ตอนที่แล้วบทที่ 13 ปลูกต้นท้อวิเศษ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 15 ออกไปเยี่ยมเมืองเซียวซือ

บทที่ 14 มอบหมายภารกิจ


ยืนอยู่นอกถ้ำ ลู่จือเวยมีสีหน้าครุ่นคิดคลางแคลง สายตาอยากจะมองเข้าไปในถ้ำ ดูว่าลู่ผิงเดินออกมาได้แล้วจริงๆ รึเปล่า แต่เพราะมีคาถาปกป้องอยู่ทำให้เธอไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ภายในได้

ตอนเช้าที่เจอกับลู่หยวนซาน นางถูกบอกว่าลู่ผิงตื่นขึ้นมาแล้วและต้องการพบ ลู่จือเวยไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่นัก คิดว่าเป็นแค่คำพูดล้อเล่นเพื่อปลอบใจ

นับตั้งแต่ล้มเหลวในการสร้างฐาน จิตใจเธอก็มีความท้อถอยเพิ่มมากขึ้น ทั้งวันนิ่งเงียบไม่ค่อยพูดจา ทำให้ลู่หยวนซานและคนอื่นๆ มองแล้วเจ็บใจ พยายามปลอบใจกันไม่น้อย แต่นางก็ไม่อยากสนใจอะไรทั้งสิ้น

ก็แค่เรื่องพ่อตื่นขึ้นมาอย่างเดียว ที่ทำให้เธอพอจะมีความปรารถนาอยากมาสักหน่อย

แต่พ่อปิดตัวฝึกมาตั้งสามสิบปีแล้ว ถ้าออกมาได้ ตอนที่เกิดภัยพิบัติสมัยนั้นก็ควรจะออกมาช่วยกู้นิกาย ไม่สมควรจะรอยาวนานถึงตอนนี้

ลู่จือเวยคิดในใจ ใบหน้าไร้อารมณ์ ดูไม่ออกว่ามีความสุขแม้แต่น้อย

จากในถ้ำ ได้ยินเสียงเรียก ลู่ผิงก็บังคับให้ร่างจิตวิญญาณลอยผ่านคาถาปกป้อง มาถึงด้านนอก

เมื่อเห็นลู่จือเวยที่มีสภาพอิดโรยหมองหม่น ไม่มีความสุขเท่าไหร่นัก ลู่ผิงก็อดที่จะน้ำตารื้นขึ้นมาไม่ได้

ในฐานะลูกสาวคนเล็ก ตอนที่ลู่ผิงปิดตัวฝึก ลู่จือเวยเพิ่งอายุราวสิบกว่าปี ช่วงวัยรุ่นตอนต้น เป็นภาพลักษณ์แบบสาวน้อยที่สะอาดใสน่ารัก ทำให้ผู้คนเอ็นดู

ตอนนี้ ลูกเล็กโตขึ้นแล้ว แต่ไม่มีท่าทางของเด็กสาวร่าเริงสดใสเหมือนในวันวานอีกเลย ในแววตาดูไม่ออกว่ามีความรื่นเริงใดๆ ไม่มีจิตใจที่กระปรี้กระเปร่าแม้แต่น้อย

เห็นได้ชัด การสร้างฐานล้มเหลวกระทบต่อเธอรุนแรงมาก ในช่วงปีนี้มันแทบกลายเป็นจิตสำนึกผิด คอยย้ำเตือนจิตใจเธอไม่หยุดหย่อนจนนิสัยเปลี่ยนไป

"ลูกสาวโง่เอ๋ย ก็แค่ล้มเหลวในการสร้างฐานครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ควรต้องท้อใจถึงเพียงนี้เลย"

ลู่ผิงยื่นมือออกไปลูบหัวลู่จือเวย อยากลองปลอบประโลมสักหน่อย แต่กลับลูบเจอแต่อากาศ

เอ้อ ลืมไปว่าตอนนี้ตนเป็นร่างจิตวิญญาณ ถ้าจะแตะต้องกันได้ก็คงดี

เขาจึงใช้ตัวเลือก [สื่อสาร] เลือกลู่จือเวย ลู่หยวนซาน เป็นเป้าหมาย สร้างกลุ่มสนทนาสามคนขึ้นมาได้

"พวกเจ้ามาแล้ว"

เสียงของลู่ผิงดังก้องในสมองของลูกทั้งสองพร้อมกัน

"ท่านพ่อ?"

ได้ยินเสียงของลู่ผิง ลู่จือเวยก็ชะงักใจ

ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เธอไม่ได้คาดคิด จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองลู่หยวนซาน อยากถามว่าตอนนี้พ่อเธอตื่นจริงๆแล้วหรือ?

ส่วนเรื่องลู่ผิงยังมาพบไม่ได้ชั่วคราว ไม่สามารถออกจากถ้ำมาพบหน้า เธอได้ยินลู่หยวนซานพูดถึงแล้ว

ลู่หยวนซานยิ้มพลางผงกศีรษะ "เจ้าไม่ได้ฟังผิดหรอก"

"เป็นพ่อเอง ลูกจือเวย"

เสียงของลู่ผิงดังขึ้นอีกครั้ง

ยืนยันแล้วว่าเป็นเสียงของลู่ผิง ลู่จือเวยก็ตัวสั่นเล็กน้อย ในใจพลันเกิดความดีใจ อยากก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว วิงวอนให้ลู่ผิงยกเลิกการปกป้อง เข้าไปในถ้ำเพื่อมองดูลู่ผิงให้ชัดๆ

"ไม่ต้องเข้ามา"

มีเสียงของลู่ผิงดังมาเพียงเธอก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว

"ยืนอยู่นอกถ้ำก็ได้ ตอนนี้พ่อยังไม่สะดวกพบเจ้า"

"อ่า"

ลู่จือเวยจำใจต้องหยุดเท้า

"เรื่องเจ้าสร้างฐาน ลู่หยวนซานได้เล่าให้ฟังแล้ว เจ้าไม่ต้องโทษตัวเอง"

ลู่ผิงเข้าประเด็นทันที "ที่พ่อเรียกเจ้ามาวันนี้ ก็อยากจะดูเจ้าให้ดีๆสักหน่อย ตลอดหลายปีนี้ เจ้าต้องลำบากมากแน่ๆ"

ลู่จือเวยเงียบฟังอยู่พักใหญ่ ในใจเริ่มครุ่นคิดไม่สงบแล้ว อยากจะโถมเข้าไปในอ้อมกอดของลู่ผิงร้องไห้ดังๆสักที ระบายความรู้สึกผิดและอึดอัดตลอดหลายปีนี้ แต่ความคิดนั้นก็ถูกกดข่มไว้ได้อย่างรวดเร็ว

เธอโตแล้ว ไม่ใช่สาวน้อยร่าเริงน่ารักเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ตอนนี้ก็เข้าไปในถ้ำพบลู่ผิงต่อหน้าโดยตรงไม่ได้ ได้แค่พูดคุยกันทางจิต สัมผัสรับรู้การมีอยู่ของพ่อ ฟังเสียงคุ้นเคยนั้น

"คุณพ่อ กรุณาอภัยให้ลูกด้วยที่ไร้ความสามารถ ทำให้สูญเปล่ายาสร้างฐานที่นิกายมอบให้"

หลังนิ่งเงียบครู่หนึ่ง เธอก็รีบสำนึกผิดเป็นฝ่ายแรก พลางแสดงสีหน้าเจื่อนเล็กน้อย

"หากวันนั้นเอายาสร้างฐานไปให้พี่ชายกินแทน พี่ชายคงสร้างฐานได้สำเร็จในคราวเดียว สถานการณ์นิกายจะดีขึ้นมากทีเดียว"

พี่ชายที่ลู่จือเวยพูดถึง ก็คือลู่หยวนซานนั่นเอง

"น้องหญิง พลังพื้นฐานของพี่ชายต่ำกว่าเจ้ามาก ถึงได้กินยาสร้างฐาน ก็ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จ"

ท่าทางสำนึกผิดของลู่จือเวย ทำให้ลู่หยวนซานที่ยืนอยู่ข้างๆรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

การกินยาสร้างฐาน มีโอกาสสำเร็จเพียงห้าส่วนสิบ ใครก็รับประกันไม่ได้หรอกว่าจะทำสำเร็จในครั้งแรก ล้มเหลวหนึ่งสองครั้งถือเป็นเรื่องปกติ แค่รู้สึกเสียดายนิดหน่อยก็พอ

เลวร้ายที่สุดก็แค่ขัดเกลาพลัง กลับมาลองใหม่เท่านั้น

แต่น้องหญิงกลับพาตัวเองไม่พ้นเงามืดสร้างฐานล้มเหลวเสียที

"แค่ครั้งเดียวที่สร้างฐานล้มเหลว ไม่ต้องใส่ใจหรอก พ่อไม่ได้ตั้งใจตำหนิเจ้าเลย"

"แม้แต่พ่อสมัยก่อนก็สร้างฐานลำบากยากเย็น ต้องใช้ยาสร้างฐานถึงสามก้อนกว่าจะสำเร็จ เจ้าไม่ควรต้องท้อใจเลย"

นั่นเป็นเรื่องจริง พื้นฐานของลู่ผิงเป็นรากวิญญาณสามรากธรรมดา ไม่เท่าพื้นฐานสองรากของลู่จือเวย

ตอนนั้นเพื่อก้าวผ่านขั้นสร้างฐานให้ได้ในคราวเดียว ต้องเตรียมยาสร้างฐานถึงสามก้อนเลยทีเดียว ต้องปิดตัวฝึกนานกว่าปีจึงสำเร็จ

พรสวรรค์ โอกาส ทรัพยากร...สิ่งเหล่านี้สำหรับลู่ผิงในยุคนั้น ก็ไม่ได้ถือว่ามั่งคั่งอะไร ขอแค่พอมีไว้ฝึกฝนได้บ้างเท่านั้น

"ลูกก็ยังรู้สึกน่าเสียดายจริงๆ ทำให้นิกายผิดหวัง"

แม้พ่อจะไม่ได้ตำหนิอะไร แต่ความรู้สึกเสียใจผิดหวังยังคงฝังลึกในก้นบึ้งของจิตใจลู่จือเวย

เมื่อนึกถึงยาสร้างฐานก้อนนั้น สำหรับนิกายแล้วมีค่ามากกว่าแค่ยาก้อนหนึ่งเสียอีก มันเท่ากับเงินประกันชีวิตของทั้งนิกายเลยทีเดียว ว่าต่อไปนิกายจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะก้าวผ่านสร้างฐานได้สำเร็จหรือไม่

ภาระความรับผิดชอบนี้ มันช่างหนักหนาสาหัสนัก หากท้ายที่สุดแล้วสร้างฐานล้มเหลว ก็เท่ากับไม่สามารถแบกรับได้สำเร็จ

ได้ฟังคำพูดเต็มไปด้วยความเสียใจของลู่จือเวย ลู่ผิงพยายามปลอบประโลมไปได้พักใหญ่ แต่เมื่อเห็นว่าลูกสาวยังคงยากจะปล่อยวางความรู้สึกผิดได้ จึงหาทางเปลี่ยนเรื่องคุยไป สอบถามสารทุกข์สุกดิบชีวิตความเป็นอยู่ของลู่จือเวยในช่วงหลายปีนี้แทน

ลู่จือเวยตอนแรกพูดน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นแบบถูกถามจึงค่อยตอบ แต่เมื่อสนทนากันไปมากเข้า ก็เริ่มกล้าถามบ้าง

อย่างเช่นถามว่าลู่ผิงจะออกจากการปิดตัวฝึกตนเมื่อไหร่ มีความก้าวหน้าไปถึงขั้นวิญญาณแรกกำเนิดหรือยัง การที่ตอนนี้นิกายตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก จะสืบทอดนิกายต่อไปได้หรือไม่ เป็นต้น

ลู่ผิงตอบคำถามไปคร่าวๆ มีลู่หยวนซานแทรกพูดเสริมไปบ้างเป็นครั้งคราว

บรรยากาศการสนทนาของสามพ่อลูกถือว่าค่อนข้างกลมกลืน เพียงแต่สีหน้าของลู่จือเวยยังคงดูอิดโรยไม่มีชีวิตชีวาอยู่ตลอด ดูท่าแล้วผลกระทบจากการสร้างฐานล้มเหลวครั้งนั้นมันใหญ่หลวงเกินไป จนถึงตอนนี้เธอก็ยังติดอยู่ในเงามืดแห่งความรู้สึกผิดต่อนิกายไม่หลุดพ้น

ลู่ผิงนอกจากจะพูดให้กำลังใจแล้ว ก็ทำอะไรไม่ได้อีก

ปมต้องแก้เอง คนที่ผูกปมเองก็ต้องคลายมันเอง

หลังจากคุยเสร็จ ลู่ผิงก็เอ่ยถึงเรื่องพวกหมาป่าในโพรงไม้

"ไกลออกจากเขาชิงเหลียนไปทางทิศตะวันออก ราวสองร้อยกว่าลี้ที่เมืองเซียวซือ มีฝูงหมาป่าในโพรงไม้ที่ขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนมานาน พวกมันชอบไปรังควานชาวบ้านที่ผ่านทางไปมา ปัจจุบันมีจำนวนราวสามสิบหกตัว เป็นภัยคุกคามระดับหนึ่ง จำเป็นต้องให้นิกายส่งคนไปกำจัด"

"หมาป่าในโพรงไม้ระดับไหนกัน ฆ่ายากหรือไม่"

ได้ยินว่ามีปีศาจหมาป่าออกอาละวาด ลู่หยวนซานอดถามขึ้นมาไม่ได้

ในฐานะประมุขนิกาย เขาต้องเข้าใจสถานการณ์ของฝ่ายตรงข้ามเสียก่อน จากนั้นจึงพิจารณาวางแผนส่งศิษย์ระดับไหนลงมือ เป็นนิสัยที่ติดตัวมา

"อ่อนมาก เป็นแค่ปีศาจระดับหนึ่ง มีกำลังอยู่ในช่วงฝึกปราณชั้นหนึ่งถึงสอง"

ลู่หยวนซานได้ฟังก็พยักหน้า ยื่นตัวขอรับงานในทันที

"เรื่องนี้ให้ลูกจัดการเองครับ"

เขาไม่ได้ถามลู่ผิงหรอกว่าทำไมถึงต้องพูดถึงเรื่องนี้ จะต้องไปกำจัดหมาป่าในโพรงไม้ทำไม

และรู้ได้อย่างไรว่าที่นั่นมีฝูงหมาป่าในโพรงไม้อยู่

แต่ในเมื่อพ่อให้ความสนใจเรื่องนี้ ย่อมต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่ และการรู้ว่ามีฝูงหมาป่าในโพรงไม้อยู่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

อย่างไรก็ตามเขาก็เป็นประมุขขั้นแก่นทองคำ คงจะมีความสามารถเหนือธรรมดาบ้าง

"ในฐานะประมุขนิกาย เจ้าควรมุ่งเน้นอยู่ที่การดูแลนิกายเป็นหลัก"

ลู่ผิงเลือกคนที่จะรับภารกิจนี้ และเอ่ยกับลู่จือเวย "ลูกจือเวย เจ้าคงกังวลใจไม่สบายมาตลอด รู้สึกว่าตัวเองไม่สมกับที่นิกายคาดหวัง งั้นครั้งนี้ให้เจ้าเป็นคนนำศิษย์ไปทำภารกิจปราบปีศาจนี้เถอะ"

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด