ตอนที่ 22 ข้อมูลของยาทะลวงขอบเขต
ตอนที่ 22 ข้อมูลของยาทะลวงขอบเขต
“จี้เตี๋ยเอ๋ยจี้เตี๋ย เจ้าไม่ควรละโมบ ควรทราบว่าอู๋ฮั่นฝึกฝนมาแล้วถึงเจ็ดปีก็ยังติดอยู่ที่การกลั่นลมปราณขั้นที่สอง หันมองตนเองจะพบว่าเจ้าโชคดีมากแล้ว”
เพียงชั่วพริบตา นับตั้งแต่วันที่ไปเยือนศาลาปราณสมบัติก็ล่วงเลยมาแล้วถึงสองวัน
จี้เตี๋ยนอนเอกเขนกภายในสวนขณะเงยหน้ามองขึ้นฟ้าที่กระจ่างใสพลางปลอบโยนตนเอง
สองวันที่ผ่านมา ด้วยความไม่ยินยอมท้อถอย เขาพยายามทะลวงข้ามการกลั่นลมปราณขั้นที่ห้าอยู่หลายครั้ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือความล้มเหลวเสียทุกครั้ง
ท้ายที่สุดจี้เตี๋ยจึงยอมรับความจริงและเตรียมปล่อยให้มันเป็นเรื่องราวของกลไกธรรมชาติ เป็นเหตุให้ตอนนี้เขาได้มีเวลามานอนอาบแสงแดดสุขสบายเช่นที่เป็นอยู่
ทั้งที่ปัจจุบันเป็นช่วงเดือนสิบสองแล้ว แต่ท้องฟ้ายังคงแสดงสีครามอันงดงามออกมา
อาจเป็นเพราะสำนักเจ็ดลึกล้ำตั้งอยู่ค่อนมาทางทิศใต้ ทำให้แทบไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นหิมะตกเกิดขึ้น
จนกระทั่งช่วงกลางวันจึงมีชายคนหนึ่งปรากฏตัวในพื้นที่โรงนา พร้อมกับสั่งเรียกรวมศิษย์ทุกคนมากันพร้อมหน้า
“ผู้ใดทราบบ้างว่าเฮ่อซงหายไปที่ใด?!”
ตอนนี้เองที่จี้เตี๋ยได้ตระหนักทราบตัวตนของอีกฝ่าย ชายตรงหน้าสมควรเป็นเจ้าของหมาป่าเหมันต์ที่เฮ่อซงรับผิดชอบดูแล แน่นอนว่าเขาไม่คิดเผยพิรุธใดออกมา
“ไม่ทราบขอรับ คิดว่าเมื่อวานก็ไม่พบเห็นเขาเช่นกันขอรับ” ศิษย์คนหนึ่งตอบกลับ
“มันกลับมาเมื่อใดข้าจะสั่งสอนบทเรียนครั้งนี้ให้จดจำ ส่วนเจ้าช่วยดูแลแทนมันสักสองวันก็แล้วกัน” อีกฝ่ายไม่คิดมากความจึงชี้นิ้วใส่ศิษย์คนที่เอ่ยตอบ พร้อมขอให้ช่วยดูแลสัตว์อสูรของตนเองก่อนจะจากไปทั้งแบบนั้น
ภายหลังชายคนดังกล่าวกลับไปแล้ว กลุ่มศิษย์เริ่มตั้งวงสนทนากันภายในโรงนา พวกเขากำลังคาดเดาว่าเฮ่อซงหายไปที่ใด
จี้เตี๋ยไม่คิดเข้าไปมีส่วนร่วมจึงเตรียมกลับ แต่แล้วทันใดนี้เองที่ได้พบเห็นสตรีในชุดสีแดงเพลิงปรากฏในโรงนา
“ศิษย์พี่หญิงเจียง” จี้เตี๋ยหยุดเท้าขณะทำความเคารพ ขณะเดียวกันก็ได้ตระหนักว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าค่อนข้างซีดคล้ายอารมณ์ไม่ดี ภายหลังพยักหน้าตอบแล้ว นางจึงเดินเข้าไปยังคอกที่ใช้เลี้ยงนาคาวารีทมิฬ
จี้เตี๋ยตามไปพร้อมได้พบว่านาคาวารีทมิฬได้รับบาดเจ็บ หางของมันมีคราบเลือด ถึงขนาดทำเอาเขานึกสงสัยว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น
เจียงโม่หลีไม่คิดบอกเล่าหรืออธิบาย ขณะนางหันกายเตรียมกลับ ทันใดนี้เองที่ร่างนั้นเริ่มซวนเซ
“ศิษย์พี่หญิงเจียง เป็นอะไรหรือไม่ขอรับ?” จี้เตี๋ยเร่งร้อนเข้าไปช่วยพยุงเอาไว้
ความอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมจากกายที่อยู่ระยะใกล้เคียงแค่ช่วงแขน มันเป็นกลิ่นหอมขนาดทำจมูกของเข้าลุ่มหลงประหนึ่งกลิ่นกล้วยไม้หลังฝนพราย
และก็นับว่าเป็นครั้งแรกที่จี้เตี๋ยเคยได้ใกล้ชิดกับสตรี โดยเฉพาะกับสตรีรูปโฉมงดงาม เขาตระหนักได้ถึงหัวใจของตนเองที่เต้นรัวจนไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูด
“ไม่เป็นไร ปล่อยข้า” เจียงโม่หลีพยายามสะบัดตัวออก
ที่นางเดินทางออกจากสำนักครั้งนี้ ก็เพราะค้นพบตำแหน่งที่อยู่ของเห็ดหลินจืออายุนับพันปีจึงต้องการไปเก็บ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนอีกหลากหลายคน
แม้ว่าท้ายที่สุดจะสังหารคู่แข่งสำเร็จ แต่นางเองก็ได้รับบาดเจ็บ และเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูเรียกกำลังเสริม นางจึงอดกลั้นทนต่อความเจ็บปวดรีบเดินทางกลับมายังสำนักจนมีสภาพอ่อนล้า
เจียงโม่หลีหอบหายใจค่อนข้างรัวเร็ว นางไม่ได้หันกลับมองจี้เตี๋ย แต่กำลังอดกลั้นต่อความเจ็บปวดและเตรียมกลับ เพียงแต่ภายหลังเดินได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องซวนเซอีกครั้ง
“ศิษย์พี่หญิงเจียง ท่านได้รับบาดเจ็บ ให้ข้าช่วยพาท่านกลับดีกว่า” จี้เตี๋ยเร่งร้อนเข้ามาช่วยประคองพร้อมแสดงท่าทีกังวลห่วงหา
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าช่วยไปดูว่าศาลาปราณสมบัติมียามุ่งอำพันขายหรือไม่…” เจียงโม่หลีตอบกลับอย่างอ่อนแรง
“ยามุ่งอำพัน… ขอรับ… ขอสักประเดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา”
จี้เตี๋ยชะงักงันไปชั่วครู่ ถัดจากนั้นจึงรีบวิ่งออกจากโรงนาเพื่อไปยังสถานที่ที่อู๋ฮั่นเพิ่งพาตนเองไปเมื่อวันก่อน และเมื่อเข้าไปแล้วเขาจึงสำรวจมองรอบด้าน จนกระทั่งได้พบว่าไม่มียามุ่งอำพัน
จี้เตี๋ยขมวดคิ้วและลังเล สุดท้ายจึงวิ่งต่อไปยังยอดเขาโอสถ
แต่ยามไปถึงยอดเขาโอสถ เขาเกิดนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่เคยมาที่นี่ และไม่ทราบด้วยว่าจะซื้อยาได้จากที่ใด
“ต้องการซื้อยาหรือ? ข้าพอมีอยู่บ้าง และวางใจได้ พวกนี้ของแท้แน่นอน!” ตอนนี้เองที่ศิษย์ร่างสูงปานกลางคนหนึ่งก้าวเดินเข้ามา กระทั่งเผยสายตาทอประกายประหนึ่งพบเจอเหยื่อ
“มียามุ่งอำพันหรือไม่?” จี้เตี๋ยสำรวจมองอีกฝ่ายก่อนจะตัดสินใจลองถามดู
“มีสิ มากับข้า” อีกฝ่ายตบหน้าอกตอบรับอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ
ภายหลังจี้เตี๋ยครุ่นคิดไปสักพัก เขาจึงเดินตามอีกฝ่ายไปยังลานกว้างภายในยอดเขาโอสถ ที่แห่งนี้ค่อนข้างคึกคัก มันเปรียบเสมือนตลาดที่มีศิษย์มากมายตะโกนขายหยูกยาของตนเองกันอย่างเอิกเกริก
อีกฝ่ายที่นำทางให้พามาจนถึงซุ้มร้านแห่งหนึ่ง “เจ้าของร้านนี้เป็นมิตรสหายข้าเอง เขาทั้งจริงใจและเชื่อถือได้ ส่วนราคาของยามุ่งอำพันนั้นอยู่ที่สามสิบศิลาวิญญาณต่อเม็ด!”
“สามสิบศิลาวิญญาณ!” เพียงได้ยินราคา จี้เตี๋ยถึงขั้นต้องกล้ำกลืนความเจ็บปวด สุดท้ายจึงนำศิลาวิญญาณออกมาจากถุงมิติ
เขาไม่ทราบว่าเจียงโม่หลีได้รับบาดเจ็บหนักเพียงใด แต่ก็คาดเดาได้ว่ายามุ่งอำพันสมควรใช้เพื่อทำการรักษา ดังนั้นภายหลังพิจารณาอยู่พักหนึ่ง เขาจึงตัดสินใจยอมจ่ายให้ก่อน ภายหลังนำไปส่งมอบจึงค่อยเรียกเก็บจากเจ้าตัวอีกครั้งหนึ่ง
“ครั้งหน้าหากต้องการซื้ออะไรก็มาหากันได้ ข้ามีนามว่าต้วนคุน” อีกฝ่ายรับศิลาวิญญาณไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ถัดจากนั้นจึงส่งขวดหยกที่เพิ่งรับมาจากเจ้าของร้านอีกทีหนึ่ง
“นี่คือยามุ่งอำพัน…” จี้เตี๋ยไม่ทราบว่ายามุ่งอำพันมีรูปลักษณ์เป็นอย่างไร เขาจึงเทออกมาเพื่อสำรวจ สิ่งที่ได้เห็นมีเพียงแค่เม็ดยาสีดำสนิท นอกเหนือจากนั้นก็ไม่เห็นอะไรอื่น ขณะกำลังจะเดินกลับนั้นเอง เขาตัดสินใจหันไปสอบถาม
“มียาทะลวงขอบเขตหรือไม่?”
“ยาทะลวงขอบเขต? ข้าไม่มียาดังกล่าว แต่พอทราบข้อมูลเรื่องยาทะลวงขอบเขตอยู่บ้าง จ่ายให้ข้าสักห้าศิลาวิญญาณแล้วจะพาเจ้าไปรับรู้” ต้วนคุนเผยดวงตาเป็นประกาย
“เพียงแค่ข้อมูลถึงขั้นคิดราคาเป็นศิลาวิญญาณห้าก้อนเลยงั้นหรือ?!” จี้เตี๋ยเผยสีหน้าดำมืด เขาหันกลับเตรียมจากไปโดยไม่คิดสนใจอีก
“จุ๊ ๆ ไม่เอาน่า พลาดข่าวคราวนี้ไปแล้วเจ้าจะเสียใจ หากเป็นสถานการณ์ปกติเจ้าไม่มีทางหาซื้อยาทะลวงขอบเขตได้อยู่แล้ว ต่อให้ไปศาลาปราณสมบัติก็ไม่มี แต่ข้าทราบมาว่าค่ำคืนนี้จะมีการแลกเปลี่ยนส่วนตัวเกิดขึ้น และที่นั่นก็มียาทะลวงขอบเขตอยู่ด้วย หากเจ้าอยากได้ก็ต้องเอาดอกยี่หุบม่วงสี่ใบมาแลก”
“หากว่าสนใจ เช่นนั้นค่ำคืนนี้ข้าจะรอที่เดิมก็แล้วกัน”
“ไว้ข้ามาพบอีกครั้งช่วงเย็นวันนี้” ได้ทราบว่ามีเบาะแส จี้เตี๋ยจึงทิ้งคำเอาไว้ก่อนจะเร่งรีบเดินทางกลับไปยังโรงนา
เพียงแต่พอกลับมาถึงคอกสัตว์ เขากลับได้พบว่าเจียงโม่หลีจากไปแล้ว
จี้เตี๋ยชะงักไปชั่วครู่ สุดท้ายจึงไปถามอู๋ฮั่น จนตอนนี้ค่อยแน่ใจว่าเจียงโม่หลีกลับไปแล้วจริง
“ศิษย์พี่จี้ ศิษย์พี่หญิงเจียงฝากข้าบอกกล่าวท่านตอนกลับมา ว่าไม่จำเป็นต้องซื้อยาดังกล่าวแต่ประการใด…”
“บ้าไปแล้ว… ศิลาวิญญาณสามสิบก้อนของข้า…” จี้เตี๋ยรู้สึกประหนึ่งถูกฟ้าผ่าเข้ากลางศีรษะ กระทั่งสบถก่นด่าอีกฝ่ายอยู่ภายใน
ทั้งที่เขาเป็นห่วงถึงอาการบาดเจ็บที่นางเผชิญ ไฉนกลับตอบแทนกันเช่นนี้?!
อู๋ฮั่นที่ไม่ทราบเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลัง ยามพบเห็นสีหน้าโกรธแค้นของคู่สนทนาจึงเกิดความสับสน
จี้เตี๋ยเองก็ไม่คิดอธิบาย เขาเพียงเดินกลับไปบ้านด้วยศีรษะก้มคอตก สายตามองยังขวดหยกในมือด้วยสีหน้าขื่นขม
“แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ายานี่ใช้รักษาโรคอะไร…”
เนื่องจากตัวเขาไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยา เดิมคิดว่ามันจะช่วยเจียงโม่หลีใช้รักษาอาการบาดเจ็บที่เผชิญ ดังนั้นจึงยอมควักกระเป๋าตนเองจ่ายไปก่อน ผลลัพธ์กลับกลายเป็นนางกล่าวว่าไม่ต้องการเสียได้
แต่หากว่าย้อนกลับไปและเผชิญสถานการณ์เช่นเดิม เขาก็คงเลือกเดินทางเดิมอยู่ดี…
จี้เตี๋ยถอนหายใจขณะนั่งลงกับที่นอน สุดท้ายจึงทบทวนเรื่องที่ต้วนคุนกล่าวบอก
“งานแลกเปลี่ยนเป็นการส่วนตัว ที่นั่นมียาทะลวงขอบเขตขาย แต่ไม่รู้เลยว่าดอกยี่หุบม่วงที่เอ่ยถึงนั่นหน้าตาเป็นยังไง ไม่รู้ด้วยว่าศาลาปราณสมบัติมีขายหรือเปล่า แต่ถึงมีเราก็คงจ่ายไม่ไหวอยู่ดี!”
ดวงตาของจี้เตี๋ยเกิดประกาย เขาเกิดนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองก็มีสมุนไพรวิญญาณอยู่ไม่น้อย พวกมันเหล่านี้ได้รับสืบต่อมาจากจางเฟิง เพียงแค่ไม่ทราบว่ามันจะมีดอกยี่หุบม่วงอยู่หรือไม่
หากว่ามี ถ้าอย่างนั้นเรื่องยาทะลวงขอบเขตก็ถือว่าลุล่วง
คิดได้ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจไปเยือนศาลาปราณสมบัติอีกครั้งเพื่อตรวจสอบ ว่าดอกยี่หุบม่วงมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ผ่านไปราวสิบห้านาที
จี้เตี๋ยมาหยุดยืนตรงหน้าชั้นขณะจ้องมองป้ายหมายเลขตรงหน้า
“ดอกยี่หุบม่วงจะเติบโตปรากฏใบหนึ่งใบในทุกห้าปี จำนวนใบสูงสุดที่สามารถปรากฏได้คือสี่ใบ เพียงแต่มีคนจำนวนน้อยนิดที่สามารถเข้าถึงดอกยี่หุบม่วงสี่ใบได้ กล่าวได้ว่าเป็นของหาได้ยาก ราคาสี่สิบสองศิลาวิญญาณ…”
โอสถวิญญาณที่มีขายมีเพียงแค่สามใบ และราคานั้นสูงถึงสี่สิบศิลาวิญญาณ
“เหมือนเคยเห็นเจ้านี่ในถุงมิติมาก่อน…”
จี้เตี๋ยมองยังแผ่นป้ายที่ระบุคำชี้แจง และตำแหน่งที่สูงไปราวหนึ่งจ้างคือภาพดอกไม้สีม่วงอันโดดเด่น มันแบ่งออกเป็นสามกิ่งก้านโดยมีใบรายล้อมเอาไว้ และตอนนี้เองที่ดวงตาของเขาต้องทอประกายเจิดจ้า!