ตอนที่ 21 รู้จักยาทะลวงขอบเขต
ตอนที่ 21 รู้จักยาทะลวงขอบเขต
ยามได้ยินเสียงอันคุ้นเคย จี้เตี๋ยหันกลับไปมอง โค้งกายให้ ถัดจากนั้นจึงยิ้มแย้มเป็นการขออภัย “คารวะศิษย์พี่หญิงเจียงขอรับ”
เจียงโม่หลีสำรวจมองด้วยท่าทีไม่เป็นมิตร เจ้างูดำที่ราวกับได้ผู้สนับสนุน มันจึงแลบลิ้นออกมาพร้อมใช้สายตาค่อนแคะประหนึ่งมนุษย์ไม่มีผิดเพี้ยน
‘เจ้างูเดนตายรู้จักแต่หยิบยืมอำนาจผู้อื่น รอก่อนเถอะ ศิษย์พี่หญิงเจียงไม่อยู่เมื่อไหร่จะได้เห็นดีกันแน่’
แม้ใจของจี้เตี๋ยคิดเช่นนั้น แต่เขาก็ยังคงหันไปยิ้มแย้มพูดคุย “ศิษย์พี่หญิงเจียง ตามกฎที่กำหนดเอาไว้ข้าจะต้องมาทำความสะอาดทุกเจ็ดวัน เพียงแต่มันไม่ให้ความร่วมมือ ทำให้ข้าไม่อาจทำงานให้ลุล่วงได้!”
เจียงโม่หลีเดินเข้ามาด้านในคอก แตะสัมผัสกับศีรษะของนาคาวารีทมิฬแล้วจึงกล่าว “มันมักอาศัยอยู่ใกล้บึงน้ำ ดังนั้นจึงไม่ชอบน้ำ ทำให้ไม่ชอบการอาบน้ำตามไปด้วย เจ้าไม่ศึกษาธรรมชาติของมันแต่กำลังจะบีบบังคับให้อาบน้ำ ไม่แปลกหากมันจะคลุ้มคลั่ง”
จี้เตี๋ยชะงักไปครู่หนึ่ง ตอนนี้เองที่เพิ่งได้ตระหนักว่าทำไมก่อนหน้านี้เจ้างูดำถึงได้มีพฤติกรรมรุนแรง
“นับจากนี้อาบน้ำให้มันทุกหนึ่งเดือน ข้าจะช่วยให้มันไม่ต่อต้านเจ้าเหมือนเช่นที่เคยเป็นด้วย” เจียงโม่หลีนั่งยองขณะปลดโซ่ตรวนออกจากหางของงูดำ
ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อให้คำชี้แนะแก่จี้เตี๋ยแต่ประการใด
“ขอรับ” ในเมื่อเป็นเรื่องดี จี้เตี๋ยก็ไม่คิดปฏิเสธ ยามนี้พบเห็นนางกำลังจะปล่อยงูดำเป็นอิสระ เขาจึงสงสัยว่านางคิดทำอะไร
เพียงแต่ไม่ช้าเขาก็ทราบคำตอบ
“เข้ามา!” ภายหลังเจียงโม่หลีปลดโซ่พันธนาการงูดำ นางจึงนำถุงผ้าไหมใบน้อยออกมาพร้อมส่งเสียงเรียก งูดำตัวใหญ่ยักษ์กลับกลายเป็นธารแสงไหลเข้าสู่ถุงใบน้อยไป
“ถุงมิติถึงขั้นใช้เก็บสิ่งมีชีวิตได้ด้วยหรือนี่” จี้เตี๋ยที่รับชมอยู่เกิดรู้สึกนึกทึ่ง
เจียงโม่หลีลุกขึ้นยืนอีกครั้ง สุดท้ายจึงหันศีรษะกลับมามองและอธิบาย “นี่ไม่ใช่ถุงมิติธรรมดา แต่เป็นถุงฟ้าดินระดับสูง มันสามารถใช้เก็บสัตว์อสูรที่ทำสัญญากับผู้ฝึกตนได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเก็บเอาไว้ได้นานมากมาย”
“ข้าจะออกไปนอกสำนักสักระยะหนึ่ง ดังนั้นช่วงนี้เจ้าจึงไม่จำเป็นต้องช่วยดูแลนาคาวารีทมิฬให้ข้าเป็นการชั่วคราว”
“ถุงฟ้าดิน…” จี้เตี๋ยชะงักไปชั่วครู่ ถัดจากนั้นจึงประสานหมัดกับฝ่ามือตอบรับ “ขอศิษย์พี่หญิงเจียงเดินทางโดยสวัสดิภาพขอรับ”
เจียงโม่หลีพยักหน้ารับ สุดท้ายจึงหันกลับคิดเดินออกไปจากคอกและโรงนา
“ศิษย์พี่หญิงเจียง ขอข้าสอบถามสักประการได้หรือไม่ขอรับ?” จี้เตี๋ยที่ลังเลมาพักหนึ่ง ขณะนี้ตัดสินใจเรียกนางเอาไว้
เจียงโม่หลีหยุด เพียงแต่ไม่ได้หันกลับมา
“มีเรื่องราวใด”
“ท่านทราบ…” จี้เตี๋ยเริ่มบอกเล่าสถานการณ์ที่เผชิญออกมา
“เจ้ากำลังประสบสภาวะตีบตัน” เจียงโม่หลีหันกลับมาและมองยังเด็กหนุ่ม
“ตีบตันหรือขอรับ?” จี้เตี๋ยเกิดความสงสัย
“สำหรับกลั่นลมปราณขอบเขตที่หนึ่ง กลั่นลมปราณขั้นที่สอง ห้า และเจ็ด การทะลวงทั้งสามขั้นดังกล่าวถือว่ามีความยากยิ่งกว่าขั้นอื่นใด”
“ข้าได้เห็นว่าเจ้าสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่จุดสูงสุดแล้ว ดังนั้นหากคิดอยากทะลวงไปต่อ หากว่าไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นก็คงต้องใช้เวลาอีกสักหลายปี” เจียงโม่หลีตอบกลับมา
“หลายปี…” จี้เตี๋ยชะงัก ข่าวดีคือมันไม่ใช่อาการที่จะคงอยู่ไปตลอด อย่างน้อยก็ไม่ใช่ว่าชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่มีหนทางก้าวหน้า
แต่ข่าวร้ายคือมันต้องใช้เวลาทะลวงถึงหลายปี!
“มีหนทางใดที่สามารถช่วยให้ข้าทะลวงก่อนกำหนดนั้นหรือไม่ขอรับ?”
“ยาทะลวงขอบเขต! ภายหลังกินเข้าไป ผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่สี่จะสามารถข้ามผ่านอาการตีบตันสู่ขั้นที่ห้าได้…” เจียงโม่หลีเดินห่างออกไปแล้ว เพียงแต่เสียงยังคงดังมาให้ได้ยิน
“ขอบพระคุณศิษย์พี่หญิงเจียงขอรับ” จี้เตี๋ยมองตามแผ่นหลังก่อนจะโค้งกายให้ด้วยความนอบน้อมจากก้นบึ้ง สุดท้ายจึงค่อยเงยหน้าขึ้น
ในเมื่อไม่มีเจ้างูดำให้ดูแล หลายวันถัดจากนี้ของเขาก็จะมีแต่เวลาว่างส่วนตัวแล้ว
“กลั่นลมปราณขั้นที่สอง ห้า และเจ็ด คือสามขั้นที่ทะลวงได้ยาก…” จี้เตี๋ยครุ่นคิดเรื่องที่เพิ่งได้รับฟัง ตอนนี้เองที่เขาได้ตระหนักถึงวิธีการมากมายที่ใช้ยามข้ามผ่านให้พ้นจากขั้นที่หนึ่ง
“นึกสงสัยว่าอู๋ฮั่นจะรู้สถานที่ซื้อยาหรือไม่ บางทีอาจจะสามารถซื้อยาทะลวงขอบเขตได้ แต่ก็คงต้องจ่ายด้วยศิลาวิญญาณมากมาย”
กล่าวถึงอีกฝ่าย เพียงเขาออกมาจากโรงนาก็ได้พบอู๋ฮั่น
จี้เตี๋ยไม่ได้ถามเรื่องยาทะลวงขอบเขตโดยตรง แต่เลือกถามอ้อมถึงสถานที่จำหน่ายยาภายในสำนักเจ็ดลึกล้ำ
“ศิษย์พี่จี้อยากซื้อยาหรือขอรับ? ยอดเขาสรรพสัตว์ของเรามีศาลาปราณสมบัติอยู่ ที่นั่นมีสารพัดยาและอาวุธวิเศษให้เลือกซื้อ ศิษย์พี่จี้อยากไปรับชมหรือขอรับ?!” อู๋ฮั่นแสดงท่าทีกระตือรือร้นยินดีออกมา
“ถ้าอย่างนั้นนำทางข้าไปหน่อย ได้เวลาช่วยข้าเปิดหูเปิดตาแล้ว” จี้เตี๋ยหัวเราะตอบ ปัจจุบันภายในถุงมิติของเขามีศิลาวิญญาณกว่าสามสิบก้อนจากชายหน้าม้า ก่อนหน้านี้ยังนึกสงสัยอยู่พอดีว่าจะนำไปซื้อสิ่งใดดี
“ศิษย์พี่จี้เกรงใจกันเกินไปขอรับ”
อู๋ฮั่นเร่งรีบรับคำก่อนจะนำทางให้
โรงนาสำหรับใช้เลี้ยงสัตว์อสูรอยู่บริเวณทิศตะวันตกของยอดเขาสรรพสัตว์ และทางฝั่งตะวันตกนี้ยังมีศาลาและสิ่งปลูกสร้างมากมาย พวกมันคืออีกสถานที่ซึ่งศิษย์ของยอดเขาสรรพสัตว์สามารถใช้เพื่อฝึกตนได้
นับตั้งแต่จี้เตี๋ยมาเยือนสำนักเจ็ดลึกล้ำเมื่อครึ่งเดือนก่อน เขาเพิ่งเคยออกมาจากพื้นที่โรงนาเป็นครั้งแรก ระหว่างทางจึงได้พบศิษย์มากมาย พวกเขาต่างก็สวมใส่เครื่องแบบสีเขียวของสำนัก บางคนก็เป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณระดับกลาง กระทั่งว่ามีผู้ที่ประสบความสำเร็จสูงส่งกว่านั้น
การเดินสำรวจครั้งนี้จึงยิ่งทำให้เขาเข้าใจสำนักเจ็ดลึกล้ำมากยิ่งขึ้น
“ศิษย์พี่จี้ ท่านต้องการซื้อยาประเภทใดหรือขอรับ?” อู๋ฮั่นที่มีแรงกายแรงใจเปี่ยมล้นเอ่ยถาม
“ตอนนี้คงแค่มาเดินดูสำรวจสิ่งแปลกใหม่ไปก่อน บางทีข้าอาจซื้อไม่ไหวก็เป็นได้” จี้เตี๋ยหัวเราะตอบขณะเร่งเดินทางสู่ศาลาปราณสมบัติที่ถูกกล่าวถึง
จากภายนอก ศาลาปราณสมบัติถูกแบ่งออกเป็นสองชั้น มันทั้งโอ่โถงและยิ่งใหญ่ บริเวณประตูจะมีศิษย์มากมายวนเวียนเดินเข้าออก
ส่วนภายในนั้นเป็นเสมือนตลาดขนาดย่อม สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดคือชั้นไม้ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นหลายพื้นที่ ชั้นไม้บางส่วนเต็มไปด้วยขวดหยก ขณะที่บางส่วนเต็มไปด้วยวัตถุดิบโอสถ แน่นอนว่ายังมีพวกคัมภีร์รวมอยู่ด้วย
“ทั้งสองฝั่งต่างก็มีคัมภีร์ปรุงยาทั้งชนิดเม็ดและน้ำ หากว่าต้องการซื้อตัวยาเลยนั้น เชิญศิษย์พี่จี้ทางด้านนี้ขอรับ” อู๋ฮั่นเคยมาที่นี่แล้วหลายครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้ซื้อหายาอะไรกลับไป แต่เขาก็คุ้นเคยกับสถานที่จนสามารถนำทางให้จี้เตี๋ยได้
จี้เตี๋ยเดินต่อมายังบริเวณที่ถูกเอ่ยถึง ก่อนจะพบว่าบนชั้นคือขวดทรงเรียวสีขาววางเรียงราย และข้างขวดจะมีตัวเลขกำกับเอาไว้
“ยาเสริมวิญญาณ สามารถทำให้ผู้สำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่หนึ่งจุดสูงสุดผ่านพ้นอาการตีบตันสู่ขั้นที่สองได้ ราคายี่สิบศิลาวิญญาณ แพงไม่ใช่น้อยเลย” จี้เตี๋ยมองไปยังป้ายที่กำกับเอาไว้ข้างขวด มันแสดงถึงสรรพคุณและราคาเอาไว้อย่างครบถ้วน และแน่นอนว่าราคาของมันทำให้เขาต้องลอบประหลาดใจ
“วางของเอาไว้เด่นเช่นนี้ไม่กลัวใครบุกมาขโมยเอาไปหรือยังไง?”
“ทั้งหมดนี้เป็นแค่ของตัวอย่างขอรับ หาได้มีตัวยาจริงไม่ ดังนั้นจึงไม่ได้มีค่าอะไร นอกจากนี้ที่นี่ก็มีคนเฝ้าตรวจตราอยู่ หากว่ามีใครกล้าลักขโมยของในศาลาปราณสมบัติเข้าละก็…” อู๋ฮั่นเผยน้ำเสียงชวนขนหัวลุกออกมา
“ก็พอเข้าใจ” จี้เตี๋ยตระหนักทราบ สุดท้ายจึงเริ่มเดินเตร่สำรวจมอง จนได้พบว่ายาที่ราคาต่ำที่สุดคือหลักสิบศิลาวิญญาณ ขณะที่สูงที่สุดนั้นมูลค่าหลายร้อยศิลาวิญญาณ
สรรพคุณของพวกมันก็มีหลากหลาย ทั้งช่วยเร่งการฝึกตน ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บ ช่วยสงบจิตใจและอื่น ๆ อีกมากมาย เพียงแต่เขาไม่คล้ายจะพบเห็นยาทะลวงขอบเขตที่เจียงโม่หลีกล่าวถึง
“ที่ที่ข้าจะซื้อหายาได้มีแค่ที่นี่หรือ?” จี้เตี๋ยไม่อาจเชื่อว่าเจียงโม่หลีจะหลอกลวงตนเอง เขาจึงคาดเดาว่ายาดังกล่าวอาจมีความล้ำค่าหรือหาได้ยาก ทำให้ศาลาปราณสมบัติอาจไม่มีเก็บไว้เพื่อจำหน่าย
“ที่นี่ไม่มียาที่ศิษย์พี่จี้ต้องการหรือขอรับ? ถ้าอย่างนั้นคงต้องไปยอดเขาโอสถ ที่นั่นมีนักปรุงยาอยู่มากมาย ยาบางประเภทก็จำเป็นต้องซื้อขายเป็นการส่วนตัวขอรับ” อู๋ฮั่นตอบ
“ยอดเขาโอสถ…”
ยอดเขาโอสถอยู่ทางฝั่งตะวันออกของยอดเขาสรรพสัตว์ สายตาของจี้เตี๋ยเกิดการวูบไหวพลางครุ่นคิด ว่ายาดังกล่าวน่าจะมีมูลค่าสูง ต่อให้มียาทะลวงขอบเขตขายก็คงจ่ายไม่ไหว ดังนั้นจึงยอมละทิ้งความคิดไปก่อนเป็นการชั่วคราว
อันที่จริงเขาสามารถขายผลยกวิญญาณได้ เพียงแต่มันมีความเสี่ยงที่อาจตามมา
“กลับกันดีกว่า” จี้เตี๋ยคิดกลับไปตั้งหลักหาทางคลี่คลายปัญหาให้ได้เสียก่อน