บทที่ 44 การฉายภาพ (2)
[แฟนเพจBamแปลNiyay:ลงแบบราคาถูกโคตรในmy-novel(ลงช้ากว่าThai-novel100ตอน)กับthai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นนอกจากสองเว็บนี้คือไม่ใช่ผมนะ ถ้าเจอคนอ่านก็อปดันเยอะกว่าก็ท้อเป็นนะครับ]
[ถ้าอ่านฟรีแบบเถื่อนไม่ว่าจะได้มายังไงนั้น ผมไม่ว่าเลยครับ และต่อให้ไม่มีคนอ่าน ผมก็ยังจะแปลต่อจนจบด้วย แต่ถ้าจะจ่ายเงินให้เว็บหรือคนที่copyไปขายอีกที คุณโคตรแย่เลยครับ]
[หลังแปลจบจะมีการแก้คำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น ดังนั้นถ้าคุณอ่านแบบเถื่อน ก็เชิญเลยครับ เพราะมันไม่มีอัพเดทให้หรอก]
บทที่ 44 การฉายภาพ (2)
ภายในมิติว่างเปล่า คังวูจินลูบคางของเขาขณะที่เขามองไปยังสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีขาวของ ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’
“นอกเหนือจากเรื่องที่มันเป็นระดับ D ทำไมอัตราการอ่านสำเร็จถึงต่ำจังนะ?”
เท่าที่เขาคิดออก มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้มีอัตราการอ่านสำเร็จต่ำ
“เป็นเพราะบทพูดสินะ”
ตอนที่ได้บทไม่กี่หน้ามาตอนเขาพบมิติว่างเปล่าเป็นครั้งแรก เขาคิดว่าสาเหตุที่มันมีอัตราการอ่านสมบูรณ์ต่ำ เพราะมันมีเพียงไม่กี่หน้าเท่านั้น แต่ว่าบทภาพยนตร์ของผู้กำกับควอนกีแท็กตรงกันข้ามเลย เรื่องนี้จึงทำให้คังวูจินรู้สึกสับสนเล็กน้อย
"นี่มันอะไรกัน? หรือว่ามันยังไม่เสร็จเหรอ?”
คังวูจินที่กำลังพึมพำกับตัวเอง สั่นศีรษะ ไม่น่าเป็นไปได้สิที่การคัดเลือกนักแสดงจะเริ่มขึ้นก่อนบทเสร็จสมบูรณ์ แม้ว่าคังวูจินจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับวงการบันเทิง แต่เขาก็เคยศึกษาอยู่บ้างในยามว่าง
‘การคัดเลือกนักแสดงจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางของการเตรียมงานก่อนการผลิตไม่ใช่เหรอ?’
อันที่จริง นักแสดงส่วนใหญ่ตัดสินใจแสดงหลังจากอ่านบทภาพยนตร์ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วเท่านั้น บางทีก็อาจจะใช้เส้นสายด้วย แต่มันก็ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก ซึ่งอย่าลืมสิว่าการทำภาพยนตร์มันคือธุรกิจ ธุรกิจก็คือธุรกิจ ทำเป็นเล่นไม่ได้เด็ดขาด
นอกจากนั้น
‘ผู้กำกับคนนั้นไม่ได้บอกเหรอว่าเขาส่งบทให้กับนักแสดงคนอื่นไปแล้ว?’
ผู้กำกับควอนกีแท็กบอกว่าเขาได้ส่งบทให้กับนักแสดงบางคนไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็สันนิษฐานได้ว่าบทภาพยนตร์ ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’ นี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่มิติว่างเปล่ากลับให้คะแนนว่ามีอัตราการอ่านสมบูรณ์ต่ำ แถมระดับก็แย่ด้วย
‘ดูเหมือนว่าตอนนี้จะเป็นช่วงเวลาที่เขากำลังหานักแสดงสินะ แต่ฉันก็แทบจะไม่เป็นที่รู้จักเลย งั้นพวกเขาคงจะให้แค่บทบาทเล็ก ๆ ใช่ไหม? สงสัยเพราะฉันแสดงได้ดีล่ะมั้ง ฉันเลยได้โอกาสนี้มา แต่ถึงแม้เขาจะเป็นสุดยอดผู้กำกับก็เถอะ แต่การที่มันได้ระดับแค่ D ออกจะดูน่าสงสัยอยู่แฮะ’
คังวูจินอยู่ในอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผู้กำกับชื่อดังอย่างควอนกีแท็กได้มาติดต่อคนไร้ชื่อเสียงอย่างเขาเองโดยตรง คังวูจินรู้สึกประทับใจในความจริงใจของอีกฝ่ายพอสมควร
แต่ถ้าทั้งอัตราการอ่านมันแย่และมีระดับต่ำแบบนี้...
แม้แต่ผลงานของผู้กำกับวูฮยอนกู ก็ยังมีอัตราการเสร็จสมบูรณ์ที่สูงกว่า แม้ว่าจะเป็นระดับ F ก็เถอะ...คังวูจินคิดโดยกำลังโน้มเอียงไปทางปฏิเสธ อืม เอาไว้ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน
-ควับ
เมื่อจัดการความคิดตัวเองเรียบร้อยแล้ว คังวูจินก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและโฟกัสไปที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าสีขาว
- [3/บทภาพยนตร์ (ชื่อเรื่อง: เกาะแห่งผู้สูญหาย) ระดับ D]
ชื่อเรื่องคือ ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’ มันดูไม่เหมือนเป็นเรื่องราวที่ธรรมดาเลย คังวูจินเองก็ไม่ได้ชื่นชอบเนื้อหาเรื่องประเภทนี้มากนัก เรื่องนี้มันเป็นแนวระทึกขวัญหรือแอ็คชั่นกันนะ? ในไม่ช้า คังวูจินก็เลือกสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีขาวและเลื่อนผ่านบทบาทที่เขาสามารถอ่านได้
“ร้อยโท กัปตัน สิบโท-”
มีคำที่เกี่ยวข้องกับทหารอยู่ในบทบาท นี่มันหนังสงครามเหรอ? ไม่รู้เลยแฮะ แต่ใช่ว่าหนังทุกเรื่องที่มีทหารจะเป็นหนังสงครามเสียหน่อย แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่ชัด...
“มันต้องมีการยิงปืนหรือฆ่าฟันอยู่ในนั้นใช่ไหม?”
เขารู้สึกเหมือนว่ามันจะต้องมีการยิงปืนอย่างดุเดือดหรืออย่างน้อยก็เป็นการต่อสู้ที่รุนแรงแน่ ถ้าคังวูจินอ่านบทเรื่องนี้ เขาอาจจะถูกโยนลงไปกลางสมรภูมิอันดุเดือด คังวูจินแอบกลัวอยู่นิดหน่อย
คงไม่เป็นแบบนั้นหรอกใช่ไหม?
เขาเคยเห็นปืนในกองทัพอยู่บ่อย ๆ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ของแปลกใหม่ แต่เขายังไม่เคยสัมผัสกับสงครามหรือการต่อสู้ที่นองเลือดมาก่อน มันอาจจะแตกต่างจากตอนฝึกทหารมากพอสมควร
"ถึงมันจะเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ก็เถอะ แต่ฉันไม่จำเป็นต้องรับเล่นหนังเรื่องนี้ก็ได้นิ"
คังวูจินได้เตรียมพร้อมสำหรับบทบาทใหม่ ๆ ที่เขาอาจจะได้รับในอนาคตไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงนึกเช่นนี้ขึ้นมาในใจโดยไม่นึกเสียดาย
“แต่บทที่มีการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์หรือภัยพิบัติเนี่ยนะ ออกจะสุดโต่งเกินไปหน่อยไหม?”
คังวูจินที่กำลังปล่อยตัวไปกับจินตนาการของตัวเอง เกาหัวเบา ๆ และตัดสินใจที่จะออกจากมิติว่างเปล่าไปก่อน
"ออก"
เขาพึมพำกับมิติว่างเปล่า ภาพที่มืดมิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นห้องประชุมทันที ผู้กำกับควอนกีแท็กผู้มีอัธยาศัยไมตรียังคงยืนอยู่ตรงหน้าเขา จากนั้นผู้กำกับก็พูดว่า
"คุณคังวูจินครับ?"
เขาเอียงศีรษะมองไปที่คังวูจิน
“มีอะไรหรือเปล่า? คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”
เมื่อถูกถาม คังวูจินก็รีบทำหน้านิ่งเฉยตอบกลับไป
“ครับ ผมไม่เป็นไร”
“โล่งอก ผมเป็นห่วงนะครับ เห็นคุณหยุดนิ่งไปทันทีหลังจากได้บทภาพยนตร์ ผมคิดว่าคุณไม่ชอบมันซะอีก”
อ่า จริงสินะ เพราะความต่างของเวลาเมื่อเข้ามิติว่างเปล่ามันเลยดูเหมือนผมชะงักไป แต่ที่จริงแล้ว คังวูจินก็ไม่ชอบบทภาพยนตร์นี้เลย
ทว่า
‘ฉันต้องไหลไปก่อน’
ขนาดพูดตรงไปตรงมากับผู้กำกับวูฮยอนกูยังยากเลย แล้วผู้กำกับชื่อดังอย่างผู้กำกับควอนกีแท็กที่อยู่ตรงหน้าเขายังถึงขั้นมาหาเขาด้วยตัวเอง ดังนั้นอย่างน้อยเขาก็ต้องสุภาพเข้าไว้ก่อน
ทุกคนตอนนี้นั่งอยู่ที่โต๊ะรูปตัว 'ᄃ'
ผู้กำกับควอนกีแท็กและทีมงานบริษัทภาพยนตร์นั่งเคียงข้างกัน โดยมีคังวูจินและซีอีโอชเวซองกุนอยู่ตรงข้ามกัน ทันทีที่คังวูจินนั่งลง เขาก็เปิดหน้าแรกของบทภาพยนตร์เรื่อง 'เกาะแห่งผู้สูญหาย’ นี่ไม่ได้เป็นการเสแสร้ง เขาอยากรู้อยากเห็นเรื่องจริง ๆ
เขาคิดว่าเขาอาจจะเจอเหตุผลที่อัตราการเสร็จสมบูรณ์ต่ำขณะที่เขากำลังอ่านมันก็ได้
ในขณะนั้นเอง ผู้กำกับควอนกีแท็กที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร
“ลองอ่านผ่าน ๆ เพื่อดูบทได้เลยครับ จะได้รู้ว่าคุณชอบแนวทางของมันหรือเปล่า”
ซีอีโอชเวซองกุน ผู้กำลังสังเกตการณ์บรรยากาศภายในห้องประชุมก็เข้าร่วมการสนทนาด้วย
“ผู้กำกับครับ ถ้าคุณคังวูจินชอบบทนี้ เราสามารถคุยเรื่องต่อไปได้เลยไหมครับ?”
ผู้กำกับควอนกีแท็กก็ตอบกลับมาด้วยท่าทางเห็นด้วยทันที
"ได้อยู่แล้วครับ ทางผมเองก็เชื่อว่าความสามารถในการแสดงคือสิ่งสำคัญที่สุด ประเด็นปัญหาต่าง ๆ กับผู้กำกับวูฮยอนกูผมไม่ได้สนใจเลย ผมน่ะสนใจในตัวคุณคังวูจินอยู่แล้ว ไม่งั้นผมคงไม่ได้ไปที่กองถ่ายบ่อยขนาดนั้นหรอกครับ”
ซีอีโอชเวซองกุนแอบดีใจจนแทบอยากจะตะโกนออกมา แต่ยังคงวางท่าไว้ จากนั้นเองสายตาของผู้กำกับควอนกีแท็กก็จับจ้องไปที่คังวูจินผู้เย่อหยิ่ง
“แต่ว่านักแสดงจะต้องชอบบรรยากาศของบทก่อน เราถึงจะคุยกันเรื่องขั้นต่อไปได้นะครับ”
ชั่วขณะหนึ่ง
-พับ พับ
สายตาของทุกคน ตั้งแต่ผู้กำกับควอนกีแท็กไปจนถึงซีอีโอชเวซองกุนและทีมงานบริษัทภาพยนตร์ ต่างก็จับจ้องไปที่คังวูจิน คังวูจินกำลังก้มหน้านิ่ง ๆ อ่านบท หน้าหนึ่ง หน้าสอง เขาพลิกบทไปสิบกว่าหน้าแล้ว
สีหน้าเคร่งขรึมของเขาดูจริงจังมากในสายตาของทุกคน
ณ จุดนี้เอง ผู้กำกับควอนกีแท็กที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเขาก็หัวเราะด้วยความสนใจ
'ไม่ว่าใครจะอยู่ตรงหน้าเขาหรือสถานการณ์จะเป็นยังไง เขาdHทำในสิ่งที่เขาต้องทำโดยไม่หวั่นไหวเลย บางทีเขาอาจจะมีคำตอบอยู่ในใจแต่แรกแล้วสินะ’
ซึ่งที่จริงในตอนนี้ คังวูจินกลับรู้สึกสับสนมากขึ้น ถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกมาก็เถอะ
'ฉันไม่รู้เลย ไม่เข้าใจจริง ๆ ยิ่งดูยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงยังไม่สมบูรณ์ ตรงไหนที่มันผิดพลาดกัน?'
เขาไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนไหนที่ยังไม่สมบูรณ์? 'เกาะแห่งผู้สูญหาย' ที่คังวูจินกำลังอ่านอยู่นั้นไม่มีข้อผิดพลาดที่เห็นได้ชัดเจนเลย มันไม่มีปัญหาใด ๆ สักนิด ทำให้คังวูจินได้แต่ลอบถอนหายใจ
'เอาเถอะ แค่การอ่านอย่างเดียวคงไม่เข้าใจหรอก'
เขาอ่านบทและบทภาพยนตร์มามากมาย แต่ยังไม่ถึงขั้นวิเคราะห์มันได้ แต่เขาก็รู้สึกอึดอัดที่จะปล่อยมันผ่านไปเฉย ๆ
'ไม่รู้สิ งั้นลองถามดูดีกว่า'
คังวูจินที่กำลังนั่งอ่านบทภาพยนตร์อย่างใจเย็นเงยหน้าขึ้นมา ผู้กำกับควอนกีแท็กและทีมงานของบริษัทภาพยนตร์ยังคงมองมาที่คังวูจิน ท่ามกลางสายตาของพวกเขา คังวูจินเอ่ยถามผู้กำกับควอนกีแท็กด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย
"ผู้กำกับ ผมขอนะโทษ แต่ว่า...”
“ครับ พูดต่อสิ พูดอะไรก็ได้ตามสบายเลย”
“นี่คือบทภาพยนตร์สำหรับผลงานเรื่องต่อไปของคุณจริง ๆ เหรอครับ?”
ในขณะเดียวกัน ดวงตาของทีมงานบริษัทภาพยนตร์เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย มีแววความสนใจปรากฏบนใบหน้าของผู้กำกับควอนกีแท็ก
“ผมขออนุญาตถามได้ไหมครับว่าทำไมคุณถึงถามอย่างนั้น?”
“มันแปลกไปนิดหน่อยครับ มันดูสมบูรณ์แบบ แต่ผมก็รู้สึกเหมือนมันยังไม่สมบูรณ์”
“....รู้สึกไม่สมบูรณ์?”
“ผมขอโทษด้วยครับ ก็คุณบอกให้พูดมาตามตรง”
คังวูจินรีบเอ่ยขอโทษอย่างสุภาพ สร้างเสียงซุบซิบกันในหมู่ทีมงานบริษัทภาพยนตร์ แน่นอนว่า ซีอีโอชเวซองกุนก็มองมาที่คังวูจินที่อยู่ข้าง ๆ เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตกใจ
ในขณะเดียวกัน
“คุณตัดสินแบบนั้นแค่จากการอ่านบทไม่กี่หน้า? แถมยังอาศัยแค่ความรู้สึกงั้นเหรอครับ?”
ผู้กำกับควอนกีแท็กพูดอย่างใจเย็น ในยามนี้ คังวูจินตึงเครียดขึ้นพอสมควร เขาทำพลาดหรือเปล่า? แต่ถึงจะคิดเช่นนั้น สีหน้าของเขายังคงมุ่งมั่นเช่นเดิม
“ผมขอโทษด้วยครับ”
ณ ตอนนี้เอง
“ฮ่าฮ่า ของจริงเหรอเนี่ย? ช่างน่าประทับใจจริง ๆ เลยแฮะ”
ทันใดนั้นผู้กํากับควอนกีแทกก็ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมา
“พูดตามตรง ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่PDซงมันวูพูดนั้นจะเป็นความจริงไม่มีผิด”
“…หา?”
“แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่คาดคิดว่าสัญชาตญาณในการรับรู้ผลงานนั้นจะปรากฏเช่นนี้ หลังจากอ่านบทไปแค่สิบหน้าเท่านั้น”
อะไรเนี่ย? ตาแก่คนนี้กําลังพูดอะไรอยู่? คังวูจินคิดในใจตัวเอง จากนั้นรอยยิ้มของผู้กำกับควอนกีแท็กก็ยิ่งกว้างขึ้น
“ถึงมันอาจจะดูเหมือนเรื่องล้อเล่นไปหน่อย แต่ใช่ครับ มันเป็นบทที่ยังไม่เสร็จ”
จากนั้น เขาก็โบกมือเรียกพนักงานบริษัทภาพยนตร์คนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ เขา พนักงานก็หยิบเอกสารอีกชุดหนึ่งจากด้านล่าง ทางผู้กำกับควอนกีแท็กจึงส่งมันให้กับคังวูจิน
“กรุณาอ่านอันนี้ด้วยครับ”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
คังวูจินและซีอีโอชเวซองกุนไม่ได้อยู่ในห้องประชุมอีกต่อไป แต่ผู้กำกับควอนกีแท็กและพนักงานบริษัทภาพยนตร์ยังคงอยู่ที่นั่น ณ จุดนั้นเอง PD ฝ่ายผลิตที่กำลังเก็บข้าวของก็เอ่ยถามผู้กำกับควอนกีแท็กที่กำลังดูบทอย่างละเอียด
"ผู้กำกับครับ ขออนุญาตถามได้ไหมครับว่าทำไมคุณถึงให้บทฉบับแรกกับคังวูจิน ทำไมถึงไม่เอาฉบับสมบูรณ์ให้เขาเลย?”
"อืม?”
“อะไรคือเหตุผลที่ต้องทดสอบแบบนั้นดว้ยครับ…”
ผู้กำกับควอนกีแท็กที่สบตากับ PD ก็มองกลับลงไปที่บทอีกครั้ง มันคือ ‘บทที่ยังไม่เสร็จ’ ที่คังวูจินได้กล่าวถึง
“พอดีผมไม่คิดจะคัดตัวนักแสดงน่ะ”
“——อะไรนะครับ??”
"คังวูจินไง ผมวางแผนให้เขาเข้าร่วมการแสดงโดยไม่ต้องผ่านการคัดเลือก ซึ่งเขาจะต้องขอบทแบบสมบูรณ์จากผมก่อน"
ทันใดนั้น พนักงานบริษัทภาพยนตร์ทุกคนต่างก็อึ้งไปหมด แววตาของพวกเขาทั้งหมดดูเหมือนกัน ผู้กำกับชั้นแนวหน้าที่มีนักแสดงระดับท็อปถึงขั้นพูดแบบนี้ออกมาเลยเหรอ?
คนที่ประหลาดใจที่สุดคือ PD ฝ่ายผลิต
“ถึงเขาจะมองเรื่องบทออก เขาก็ยังเป็นแค่นักแสดงที่ยังไม่มีผลงานสร้างชื่อเสียงอะไรเลยนะครับ ผมไม่ได้สงสัยฝีมือของเขาหรอกนะ…แต่ว่าอย่างน้อยก็ควรจะทดสอบดูสักหน่อยไหมครับว่าเขาเหมาะกับบทบาทนี้หรือเปล่า?”
“เรื่องพวกนี้ถูกนำมาพิจารณาไปหมดแล้วในการทดสอบก่อนหน้านี้”
“อะไรนะครับ หมายความว่ายังไงครับ?”
ตรงนี้เอง ผู้กำกับควอนกีแท็กไขว้แขนและคิดถึงภาพคังวูจินที่เฉยเมย ซึ่งเขาได้เห็นก่อนหน้านี้
“เขาดูเหมือนจะไม่พอใจสักนิดเดียว”
"หมายความว่าไงครับ?"
“ลองคิดดูสิ โนเนมที่เพิ่งจะมีผลงานแค่สองเรื่อง แต่กลับวางท่าเฉยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ได้ ทั้งยังสนใจแค่บทตรงหน้าเขามากกว่าผม ไม่มีคำเยินยออะไรทั้งสิ้น แต่พูดถึงปัญหาในบทอย่างชัดเจน”
"นั่นเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจจริง ๆ ถึงแม้จะเป็นบทฉบับแรก แต่นักแสดงทั่วไปก็คงไม่รู้หรอกว่ามันไม่สมบูรณ์”
“แถมพอพิจารณาจากทักษะภาษาอังกฤษของเขา ชัดเจนเลยว่าเขาเคยอยู่ต่างประเทศมาก่อน และเขาก็พูดว่าเขาเรียนรู้การแสดงด้วยตัวเองมาเป็นเวลานาน จริง ๆ ผมยังไม่ค่อยเชื่อว่าเขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ถ้ามันเป็นความจริง เขาก็คงได้ผ่านบทละครและบทภาพยนตร์มากมายมหาศาลเป็นแน่”
"ครับ..."
"ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่พัฒนาความรู้สึกที่เฉียบคมขนาดนี้ขึ้นมาได้ ผมเข้าใจสิ่งที่PDซงมันวูพูดแล้วล่ะ ถึงเรื่องความสามารถการแสดงที่ไม่เหมือนใครของเขา ผมรู้สึกสนใจมากเลย ทั้งในด้านการแสดงและตัวตนของเขา”
PD ฝ่ายผลิตที่กำลังมองดูผู้กำกับควอนกีแท็กหัวเราะ ก็เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัยต่อ
“แล้วบทบาทไหนที่คุณกำลังพิจารณาให้กับคังวูจินเหรอครับ? บทบาทสมทบถูกวางตัวไว้หมดแล้วนะครับ หรือคุณจะเอาบทบาทพวกสมทบรองกับบทบาทเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เขาเหรอครับ?”
จากนั้นเอง ผู้กำกับควอนกีแท็กก็ลุกขึ้นยิ้มและส่ายหัวตอบไป
"ไม่ ผมเพิ่งเปลี่ยนใจเมื่อครู่นี้เอง"
เขาตอบโดยไม่สนใจอะไรนัก
“ผมคิดว่าจะมอบบทบาทนำให้เขาน่ะ”
ทว่าคำพูดนี้ได้ทำให้ PD ฝ่ายผลิตและพนักงานบริษัทภาพยนตร์รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งกับคําตอบ
".......อะไรนะครับ?!! บทนำ…บทบาทนำ! ผู้กำกับ! ถ้าเป็นบทบาทนำแล้วจะเป็นตัวละครไหนกันครับ!!”
ผู้กำกับควอนกีแท็กไม่สนใจคนที่กำลังตื่นตระหนก เขาเพียงลูบคางของตนอย่างใจเย็น
“ตัวร้ายไงล่ะ”
สองสามวันต่อมา ในตอนเช้าตรู่ ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงโซล
หญิงสาวหน้าตาสะสวยเพิ่งเดินออกจากหอพัก เธอสวมหมวกบนผมยาวประบ่าสีน้ำตาล และสูงประมาณ 168 เซนติเมตร เสื้อแจ็คเก็ตเบสบอลที่เธอสวมใส่นั้นก็ดูเข้ากับเธอดี
เธอหยุดเดินและโทรศัพท์ไปที่ไหนสักแห่ง
“······เวร”
อย่างไรก็ตาม ปลายสายไม่รับสาย ทำให้หญิงสาวสบถชื่ออีกฝ่ายออกมา
“เจ้าบ้าคังวูจิน”
จู่ ๆ ชื่อของคังวูจินก็โผล่มา ทำไมน่ะเหรอ? เพราะเธอเป็นน้องสาวของคังวูจิน คังฮยอนอา
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์กันนะ?”
คังฮยอนอาบ่นเบา ๆ พวกเขามักจะโทรคุยกันแค่ปีละไม่กี่ครั้ง คังวูจินและคังฮยอนอาใช้ชีวิตเหมือนดั่งคำที่ว่า ‘ไม่มีข่าวร้าย = ข่าวดี’ ก็เลยไม่ค่อยได้ติดต่อกันนัก แต่เพราะแม่ของเธอขอร้องมา เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องโทรไปหาตามคำขอของแม่เธอ ทำให้ คังฮยอนอาได้เริ่มเดินอีกครั้งและโทรหาแม่ของเธอ
แม่ของเธอรับสายทันที
“อ้าว ว่าไง พี่ชายแกว่ายังไงบ้าง?”
“เขาไม่รับสายค่ะ แม่โทรไปหาเขาก็ได้นิ เขาไม่รับสายแม่เลยเหรอ??”
แม่ก็ตอบไปว่า “แต่ว่าพวกแกน่าจะสนิทกันมากกว่าฉันอีกนะ?”
“สนิทบ้าอะไรเล่าแม่ พวกเราทะเลาะกันตลอดเวลาเลยนะ ว่าแต่ไอ้หมอนี้เรียนการแสดงจริง ๆ เหรอ?”
“ไอ้หมอนี้เหรอ นั่นพี่ชายแกนะ? แกอยากให้ฉันตัดเงินค่าขนมใช่ไหม?”
“…แต่แม่แน่ใจเหรอว่าเขาบอกว่าอยากเป็นนักแสดงน่ะ คุณแม่?”
“เขาบอกอย่างนั้น”
คังฮยอนอาได้หยุดเดินอีกครั้ง หัวเราะด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“เขาคงจะเพี้ยนไปแล้วแน่ ตอนอายุ 27 ยังอยากจะมาเป็นนักแสดงอีกเนี่ยนะ… แม่ ทำไมไม่ห้ามเขาไว้ล่ะ? นี่ก็ผ่านไปเป็นเดือนแล้วนะ”
“แกคิดว่าจะห้ามเขาไม่ให้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำได้เหรอ?”
“ไม่ได้นะ! แม่! การแสดงมันเป็นเรื่องยากมากนะแม่รู้ไหม? มันมีนักแสดงหน้าใหม่เข้าเป็นเด็กฝึกก่อนที่พวกเขาจะอายุ 20 ด้วยซ้ำ ถึงขนาดเข้าวงการไว พวกเขาก็ยังมักจะด้วยความล้มเหลวเลย! มันก็เหมือนกับไอดอลนั่นแหละ มันเหมือนพยายามทำลายชีวิตตัวเองอยู่ไม่มีผิด”
“…. งั้นแกก็ติดต่อเขาไปแล้วก็เช็คดูหน่อยสิ เข้าใจไหม? แม่กำลังขับรถอยู่ งั้นแม่วางสายก่อนนะ”
“อ้าว แม่!”
-ติ๊ด
พอจบการสนทนา คังฮยอนอาก็สั่นหัวพลางคิดถึงการกระทำที่แสนบ้าบอของพี่ชาย
“เขาเพี้ยนไปแล้วแน่เลย จู่ ๆ ก็อยากจะมาเป็นนักแสดงเนี่ยนะ”
ทันใดนั้นเอง
“คังฮยอนอา!”
มีคนเรียกชื่อคังฮยอนอาจากด้านหลัง เมื่อหันกลับมา เธอเห็นเพื่อนร่วมชั้นจากสาขาเดียวกันกำลังเดินเข้ามาหา พวกเธอล้วนเป็นผู้หญิง ทั้งนี้ทั้งนั้น คังฮยอนอากำลังศึกษาอยู่ที่สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย
หลังจากนั้นเอง…
“เธอคุยอะไรกับตัวเองอยู่คนเดียว? นักแสดงอะไรเหรอ?”
เมื่อเพื่อนของเธอถาม คังฮยอนอาก็ถอนหายใจยาว ๆ
“-อ๋อ เปล่าหรอก คือพี่ชายฉันเขาบอกว่าอยากเป็นนักแสดง”
“หา? จริงดิ? คังฮยอนอา เธอมีน้องชายเหรอ?”
"เปล่า พี่ชายต่างหาก”
"ว้าว! เธอมีพี่ชายเหรอ? เขาหล่อไหม? เอาภาพมาดูหน่อยสิ”
“เธอจะบ้าเหรอ? ฉันจะเก็บรูปเขาไว้ในโทรศัพท์ทำไม?”
“งั้นรูปโปรไฟล์ใน KakaoTalk ของเขาล่ะ!”
เพื่อน ๆ ของเธอกระตือรือร้นขึ้นมาทันที ถ้าเขาอยากเป็นนักแสดงก็ต้องหน้าตาดีใช่ไหม? มีอะไรให้ต้องคิดอีก น่าเสียดายที่โปรไฟล์ KakaoTalk ของคังวูจินว่างเปล่า เพื่อน ๆ ของเธอจึงขอให้เช็ค SNS ของเขา แต่คังฮยอนอาก็ตอบกลับไปอย่างเหนื่อยหน่าย
"เขาไม่ได้ใช้ SNS"
“ฉันอยากรู้อะ! พี่ชายเธอหน้าตาเป็นยังไง?”
“เขาก็หน้าตาคล้ายคนในครอบครัวแหละ”
หลังจากตอบไปอย่างไม่ใส่ใจ คังฮยอนอาก็ส่งข้อความไปหาคังวูจิน
-พี่แค่ล้อเล่นเกี่ยวกับการอยากเป็นนักแสดงใช่ไหม?
เรื่องตลกก็คือ คังวูจินที่แม้แต่สายเธอก็ยังไม่รับ กลับตอบข้อความค่อนข้างเร็ว
-ไอ้พี่บ้า: เออ ใช่ มันเป็นแค่เรื่องล้อเล่น
-อะไรเนี่ย! แม่โทรมาหาฉันตลอดเพราะเรื่องนี้เลยนะ ทําไมพี่ถึงต้องมาล้อเล่นอะไรแบบนี้ด้วย?
-ไอ้พี่บ้า: เอาน่า เดี๋ยวฉันจะจัดการเอง
เมื่อเห็นคําตอบของเขา คังฮยอนอาก็ได้แต่เดาะลิ้นของเธอ
“จิ๊ ดูเหมือนว่าเขาแค่ล้อเล่นเรื่องจะไปเป็นนักแสดงน่ะ”
พวกเธอยังคงพูดคุยเรื่องนี้กับคังฮยอนอาจนกระทั่งถึงห้องเรียน บทสนทนาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เรื่องพี่ชายของเธอไปจนถึงนักแสดง จากนักแสดงไปจนถึงนักแสดงชายที่หน้าตาดีที่สุด
ตอนนี้พวกเขากำลังคุยกันเรื่องละครที่มีพระเอกหน้าตาดี
“เธอเห็นรายการละครใหม่ประจำเดือนพฤษภาคไหม?”
“เห็นสิ! ฉันอยากดูเรื่องที่มีโกมานวูคแสดงอะ ละครช่อง MBS น่ะ”
“มาเมื่อไหร่เหรอ เดือนพฤษภาคไหม? รายการละครเยอะไปหมดเลย ฉันอยากดูช่อง TVM มากกว่า ละครช่องนั้นดูท่าทางจะสนุกมากเลยนะ”
“สำหรับฉันให้อันดับสองนะ เรื่องของควักโซราต่างหากที่เป็นอันดับหนึ่งของฉัน”
“แต่เน็ตฟลิกซ์ฉายเรื่องที่เธอแสดงไม่ครบทุกเรื่องใช่ไหม? แย่เนอะ ถ้าไม่ครบคงต้องไปหาดูทางอื่นแล้ว”
“เรื่องของช่อง TVM ไม่ได้ฉายในแพลตฟอร์มออนไลน์แยกต่างหากหรอกเหรอ?”
ในตอนนั้นเอง คังฮยอนอาที่เพิ่งส่งข้อความไปหาคังวูจินก็ร้องอุทานขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“อ้าว พวกเธอคุยอะไรกันอยู่เนี่ย? ฉันต้องรอดูรยูจองมินสิ เขาหล่อสุด ๆ ไปเลยนะ!”
ขณะนั้นเอง คังวูจินอยู่ในรถตู้โดยสารระหว่างทางไปกองถ่ายทีม-B ของ 'ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล' เขาเพิ่งตอบข้อความของน้องสาวเสร็จ คังวูจินตอนนี้...
“······”
กำลังอ่านบทด้วยสีหน้าจริงจัง
-พึบ พึบ
แน่นอนว่ามันคือบทของ 'เกาะแห่งผู้สูญหาย’ ของผู้กำกับควอนกีแท็ก บทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบฉบับจริง ไม่ใช่ฉบับที่ยังไม่สมบูรณ์ ถึงแม้จะยุ่งอยู่กับการถ่ายทำ เขาก็ยังอ่านมันทุกครั้งที่มีเวลา ตอนนี้เขาอ่านบทภาพยนตร์ไปแล้ว 70% ดูเหมือนมันจะน่าสนใจทีเดียว ไม่เลวเลยจริง ๆ แม้จะมองไม่ออกจากใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขา แต่ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมมากมาย
'โอ้ ว้าว นี่มันอะไรกันเนี่ย? สัตว์ประหลาดเหรอ? แถมมีเอเลี่ยนปรากฏตัวอีก? ชวนระทึกใจสุด ๆ ’
พอชมถึงจุดนี้ คังวูจินก็นึกถึงระดับที่เปลี่ยนใหม่ของ ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’ ที่เขาเห็นในมิติว่างเปล่า
- [3/บทภาพยนตร์ (ชื่อเรื่อง: เกาะแห่งผู้สูญหาย) ระดับ A+]
- [* นี่เป็นบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์อย่างมากสามารถอ่านได้ 100%]
มันถูกอัปเกรดจาก D เป็น A+
‘พอได้เห็นแบบนี้ มันก็ดูต่างไปจากเดิมจริง ๆ นะ จะพูดว่ายังไงดี? มันให้อารมณ์ที่ต่างออกไปอีกแบบเลย?'
ซึ่งในตัวบทตั้งแต่ต้นเรื่อง มันมีบทบาทหนึ่งโดดเด่นมากในสายตาของคังวูจิน
‘นี่มันอะไรกันอีกเนี่ย? สองบุคลิกงั้นเหรอ?'
แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่เขาจะได้บทบาทนี้เพราะมันเป็นตัวละครนำ แต่มันก็ดูจะเป็นตัวละครที่น่าสนใจมากจากมุมมองของผู้ชม
‘เขาเป็นตัวร้ายเหรอ? ฉันแทบแยกไม่ออกเลยแฮะว่าเขาเป็นคนดีหรือคนเลว’
ทันใดนั้นเอง
ตื๊ด ตื๊ด
โทรศัพท์มือถือของคังวูจินสั่นเตือนเบา ๆ น้องสาวฉันอีกแล้วเหรอ? เมื่อคิดอย่างนั้น คังวูจินก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาขมวดคิ้ว แต่ผู้ส่งไม่ใช่น้องสาวของเขา แต่เป็น...
-ผู้กํากับชินดงชุน:ตอนนี้คุณคงกำลังถ่ายทำอยู่ ผมเลยส่งข้อความมาบอกก่อนครับ
มันเป็นข้อความจากผู้กํากับชินดงชุน
-ผู้กํากับชินดงชุน: ผมเพิ่งได้รับสาย เราผ่านเข้ารอบ 40 คนสุดท้ายใน 'เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง' แล้วครับ
ดูเหมือนว่า การเข้าร่วม ‘เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง’ ของคังวูจินจะได้รับการยืนยันแล้ว
*****