำลังคิด อีก 2 วันต่อมา มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกถ้ำ เป็นลู่จือเวยกลับมาถึงนิกาย และมารายงานตัวโดยด่วน
"ท่านพ่อเจ้าคะ ลู่จือเวยกลับมาแล้ว"
ลู่จือเวยยืนอยู่ด้านนอกถ้ำ
"อืม"
ได้ยินเสียงลูกสาว ลู่ผิงก็ใช้ระบบ [ติดต่อ] เปิดสื่อสารส่วนตัวกับลู่จือเวยทันที
เขากำลังจะหาเธอพอดี
ลู่จือเวยรายงาน "ท่านพ่อ หมาป่าในโพรงต้นไม้ที่เมืองเซียวซือ ได้กำจัดเสร็จสิ้นแล้ว ไม่มีตัวไหนรอดไปได้"
"เจ้าล่าปีศาจครั้งนี้ ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม"
"ขอบพระคุณท่านพ่อที่ห่วงใย ทุกอย่างราบรื่นดีเจ้าค่ะ"
"ภารกิจกำจัดปีศาจครั้งนี้ เจ้าทำได้ไม่เลว"
ลู่ผิงเปิดหน้าต่างระบบ และหาพบ [ความมุ่งมั่นในเต๋า] ในร้านค้า จึงแลกมันมา
เมื่อได้รับคำชมจากลู่ผิง ลู่จือเวยก็ค่อนข้างดีใจ สีหน้าก็ผ่อนคลายลงมาก
"นิกายกำลังลำบากในเวลานี้ ขนหมาป่าในโพรงต้นไม้แม้จะขายได้เพียงไม่กี่หินวิญญาณ แต่น้อยยังดีกว่าไม่มีเลย"
ลู่ผิงสั่ง "เมื่อไปขายขนเหล่านั้นแล้ว ก็เก็บหินวิญญาณที่ได้ไว้ก่อน นิกายต้องใช้หินวิญญาณใน
การดำเนินงาน หินวิญญาณที่ควรจ่ายก็ไม่ควรเก็บออม"
"ลู่จือเวยเข้าใจแล้ว"
เรื่องการนำขนหมาป่าไปขาย ลู่จือเวยและลู่ผิงก็คิดไปในทางเดียวกัน ไม่เช่นนั้นตอนกำจัดปีศาจ เธอคงไม่สั่งศิษย์ว่าต้องระวังในการจัดการ รักษาขนหมาป่าไว้ให้ดี
ที่ลู่ผิงให้ลู่หยวนซานคืนดาบหมอกราตรีให้ลู่จือเวย ก็คิดว่าการขายขนหมาป่าจะได้หินวิญญาณมาบ้าง ช่วยเสริมนิกายได้เล็กน้อย จะได้ไม่ต้องขายดาบหมอกราตรี
หลังจากสั่งการเรื่องนี้แล้ว ลู่ผิงก็ใช้ [ความมุ่งมั่นในเต๋า] กับลู่จือเวย
ด้านนอกถ้ำ ขณะที่ลู่จือเวยยืนรออยู่ไม่นาน ก็รู้สึกถึงความผิดปกติเกิดขึ้นภายในร่างกาย โดยเฉพาะด้านการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ
เธอกลับมีความคิดที่จะกลับไปยึดมั่นในการฝึกตน เพื่อจะได้กลับไปแข่งขันบนเส้นทางเซียนอีกครั้ง
ความคิดนี้รุนแรงมาก ทำให้เธอรู้สึกราวกับจุดไฟดวงหนึ่งในความมืด และใช้ไฟนี้ส่องทางให้เธอก้าวเดิน จนเธอเองยังสงสัยและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
"ท่านพ่อ ข้ารู้สึกเหมือนมี..."
ดังนั้น เธอจึงถามลู่ผิง เพื่อต้องการรู้สาเหตุ
เธอฉลาดมาก คาดว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับลู่ผิง
"ไม่ต้องสงสัยอะไร"
เสียงของลู่ผิงดังขึ้น เขาสังเกตสีหน้าของลู่จือเวยได้
"พ่อเห็นว่าจิตใจแห่งเต๋าของเจ้าไม่มั่นคง ขาดความมุ่งมั่นในการฝึกตน จึงต้องช่วยปลุกเร้าจิตใจของเจ้า หวังว่าเจ้าจะหลุดพ้นจากเงามืด ไม่จมปลักอยู่ในความรู้สึกผิดตอนสร้างรากฐานล้มเหลวอีกต่อไป"
"ท่านพ่อ วิธีนี้ของท่านช่างเก่งกาจนัก ถึงกับสามารถ..."
"ไม่ต้องสอบถามรายละเอียดแล้ว เจ้าเพียงแค่รู้ไว้ว่า พ่อกำลังช่วยเจ้า อยากให้เจ้าดีขึ้น"
เรื่องของระบบ ก็อธิบายยาก ลู่ผิงเลยขี้เกียจพูดมาก
เขามองดูคุณสมบัติส่วนตัวของลู่จือเวย พบว่าสถานะ [จิตแห่งเต๋าหายไป เกือบหดหู่] หายไปแล้ว กลายเป็น [แข็งแรง]
นอกจากนี้ ส่วนนิสัย [เงียบขรึม เปราะบางอ่อนไหว] ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนอุปนิสัยคงต้องใช้เวลา ไม่สามารถเปลี่ยนได้ทันที
แต่ก็ไม่เป็นไร
ดังนั้นเขาจึงพูดต่อ "การพัฒนานิกาย พ่อจะหาวิธีต่อไป จะพยายามทำให้ดีที่สุด ในทำนองเดียวกัน พวกเจ้าก็ต้องมีความเชื่อมั่นด้วย"
"เจ้าค่ะ"
"อีกอย่าง เจ้าเป็นหนึ่งในผู้มีพลังยุทธ์สูงสุดในนิกาย ยังเป็นช่างสร้างอาวุธขั้นหนึ่งชั้นเลิศ ถ้าเจ้าบรรลุขั้นสร้างรากฐานได้ นิกายก็จะหายใจโล่งได้บ้าง ไม่ลำบากเหมือนตอนนี้"
พูดถึงตรงนี้ ลู่ผิงก็พูดทำนองครุ่นคิด
"บางทีเจ้าอาจคิดว่า เมื่อพ่อออกจากการปิดวิเวก ก็จะช่วยทำให้นิกายมั่นคงได้ แต่พ่อยังออกไปไม่ได้ในเร็ววันนี้ อาจนานพอสมควรเลยทีเดียว ดังนั้นอนาคตของนิกาย ต้องพึ่งพาพวกเจ้า"
ลู่จือเวยฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้าเล็กน้อย
เรื่องที่ลู่ผิงไม่สามารถออกจากการปิดวิเวกได้ชั่วคราวนี้ ก่อนหน้านี้ลู่หยวนซานเคยบอกเธอ เธอเข้าใจได้ว่าท่านพ่ออาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่พูดไม่ได้ และจะไม่ไปสอบถามถึงสาเหตุ
"เจ้ารอพ่อข้างนอกสักครู่ พ่อมีของอีกสองอย่างจะมอบให้เจ้า"