บทที่ 162 เจ้าอยากพิชิตเปลวไฟดารางั้นหรือ
ก่อนหน้านี้ เขาเคยคิดสงสัยแลคาดเดากับตนมาเสมอ ว่าหยางเสี่ยวเทียนหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ได้อย่างไร
ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว
แต่สิ่งที่หลัวชิงไม่รู้แท้จริงคือ โอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์จำนวนมาก ที่หยางเสี่ยวเทียนเคยหลอมก่อนนั้น ไม่ได้ขัดเกลาด้วยเปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณ แต่เป็นเปลวไฟอัสนีแห่งทัณฑ์สวรรค์ หนึ่งในไฟศักดิ์สิทธิ์อันดับที่สิบสี่
เมื่อทั้งสองได้เปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณเปิดทาง พวกเขาก็เริ่มเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ทดแทนเวลาที่เสียไปก่อนหน้า
หยางเสี่ยวเทียนตัดสินใจถูกจริงๆ ที่ใช้เปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณเป็นตัวช่วยในการเปิดทางครั้งนี้ เพราะมันไม่เพียงกำจัดหมอกพิษอันหนาทึบจนมองไม่เห็นแวดล้อมรอบด้านเท่านั้น แต่สัตว์ร้ายที่ซุ่มหมายจู่โจม พวกมันยังต้องพากันแตกหนีด้วยพลังการเผาผลาญจากเปลวไฟ
ขณะทั้งสองยังคงเดินมุ่งหน้าไปอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย หยางเสี่ยวเทียนกลับพลันเหลือบเห็นแสงสีทองสว่างใสท่ามกลางความมืดราวดวงประทีปน้อยๆ บนผาสูงด้านหน้า
ซึ่งทันทีที่หยางเสี่ยวเทียนเห็นแสงสีทองนี้ เขาจึงรีบสับขาเดินเข้าหามันยังผาเบื้องหน้า ด้วยสัมผัสได้ว่ามันน่าจะเป็นสิ่งใด
“รากบัวทอง!” หลัวชิงเอ่ย น้ำเสียงระคนประหลาดใจ ด้วยเขาไม่หวังว่าจะพบเจอมันในสถานที่เช่นนี้
สรรพคุณของรากบัวทอง ไม่เพียงสามารถขจัดพิษได้หลายร้อยชนิดเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมพลังให้แก่ปราณแท้ ทั้งยังเป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญของการหลอมโอสถขั้นมหาสมบัติ
โอสถขั้นมหาสมบัติทุกประเภท ล้วนมีความบริสุทธิ์ที่เหนือยิ่งกว่าบรรดาโอสถขั้นเซียนเทียน เช่นโอสถวิญญาณหลงหู่หรือโอสถวิญญาณสี่ประการ ที่เขาหลอมใช้อยู่ทุกวันนี้เสียอีก
ยิ่งกว่านั้น หากมองดูรากบัวทองตรงหน้านี้ ที่สามารถเปล่งแสงสีทองออกมาได้แล้ว แสดงว่าอายุของมันต้องไม่ใช่น้อยๆ แน่นอน
หยางเสี่ยวเทียนกระโดดขึ้นไปบนชะง่อนผา แล้วเก็บรากบัวทองนั้นอย่างระมัดระวังที่สุด ก่อนลงมารวมตัวกับหลัวชิงผู้เฝ้าสังเกตการณ์เหตุไม่พึงประสงค์เบื้องล่าง
สมุนไพรสำคัญในการหลอมโอสถขั้นมหาสมบัตินั้นหาได้ยาก ดังนั้นจึงมิแปลก หากพวกเขาทั้งสองจะมีอาการตื่นเต้นยินดีเป็นพิเศษ ด้วยไม่คาดคิดว่าการมายังสถานที่แห่งนี้ จะมีโอกาสได้พบกับรากบัวทองและนำมันกลับไปด้วย
หลังหยางเสี่ยวเทียนเก็บมันใส่ในแหวนเตาหลอม ทั้งสองก็เริ่มเดินหน้าหาจุดหมายต่อไป
ขณะพวกเขากำลังมุ่งหน้าถึงส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขาพิษดับวิญญาณ ทันใดนั้น ประกายแสงระยิบระยับจากดวงดาราอันน่าอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น ไม่ไกลจากทิศทางที่ทั้งคู่ยืนอยู่นัก
หยางเสี่ยวเทียนเผยแย้มยิ้ม แสดงสีหน้าอย่างคนมีความสุขทันที เมื่อรู้ว่าการบากบั่นฝ่าฟันอุปสรรคมาในครั้งนี้ไม่เสียเปล่า
ด้วยแสงอันแพรวพราวที่อยู่เบื้องหน้าไม่ไกลนี้ มิต้องสงสัยเลยว่าใช่เปลวไฟดาราหรือไม่
ระหว่างที่หยางเสี่ยวเทียนกำลังย่างเท้าเข้าหามันอย่างไม่ไหวจะรั้งรออีกแล้ว เสียงก้องดังอันไม่น่าเกิดเพราะเปลวไฟดารากระทำเองก็พลันสนั่นขึ้น ทำเขาต้องชะงักฝีเท้าหยุดนิ่ง
ครั้นสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าประหลาดใจนี้ แววตาของหยางเสี่ยวเทียนก็ถึงกับหรี่ลง ด้วยเริ่มแน่ใจว่าเสียงเช่นนี้จะไม่มีทางเกินขึ้น หากไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ไฟประหลาดเหล่านั้น เพื่อหวังได้ครอบครองมัน
มีคนกำลังพิชิตเปลวไฟดารา ในสถานที่เช่นนี้ด้วยงั้นหรือ!
“นายน้อย โปรดระวังตัวด้วย” หลัวชิงกล่าวพร้อมกับมีสีหน้าเคร่งขรึม
หากพินิจจากกลิ่นอายอันทรงพลังที่กระจายออกมาพร้อมเสียงครู่นั้น ความแข็งแกร่งนี้ เกรงว่าอีกฝ่ายต้องมีพลังเหนือเขาเป็นแน่
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้า จากนั้นสืบเท้าอย่างรวดเร็วไปยังทิศทางของเปลวไฟดารา
ไม่ช้า หลังจากหยางเสี่ยวเทียนมาถึงบริเวณที่คาดจะเป็นต้นกำเนิดเสียง เขาก็มองเห็นเปลวไฟดาราอยู่เบื้องหน้า
เปลวไฟดาราลอยอยู่เหนือพื้นพิภพตรงหน้าเขา รูปลักษณ์ภายนอกของมันถูกห้อมล้อมไปด้วยดวงดาวคล้ายอัญมณีส่องแสงระยิบระยับมากมายสุดคณานับ ช่างเป็นเปลวไฟที่งดงามตระการตาอย่างกับฝันยิ่ง
ห่างออกไปจากเปลวไฟดาราราวสามร้อยฉื่อ มีร่างคนถึงหกร่างยืนอยู่ที่นั่น ซึ่งผู้นำเป็นชายชราหนึ่งในนั้น และทั้งหกยังสวมอาภรณ์ลักษณะแปลกพิกล ประหนึ่งเป็นคนจากชนเผ่าโบราณสักเผ่า
ส่วนชายชราที่เป็นผู้นำ ในมือถือไม้เท้าขนาดใหญ่ ช่วงปลายของไม้เท้าด้านบนมีแสงจากอักษรรูนลอยปกคลุมอยู่
ทั้งหกคน ล้วนมีรอยถูกไฟไหม้หลายแห่งตามร่างกาย อาภรณ์ก็ขาดรุ่งริ่งประหนึ่งห่มเพียงเศษผ้า ทำหยางเสี่ยวเทียนที่ได้เผลอมองไปแล้วแทบละสายตาหนีไม่ทันด้วยอุจาดตา แม้ในแววตาพวกเขาตอนนี้ จะแสดงออกถึงความหวาดผวาเป็นที่สุด
เห็นได้ชัดว่าทั้งหกคนกำลังร่วมมือกันพิชิตเปลวไฟดารา ทว่า ความแข็งแกร่งของเปลวไฟมันเกินกว่าที่หกคนนั้นจะรับมือได้
เมื่อทั้งหกได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังมุ่งมาใกล้ พวกเขาก็หันมองพร้อมเผยสีหน้าประหลาดใจทันที เพราะผู้ที่สืบเท้าเข้ามานั้น คือหยางเสี่ยวเทียน ซึ่งเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งแต่สีหน้าไร้ความสะพรึงใดๆ ต่ออันตรายตรงนี้
หลังผ่านประสบการณ์ที่ถูกเปลวไฟแผดเผาจนบาดเจ็บอย่างเลวร้าย ชายชรานั้นจึงรีบเอ่ยห้ามขึ้นน้ำเสียงดูห่วงใย “เจ้าหนู หุบเขาพิษดับวิญญาณนั้นเต็มไปด้วยอันตราย ไม่ใช่สถานที่ของเด็กจะมาเดินเล่น เจ้าจงรีบออกไปเร็วเข้า!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงดูเป็นกังวลเช่นนั้นของชายชรา หยางเสี่ยวเทียนจึงส่ายศีรษะพร้อมกล่าวออกไปตามจริงโดยมิคิดอะไร “ข้าก็มาที่นี่ เพื่อพิชิตเปลวไฟดาราเช่นกัน”
คำกล่าวของเด็กเบื้องหน้า พานให้ทั้งหกคนต่างตกตะลึงไปตามกัน
เพื่อพิชิตเปลวไฟดารางั้นรึ!
ชายชราเผยยิ้มอย่างเหลือเชื่อ ก่อนกล่าวทวนคำพูดของเด็กน้อยไร้เดียงสาผู้นี้ว่า “เจ้าก็อยากจะพิชิตเปลวไฟดาราเช่นนั้นหรือ”
แม้ตัวเขาเองจะเป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งไม่น้อย แต่ยังมิอาจพิชิตเปลวไฟดาราได้เลย
สำมะหาอะไรกับเด็กน้อยผู้นี้ ที่เพิ่งเกิดมาประสบพบเจอแลมีประสบการณ์บนโลกได้เท่าไรเอง จะเอาความแข็งแกร่งมาจากไหน พิชิตเปลวไฟดาราได้
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่ ข้ามาที่นี่เพื่อสิ่งนี้”
เมื่อหลายคนได้ยินน้ำคำหนักแน่นนี้ พวกเขาก็ต่างหันมองหน้ากันก่อนจะแสดงรอยยิ้ม
“แม้แต่อาจารย์ของข้า ก็ยังมิอาจพิชิตเปลวไฟดาราได้ เมื่อรู้เช่นนั้นแล้ว เจ้ายังอยากลองพิชิตมันอีกงั้นหรือ” ชายวัยกลางคนหนึ่งในนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แล้วกล่าวเสริมว่า “เจ้าหนู เจ้าอายุเท่าไหร่กัน มิใช่ว่าเพิ่งปลุกวิญญาณยุทธ์ให้ตื่นขึ้นกระนั้นหรือ”
อาจารย์ของเขาที่หมายถึง คือชายชราผู้ถือไม้เท้าที่มีอักษรรูนตรงนั้น
และชายชราที่ว่านี้ เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งมากสุดของอาณาจักรโดยรอบ ซึ่งแม้แต่อาจารย์เขายังไม่สามารถพิชิตมันได้ สำมะหาอะไรกับเด็กที่เพิ่งปลุกวิญญาณยุทธ์ขึ้นมาเช่นหยางเสี่ยวเทียน