ตอนที่ 225
ตอนที่ 225
ในตอนนี้ งูเขียวยักษ์ตัวหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือหัวของเขา
นี่คือพลังแก่นชีวิตของเขา งูยักษ์ที่มีความยาวกว่าร้อยเมตร และมีเกล็ดสีเขียวเข้มบนตัวส่องแสงเจิดจ้า
เมื่องูยักษ์เปิดปากสีเลือด หยดพิษสีน้ำเงินก็ไหลออกมาจากปากของมัน
งูยักษ์เหยียดร่างอันใหญ่โตของมันออกไป และมันก็ใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของหมู่บ้าน
พลังอสูรอันทรงพลังแผ่กระจายไปทั่ว
เมื่อเห็นฉากนี้ คนแคระที่อยู่ข้างๆก็รีบเตือน: "ราชางู ระวังอย่าได้ทำลายหมู่บ้านเชียว"
ชายร่างใหญ่หันศีรษะเล็กน้อย ในขณะนี้ ดวงตาของเขากลายเป็นสามเหลี่ยมกลับหัวซึ่งดูแปลกเป็นอย่างมาก
เมื่อมองดูมังกรเงาที่ชนเข้ากับมัน งูยักษ์ก็คำราม และร่างอันมหึมาของมันก็รัดหุ้มมังกรเงาไว้โดยตรง
ขณะที่บีบรัด เสียง “ปัง” ก็ดังขึ้น จากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นผุยผง
หลังจากทำลายมังกรเงาแล้ว งูยักษ์ก็หันหัวและจ้องมองไปที่ เต๋าซุน ด้วยดวงตาที่มืดมน
ร่างใหญ่ของมันเลื้อยลงมาบนพื้นอย่างแผ่วเบา และรอยแตกจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนพื้น
“เจ้าหนู เจ้าต้องชดใช้ความผิดของเจ้า” ชายร่างใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ในขณะนี้ ดวงตาของเขากลายเป็นเลือดเย็น มันดูไร้ซึ่งร่องรอยของอารมณ์ใดๆ
เมื่อมองไปยังร่างของงูตัวใหญ่ เต๋าซุนก็ส่ายหัวเล็กน้อย "เจ้าตัวเขียวนี่น่ากลัวไม่น้อย"
ในตอนนี้ พลังแห่งการกำเนิดรอบตัวเขาเพิ่มสูงขึ้น และพื้นที่ด้านหลังเขาก็พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ภายใต้พลังนั้น
หมอกสีขาวเริ่มสลายไป และมีดาวเคราะห์สีน้ำเงินปรากฏขึ้นข้างหลังเขา
ทันทีที่ดาวเคราะห์ดวงนี้ปรากฏขึ้น เสียงแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ก็ดังขึ้นในนั้น และจังหวะแห่งเต๋าก็ดังก้องไปทั่วโลก
ดูเหมือนว่าทุกสิ่งในโลกใบนี้กำลังเข้าสู่การพัฒนา และความว่างเปล่าและความเจริญรุ่งเรืองทั้งหมดก็ปกคลุมไปทั่วโลกสีฟ้า
ดาวเคราะห์สีน้ำเงินหมุนโคจร และเข้าโจมตีงูยักษ์สีเขียวด้วยพลังที่หาที่ได้เปรียบ
ดาวเคราะห์สีน้ำเงินยังไม่สะทกสะท้าน มีเพียงงูยักษ์เท่านั้นที่ไม่กล้าขัดขืนอีกต่อไป มันนอนขดอยู่บนพื้นด้วยร่างที่สั่นสะท้าน
พลังแห่งการกำเนิดแทรกซึมอยู่ในความว่างเปล่า และเสียงแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ก็เป็นเหมือนบทกลอนอันแสนหวานที่ก้องอยู่ในใจของทุกคน
โลกนี้เพิ่งโคจรไปได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น แต่พลังอันไร้ขอบเขตนี้ก็ได้บดขยี้งูยักษ์และทำลายล้างมันจนหมดสิ้นแล้ว
ชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้างๆจ้องมองด้วยความหวาดกลัว เขารู้สึกเหมือนร่างกายของเขาถูกผนึกไว้และแรงกดดันนี้ก็เกือบจะทำลายทั้งร่างกายของเขา
เมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของคนทั้งสี่ที่ดูตื่นเต้นก็เปลี่ยนไปอย่างมากในเวลาเดียวกัน
ชายชราก้าวไปข้างหน้า ผ่านชั้นความว่างเปล่า เขาก็เข้ามาที่ด้านข้างของชายร่างใหญ่ และพาตัวชายร่างใหญ่ออกจากตรงนี้
แต่เมื่อเขาเพิ่งโผล่ออกมาจากมิติ พลังอันไร้ขอบเขตก็ตกมาใส่เขาในเวลาเดียวกัน และร่างกายของเขาก็ถูกผนึกและกักขังไว้ เขาไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย
“เกิดอะไรขึ้น” ชายชราพูดด้วยใบหน้าซีดเซียวและเสียงที่สั่นเทา
“จับมือกันไว้ รับมือกับสิ่งนี้ก่อน” ทั้งสามคนที่อยู่ข้างๆก็ร้องออกมาอย่างรวดเร็ว
เต๋าซุนหรี่ตาเล็กน้อย โบกมือแล้วดาวเคราะห์สีน้ำเงินก็หายไป และพลังอันกว้างใหญ่ก็ค่อยๆหายไป
ชายร่างใหญ่เบื้องล่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก เหงื่อบนหน้าผากของเขาดูเหมือนกับเพิ่งโดนฝนตกหนักตกใส่ เขานั่งลงบนพื้นและหายใจยาวเข้าออก
สัมผัสของพลังเมื่อครู่นั้นเกือบทำให้เขาหายใจไม่ออก มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่ได้สัมผัสมาแล้วเป็นเวลาหลายปีตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ระดับ 7
แต่ตอนนี้ เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับมันอีกครั้ง มันกลับมาจากนักรบหนุ่มที่อยู่เพียงระดับ 6 ….
“พลังแก่นชีวิตนี้คืออะไรกัน?” เขากลืนน้ำลายด้วยความกลัว
เมื่อเห็นเต๋าซุนก้าวมาข้างหน้า ชายชราและชายร่างใหญ่ก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและพูดว่า "ขอบคุณสำหรับความเมตตาของเจ้า"
“ที่นี่คือที่ไหน” เต๋าซุน หรี่ตาลงแล้วถาม
“ที่นี่คือโลกมิติใบเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ในมิติว่างเปล่าอันไม่มีที่สิ้นสุด” ชายร่างใหญ่ตอบอย่างรวดเร็ว
“โลกมิติใบเล็กรึ?” เต๋าซุน รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ในมิติที่ปั่นป่วนก่อนหน้านี้ ขณะที่เขากำลังเดินทางอยู่เขาก็ถูกขัดจังหวะระหว่างทาง หลังจากออกมา เขาคิดว่าจะปรากฏตัวที่ไหนสักแห่งในทวีปตะวันออกเสียอีก
โดยบังเอิญ ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาโผล่ในโลกมิติใบเล็กแห่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในมิติว่างเปล่าไม่มีสิ้นสุด
ต้องรู้ก่อนว่าตัวตนที่สามารถเดินทางเข้าออกโลกมิติอื่นได้นั้นจะต้องเป็นตัวตนที่เข้าสู่เส้นทางแห่งเต๋าหรือเส้นทางอมตะแล้วเท่านั้น
ด้วยความเข้าใจบางอย่าง เต๋าซุนก็ได้รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของคนทั้งห้าคนนี้
ชายร่างใหญ่เรียกว่าราชางู คนตัวเตี้ยเรียกว่าราชาสุนัข ชายร่างสูงเรียกว่าราชากวาง ผู้หญิงเรียกว่าราชาจิ้งจอก และชายชราเรียกว่าราชาเสือ
“พวกเจ้าห้าคนมาอยู่ที่นี่ได้ไง” เต๋าซุนถาม
“เราทุกคนเป็นผู้ฝึกฝนสันโดษจากทวีปกลาง แต่เรานั้นเบื่อกับการใช้ชีวิตต่อสู้แล้ว แต่เมื่อค้นพบโลกมิติใบเล็กนี้เข้าโดยบังเอิญพอดี พวกเราจึงตัดสินใจมาอาศัยอยู่ที่นี่ซะ” ราชาเสือชราตอบ
“ทำไมถึงไม่พูดความจริง” เต๋าซุนยิ้ม เขาคว้าคอของชายชราแล้วพูดอย่าเย็นขา“ข้าใจดีเกินไปรึ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเต๋าซุน ราชาสุนัขแคระที่อยู่ด้านข้างก็ยิ้มอย่างรวดเร็วและพูดว่า: "บอกแล้วๆ ใจเย็นก่อนนายท่าน อย่าโกรธกันเลย เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องโกหกท่าน"
“พวกเจ้าไม่มีทางเลือก” เต๋าซุนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
-
ในประวัติศาสตร์อันปั่นป่วนของทวีป A จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่มักจะเป็นผู้ที่รุ่งโรจน์ที่สุด
ตำแหน่งนี้ดูเหมือนจะมีพลังอันยิ่งใหญ่และเป็นเหมือนผู้อยู่จุดสูงสุด
แต่สิ่งของและผู้คนในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน
มีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่เชื่อเรื่องโชคชะตาและสนุกไปกับการต่อต้านสวรรค์อยู่เสมอ
นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับจักรพรรดิชิงเทียน
ในสมัยนั้นที่เขาแบกรับชะตากรรม ในฤดูใบไม้ร่วงที่มีฝนตกหนัก
เมื่อจักรพรรดิชิงเทียนตะโกนขึ้นบนฟ้าว่า "ข้าจะอยู่ยงคงกระพันในโลกนี้" ทุกสิ่งในตอนนั้นก็ถือเป็นการประกาศการสิ้นสุดยุคสมัย
แต่ดาบอมตะเจียงหยุนนั้นถือกำเนิดขึ้นในช่วงปลายยุคนั้นแล้ว
เขามีชะตากรรมที่น่าสงสาร
ด้วยจิตใจและพรสวรรค์ของเขา เดิมทีเขาเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการแบกรับชะตากรรม
น่าเสียดายที่เขาเกิดช้าไปเล็กน้อย หลังจากไม่ถึงห้าสิบปีหลังจากที่เขาเกิด การแข่งขันแย่งชิงโชคชะตาก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
โชคชะตาไม่ได้ให้โอกาสเขาเตรียมตัว เขาอยู่เพีบงระดับ 7 เท่านั้นในและไม่มีคุณสมบัติพอจะเข้าแย่งชิงโชคชะตา
ผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกตอนนั้นจึงกลายเป็นจักรพรรดิชิงเทียนไปโดยปริยาย
ทุกคนในโลกรู้สึกเสียใจกับเขา และทุกคนคิดว่าเขาคงจะปิดผนึกตัวเองและเตรียมพร้อมสำหรับการแย่งชิงชะตากรรมในยุคต่อไป
แต่น่าเสียดายที่การตัดสินใจของเขานั้นอยู่เหนือเกินความคาดหมายของทุกคน
เขาเลือกที่จะเดินบนเส้นทางอมตะ !
เขาละทิ้งเส้นที่นำไปสู่เต๋า
“เส้นทางอมตะอ่อนแอกว่าเส้นทางแห่งเต๋าจริงรึ?”
เขาหยิบดาบยาวของเขาและก้าวเท้าขึ้นไปบนสวรรค์ พยายามที่จะหาคำตอบให้กับคำถามในใจของเขา
จักรพรรดิชิงเทียนแบกชะตากรรมได้เป็นเวลาเจ็ดร้อยปี และในที่สุดเขาก็ไปถึงจุดสูงสุดของขั้นที่ห้าบนเส้นทางแห่งเต๋า
ถ้าเขาต้องการก้าวไปอีกขั้นหนึ่งและเปิดประตูชีพจรเส้นที่ 10 เขาจะต้องก้าวเข้าสู่โลกเบื้องบนเท่านั้น
ในวันที่เขากำลังจะก้าวขึ้นสู่สวรรค์อันเป็นโลกเบื้องบน เจียงหยุนก็ได้รอเขาอยู่ที่ทางขึ้นพร้อมกับดาบยาวในมือ
การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่เป็นอย่างยิ่ง
ในประวัติศาสตร์ของทวีป A นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าต่อสู้กับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ และแม้จะผ่านไปเป็นเวลาสามวันสามคืนแล้ว เขาก็ยังไม่ได้มีท่าทีว่าจะแพ้แต่อย่างใด
และการต่อสู้ครั้งนั้นก็จบลงด้วยการเสมอกัน
แม้แต่จักรพรรดิชิงเทียนก็ยังต้องถอนหายใจออกมาก่อนตัดสินใจก้าวขึ้นสู่โลกเบื้องบน
“ถ้าในเมื่อโลกนี้มีนักดาบเช่นนี้อยู่ เหตุใดข้าจึงได้เกิดมาเป็นผู้แบกรับโชคชะตากัน?”
ในช่วงเวลาหนึ่ง ชื่อของนักดาบอมตะก็ดังก้องไปทั่วทวีป A และชื่อเสียงของเขาก็ถูกจารึกไว้บนทวีปทั้งห้า