บทที่ 160 มหาจอมเวทย์แห่งอู่ซาน
พอหยางเสี่ยวเทียนกลับจากติดตามดูความก้าวหน้าของแต่ละคน เมื่อไม่พบว่ามีปัญหาอันใดให้กังวล นอกจากสงสัยเรื่องเสี่ยวจิน
เขาก็เริ่มหันมาฝึกฝนร้อยเพลงกระบี่อยู่พักหนึ่ง แล้วออกจากจวนกลับไปยังหอคัมภีร์ของสำนักเสินเจี้ยน เพื่อค้นหาบันทึกเกี่ยวกับสัตว์วิญญาณโบราณกลายพันธุ์
หลังค้นหามันทั้งเช้า เขาก็ไม่พบบันทึกต้นกำเนิดใดๆ ที่น่าเกี่ยวข้องหรือมีความใกล้เคียงกับสัตว์วิญญาณลักษะคล้ายเสี่ยวจินเลยสักเล่ม
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเสี่ยวจินมีเขางอกออกมารูปลักษณ์มิต่างมังกร มันจึงต้องเกี่ยวข้องกับเผ่ามังกรโบราณบางประเภท
เมื่อคิดทบทวนได้อย่างนั้นจนพอคลายกังวล หยางเสี่ยวเทียนจึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังโถงของลานชั้นในที่ตำหนักกระบี่ เพื่อมองหาเพลงกระบี่ทักษะอื่นๆ และคัมภีร์ฝึกพลังเวทย์ที่เฉาชุ่นทิ้งไว้
ถึงเขาจะยังไม่สามารถฝึกฝนทักษะจากพลังเวทย์ได้ แต่ก็ไม่เสียหายอันใดหากจะลองศึกษา เพื่อเป็นแนวทางเสริมความรู้ ดั่งโบราณกล่าว รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม
นอกเหนือจากการอ่านคัมภีร์เพลงกระบี่กับพลังเวทย์ที่เฉาชุ่นทิ้งไว้แล้ว เขายังอ่านบันทึกเก่าๆ บางส่วนของเฉาชุ่น ซึ่งเรื่องราวส่วนใหญ่ที่เขาจดบันทึกไว้ มักเป็นรายงานข้อเท็จจริงอันลึกซึ้งและการตระหนักรู้ส่วนสำคัญบางประการเกี่ยวกับเพลงกระบี่
นามเต็มของเขาคือเฉาชุ่นเซิน เป็นวิญญาจารย์ขั้นจักรพรรดิยุทธ์ที่แข็งแกร่งเพียงผู้เดียวในสำนักเสินเจี้ยนมานานนับร้อยปี สำหรับเพลงกระบี่ เขามีความตระหนักรู้อย่างถ้องแท้ กระทั่งสามารถขยายความเข้าใจและขอบเขตพลังอันกว้างใหญ่ของมันได้อย่างลึกซึ้งมาก
หยางเสี่ยวเทียนนั่งอ่านบันทึกเหล่านั้นอยู่หนึ่งชั่วยามกว่า เขาก็ออกจากลานชั้นใน ก่อนบังเอิญเห็นเฉินฉางชิงและผู้อาวุโสทั้งสี่ฝึกร่ายรำเพลงกระบี่ หน้าลานตำหนักด้วยท่วงท่าอันสง่างาม
เมื่อผู้อาวุโสทั้งห้าเจอหยางเสี่ยวเทียน ก็ต่างหยุดการเคลื่อนไหวลงพร้อมนั่งพูดคุยกัน ถึงประสบการณ์ด้านเพลงกระบี่มากมาย ที่พวกเขาประสบพบมาอย่างสำราญสุข
ระหว่างเดินเล่นขณะกลับจวนตามถนนในเมือง หลังออกจากตำหนักกระบี่มาได้สักพักใหญ่ หยางเสี่ยวเทียนถึงสังเกตพบว่ามีบรรดาศิษย์จากนิกายอื่น และเหล่าวิญญาจารย์ประจำตระกูลน้อยใหญ่อีกมากมาย เดินขวักไขว่สวนกันไปมาบนท้องถนนของเมืองเสินเจี้ยน
ทั้งยังมีเหล่าวิญญาจารย์จากอาณาจักรอื่นๆ อีกด้วย
ครั้นลองฟังจากเนื้อหาระหว่างคนพวกนี้สนทนา หยางเสี่ยวเทียนถึงได้รู้ว่าเพราะเหตุใด ในเมืองตอนนี้ จึงพลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา กระทั่งออกมารวมตัวกันยังเมืองเสินเจี้ยนเยอะนัก
เพื่อการแข่งขันหลอมโอสถในเดือนหน้า คนเหล่านี้จำต้องออกเตรียมตัวพร้อมหาที่พักรอคนจากสำนักหรือตระกูลตน แม้วันนั้นจะเป็นช่วงเวลาสำคัญสุด แต่ที่ดึงดูดความสนใจคนมากมายเหล่านี้ แท้จริงนั้นกลับเป็นงานประมูลของสมาคมการค้าเฟิงยวิน อันจะร่วมเปิดในวั้นนั้นด้วย
และแน่นอน ว่าผู้คนจำนวนมากนี้ ต่างเดินทางแรมรอนมาเพื่อใต้เท้าหลงกันส่วนใหญ่
“ข้าต้องคำนับใต้เท้าหลงในฐานะเป็นอาจารย์ข้าให้ได้!” ศิษย์ของตระกูลหลักคนหนึ่ง ยกมือกำหมัดแน่นขณะกล่าว
“หยุดเพ้อเจ้อน่า แม้เราจะเป็นถึงนักปรุงโอสถผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่แห่งอาณาจักรเสินไห่ เราก็มิอาจมีคุณสมบัติคำนับคนลึกลับอย่างใต้เท้าหลงในฐานะอาจารย์ได้ แล้วเจ้าคิดว่าตนมีสิทธิ์เช่นนั้นหรือ เห้อ…” ศิษย์อีกคนถอนหายใจ
ขณะสองคนนั้นกำลังโต้เถียงกันอยู่นั่น ศิษย์อีกผู้ก็เอ่ยแทรกขึ้น “ข้าได้ยินว่าองค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรกู่เจี้ยนจะมาเยือนที่นี่ พร้อมเหล่าองค์หญิงงามทั้งหมด”
“ทำไมองค์จักรพรรดิ ต้องพาองค์หญิงงามทุกคนมาด้วยหรือ”
“มีข่าวลือว่าใต้เท้าหลง ยังมิมีคู่หมาย! องค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรกู่เจี้ยนจึงนำเหล่าองค์หญิงทั้งหมดมาที่นี่ด้วย เผื่อมีบุตรสาวตนพอถูกตาต้องใจใต้เท้าหลงได้สักคน”
“ผู้ใดต่างก็ล่วงรู้ ว่าองค์หญิงแห่งอาณาจักรกู่เจี้ยนทุกคน ล้วนงดงามดั่งบุปผาชาติบนสรวงสวรรค์ หากข้าเป็นใต้เท้าหลง ข้าจะรับพวกนางทั้งหมด!” มีคนหัวเราะออกมากับน้ำคำเพ้อฝันนี้
อาณาจักรกู่เจี้ยน เป็นหนึ่งในอาณาจักรใต้ปกครองของจักรวรรดิเทียนโต่ว ในบรรดาหลายสิบอาณาจักรโดยรอบ อาณาจักรกู่เจี้ยนนับว่าแข็งแกร่งกว่าอาณาจักรเสินไห่มาก
ส่วนหยางเสี่ยวเทียนที่ได้ทราบเรื่อง มุมปากก็ถึงกับกระตุกสั่น พูดอะไรไม่ออกเมื่อฟังคนเหล่านี้กล่าว
ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าคนเหล่านี้ได้รับข่าวคราวที่ลือกันนี่มาจากไหน
แม้เขาจะยังมิมีคู่หมาย องค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรกู่เจี้ยน ก็ไม่จำเป็นต้องนำบรรดาองค์หญิงทั้งหมดมาด้วยหรือไม่
หยางเสี่ยวเทียนส่ายศรีษะ สะบัดข่าวลือไร้สาระทิ้ง พร้อมรีบปรี่กลับจวนโดยเร็ว
ทันทีที่เขาถึงลานฝึกยุทธ์ หยางเสี่ยวเทียนก็ร่ายรำทักษะร้อยเพลงกระบี่อย่างต่อเนื่องมาสักระยะหนึ่ง ก่อนกลับขึ้นเรือนหลักเพื่อหลอมโอสถ
ขณะหลอมโอสถ หยางเสี่ยวเทียนก็พลันนึกถึงไฟประหลาดสามชนิดที่เฉินฉางชิงกล่าวถึงในภายหลังได้
ในบรรดาไฟประหลาดทั้งสามประเภท มีชนิดหนึ่งเรียกว่าเปลวไฟดารา ถูกค้นพบตำแหน่งในอาณาจักรเสินไห่ ซึ่งยังไม่มีผู้ใดสามารถพิชิตมันได้
คิดได้ดังนั้น หยางเสี่ยวเทียนจึงรอให้เลี่ยวคุนและจางจิงหรงกลับจากงานนั้นก่อน เขาถึงจะออกเดินทางไปพิชิตเปลวไฟดารา
ถึงเปลวไฟดารา จะเป็นไฟประหลาดอันดับที่เจ็ดสิบสาม มีความแข็งแกร่งและระดับต่ำกว่าเปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณ แต่ก็ถือว่ามันยังเป็นหนึ่งในร้อยอันดับแรกอยู่
เจ็ดวันต่อมา
เลี่ยวคุนและคนทั้งสี่ ผู้ออกเดินทางกว้านซื้อของที่เขามอบหมายก็กลับมา ทั้งห้าคนทำตามความคาดหวังของหยางเสี่ยวเทียนได้เป็นอย่างดี ทาสทั้งหมดเจ็ดร้อยคนล้วนอยู่ในขั้นนักยุทธ์ระดับสิบขั้นปลายทุกคน
ในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา หยางเสี่ยวเทียนได้หลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ไว้รอแล้วถึงเจ็ดร้อยส่วน ดังนั้น หลังนำทาสทั้งหมดนี้กลับมาครบดั่งหมาย เขาก็มอบยาพิษควบคุมให้ทุกคนกลืนต่อหน้า
สอนทักษะจากเคล็ดวิชาฝึกวรยุทธ์แก่พวกเขา แล้วมอบโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์คนละเม็ด ให้กลืนเพื่อใช้บ่มเพาะพลังปราณคืนนี้ หากปฏิบัติตามเขาชี้แนะได้ทั้งหมด
ไม่นาน คนที่ถูกใครมองว่าไร้ค่าพวกนี้ ก็จะเป็นเหล่าวิญญาจารย์ผู้แข็งแกร่ง พร้อมช่วยเหลือเขา ได้อย่างมีเกียรติไปด้วยกัน
หลังจากสั่งการและเตรียมพร้อมทั้งหมดนี้แล้ว หยางเสี่ยวเทียนก็ขอให้กลุ่มของเลี่ยวคุนคอยดูแลเรื่องภายในจวน ระหว่างเขากับหลัวชิงออกเดินทางไปพิชิตเปลวไฟดารา
เมื่อรับรู้ว่าเสี่ยวจินกำลังมุ่งมั่นฝึกฝนเคล็ดวิชาอสูรสวรรค์อยู่ ในครั้งนี้ เขาจึงไม่คิดพามันไปด้วย และปล่อยให้มันหมั่นตั้งใจต่อ
ครั้นออกจากเมืองเสินเจี้ยนแล้ว หยางเสี่ยวเทียนและหลัวชิงก็เดินลัดเลาะไปตามทางบนเชิงเขา มุ่งหน้าหาจุดหมายอย่างมิรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกันสองคน
ไม่กี่วันต่อมา ทั้งสองก็มาถึงเขาอู่ซาน
เปลวไฟดารานั้น มาตรว่าต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในเขาอู่ซานนี้อย่างแน่นอน
เขาอู่ซาน เป็นหนึ่งในหุบเขาอันน่าพิศวงของอาณาจักรเสินไห่ เคยมีตำนานเล่าขานกันสืบมา ว่ามีมหาจอมเวทย์ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง ถูกฝังอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ จึงเรียกที่นี่ว่าอู่ซานนับแต่นั้น