บทที่ 159 สัตว์วิญญาณกลายพันธุ์
“พวกเจ้ามิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวกับทั้งสอง ผู้เริ่มมีสีหน้าเป็นพะวงกับนายน้อยตน
หยางเสี่ยวเทียนเดินเข้าหาทั้งสองที่ยืนก้มหน้าอยู่ พร้อมแสดงความใส่ใจยื่นจับมือพวกเขาอย่างเป็นกันเองก่อนเผยยิ้มให้คลายทุกข์
“แค่ซื้อต่อไป เพิ่มอีกนิดหน่อย” หยางเสี่ยวเทียนยักคิ้วขณะรอยยิ้มเจ้าเลห์ให้ทั้งสองผ่อนปรนอารมณ์เกรงกลัวต่อเขา
ซึ่งก็เป็นไปตามที่เขาต้องการ เพราะเมื่ออัตและอาลี่เห็นการแสดงเช่นนั้นของหยางเสี่ยวเทียน ผู้มีแต่ใบหน้าเคร่งขรึมตลอดเวลา พวกเขาก็ถึงกับผงะพร้อมอดเผยยิ้มออกมาอย่างสบายใจมิได้ ด้วยสัมผัสได้ ว่านายน้อยก็มีความห่วงใยพวกตนไม่น้อยไปกว่าที่พวกตนเป็นห่วงเขาเลย
อีกอย่าง ตอนนี้เขาเป็นถึงเจ้าตำหนักกระบี่ ซึ่งเป็นตัวแทนของสำนักเสินเจี้ยน ที่รวมถึงหน้าตาคนในเมืองทั้งหมดด้วย
คนใจกว้างอย่างท่านเจ้าเมืองเผิงจื้อกัง จะสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ได้อย่างไร
ต่อจากนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็ได้ถามไถ่อัตและอาลี่ เกี่ยวกับสถานการณ์ฝึกฝนของทาสทั้งสามร้อยคน ว่ามีความก้าวหน้าไปในทิศทางไหนบ้างแล้ว
“มีทาสมากกว่าสามสิบคน ที่สามารถทะลวงเข้าสู่ระดับสองของขั้นเซียนสวรรค์สำเร็จขอรับ”
อัตกล่าวอย่างความเคารพ
“และมีทาสมากกว่าสี่สิบคนที่ฝึกฝนเข้าขั้นเซียนสวรรค์ระดับหนึ่งขั้นปลายแล้ว”
“ซึ่งส่วนใหญ่ติดอยู่ในขั้นเซียนสวรรค์ระดับหนึ่งขั้นปลาย และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่อยู่ขั้นเซียนสวรรค์ระดับหนึ่งขั้นกลางขอรับ” อัตรายงาน
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้า
ไม่ใช่เรื่องไร้ประโยชน์ ที่เขาทุ่มเทเวลาหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณและโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับสวรรค์มากมายให้แก่คนเหล่านี้ ใช้บ่มเพาะพลังเสริมความแข็งแกร่ง
หากทาสเหล่านี้ ที่ยังติดอยู่ในขั้นเซียนสวรรค์ระดับหนึ่งขั้นต่างๆ ได้รับโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับสวรรค์คนละสองเม็ดจากเขา เพียงสองเดือน บรรดาทาสที่เหลือส่วนใหญ่นั่น ก็คงทะลวงเข้าระดับสองได้สำเร็จ
เมื่อหยางเสี่ยวเทียนถามอัต เกี่ยวกับความก้าวหน้าในการฝึกฝนของพวกเขา เขาก็ได้ทราบว่าทั้งสอง สามารถทะลวงเข้าสู่ระดับสี่ในขั้นเซียนสวรรค์สำเร็จแล้ว ข่าวนี้ทำเขาพยักหน้าพึงพอใจแลยินดีเป็นอย่างมาก
แม้เขาจะมีวิญญาณยุทธ์คู่ขั้นสูง แต่เพราะวังวนในตันเถียนเขามีขนาดใหญ่มากกว่าเหล่าวิญญาจารย์ปกติทั่วไป ทุกครั้งที่จะทะลวงผ่านแต่ละระดับ จึงต้องดูดกลืนพลังวิญญาณของสวรรค์และโลก เข้าไปควบแน่นอย่างมหาศาล
นอกจากนี้ ในทุกๆ วัน เขายังต้องเน้นการบ่มเพาะไปที่ฝึกปราณเป็นหลัก เพื่อสร้างรากฐานให้มั่นคง พร้อมฝึกปรือเพลงกระบี่อยู่หลายทักษะ ดังนั้นการทะลวงระดับพลังยุทธ์ของอัตและอาลี่จึงไม่ถือว่าช้าไปกว่าเขาเท่าไรนัก
หยางเสี่ยวเทียนตรวจสอบการหลอมโอสถของทั้งสองอีกครั้ง
ครั้นได้ประจักษ์เห็นว่าทักษะการหลอมโอสถพวกเขา พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หยางเสี่ยวเทียนถึงรู้สึกโล่งใจ
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่นาน ทั้งสองคงสามารถหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสูงได้สำเร็จ
เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาก็จะเข้าสู่ขั้นสามารถหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสูงสุด และพอแบ่งเบาภาระงานอันหนักอึ้งที่เขาประสบอยู่เพลานี้ ได้มากสมควร
ไม่เช่นนั้น หากเขาต้องเลี้ยงดูบรรดาทาสทั้งหมดมากมายเพียงลำพัง เขาคงได้บอกลาสังขารกระทั่งตายด้วยความเหนื่อยล้า
อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาเพียงทั้งสอง เพื่อช่วยผ่อนเบาภาระที่เขาแบกอยู่ตอนนี้คงยังไม่พอทุเลาลงได้ เขาจึงขอให้อัตและอาลี่ลองทดสอบทาสบางคนพร้อมคอยสังเกตการณ์ดู ว่าผู้ใดมีพรสวรรค์ในการหลอมโอสถอีกบ้าง
ซึ่งหากพบว่าทาสคนใดพอมีทักษะในการหลอมโอสถ ก็คอยชี้แนะแลปลูกฝังพวกเขาดั่งที่หยางเสี่ยวเทียนเคยทำ พร้อมจัดกลุ่มคนเหล่านั้นให้ฝึกฝนหลอมโอสถอย่างเข้มข้นมากขึ้น
จัดการแลควบคุมตามที่อัตกับอาลี่เห็นสมควร ส่วนเขาจะคอยชี้นำและเฝ้าดูความก้าวหน้าอย่างใกล้ชิดเช่นเคย
“นายน้อย เดือนที่แล้วองค์หญิงสี่นางกลับเมืองหลวง…” อัตเอ่ยขึ้นแต่หยุดอยู่ครู่อย่างลังเล
“ข้าได้ยินว่านางต้องการให้องค์จักรพรรดิสั่งประหารท่าน ผู้คนในเมืองเสินเจี้ยนต่างพูดคุยถึงเรื่องนี้กันอย่างหนาหู ว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้า องค์จักรพรรดิจะมาเยือนเมืองเสินเจี้ยนเพราะท่าน…”
วันนี้ ขณะพวกเขาทั้งสองออกหาซื้อสมุนไพรเพื่อหลอมโอสถวิญญาณหลงหู่ พวกเขาได้ยินผู้คนมากมายกล่าวถึงมัน ด้วยข่าวนี้ จึงมิแปลกที่จะทำให้อัตและอาลี่อดเป็นห่วงนายน้อยของตนมากขึ้นเป็นพิเศษไม่ได้
“ข้าเข้าใจแล้ว” หยางเสี่ยวเทียนเพียงพยักหน้ารับ ก่อนหันหลังจากไป ด้วยมอบหมายงานแก่คนทั้งสองเสร็จสิ้นแล้ว
เขามิคิดใส่ใจเรื่องนี้มากนัก ด้วยมิจำเป็นต้องเก็บสถานการณ์ไร้สาระเช่นนี้มาใส่หัวให้เปลืองพื้นที่
หลังปล่อยทั้งสองอยู่ฝึกฝนหลอมโอสถกันเองแล้ว เขาก็ออกเดินหาหลัวชิงที่ลานเรือนเขา พร้อมมอบหมายให้หลัวชิงเลือกวิญญาจารย์สามสิบคน จากทาสทั้งสามร้อยคนเพื่อจัดตั้งพรรคเงาทมิฬ
ฝึกกระทั่งแข็งแกร่งจนฝีมือเก่งกาจมากพอออกค้นหาข่าวสารหรือข้อมูลสำคัญ ที่จำเป็นในอนาคต
หยางเสี่ยวเทียนเกิดเป็นบุรุษมาสองชาติแล้ว จึงรู้ซึ้งถึงความสำคัญของข่าวสารดี ว่าการได้ทราบ พร้อมมีข้อมูลอันจะส่งผลดี ให้ตนคอยระแวดระวังต่อผู้ประสงค์ร้าย ที่คิดเป็นภัยกับเขาในภายภาคหน้าได้อย่างสนิทใจ
ต่อจากนั้น หยางเสี่ยวเทียนกับหลัวชิงก็ไปหาเสี่ยวจิน
หนุ่มน้อยเสี่ยวจินคนนี้ เก็บตัวฝึกฝนเคล็ดวิชาอสูรสวรรค์ จนแทบไม่ออกจากเรือนไปเที่ยวเล่นที่ไหนอย่างเคยเลยในช่วงนี้
หลังมันกลืนโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ของหยางเสี่ยวเทียน เพื่อช่วยบำเพ็ญตบะแล้ว การเปลี่ยนแปลงของเจ้าเสี่ยวจินก็ดูน่าประหลาดใจมากยิ่งขึ้น
ภายใต้ชั้นเกล็ดสีทองเจ้าเด็กน้อยเสี่ยวจิน ดูเหมือนจะมีเปลวไฟสีทองไหลจางๆ แทรกออกมาจากเกล็ดบนตัวมัน
ครั้นมองจากระยะไกล ผู้คนคงคิดว่าตัวมันถูกปกคลุมไปด้วยชั้นของเปลวไฟสีทอง ราวกับลูกไฟขนาดใหญ่ ที่เดินไปไหนมาไหนได้
ทั้งบนหน้าผากของเสี่ยวจิน ยังมีเขางอกขึ้นมาประหนึ่งมันจะไม่ใช่เจ้าสัตว์วิญญาณเกาะทองที่เขารู้จัก นอกเสียจากมันจะดูเป็นมังกรยิ่งกว่า
การเปลี่ยนแปลงของตัวเจ้าเด็กนี่ ครั้งนี้ ทำหยางเสี่ยวเทียนและหลัวชิง ต่างรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเลย
แม้แต่หลัวชิงเอง ก็ยังไม่สามารถทราบที่มาหรือต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์ของเสี่ยวจินได้
ซึ่งตามความเห็นของเขา เสี่ยวจินน่าจะเป็นสัตว์วิญญาณกลายพันธุ์
เพียงตอนนี้ ไม่ทราบแน่ชัดว่ามันเป็นสัตว์วิญญาณกลายพันธุ์ชนิดใด
อีกสองวันข้างหน้า หยางเสี่ยวเทียนคงต้องกลับไปเยือนยังหอคัมภีร์ของสำนัก เพื่อค้นหาบันทึกเกี่ยวกับสัตว์วิญญาณอย่างเสี่ยวจิน ว่าที่นั้นพอจะมีบันทึกไว้หรือไม่
พอเจ้าเสี่ยวจินลืมตา แล้วพบหยางเสี่ยวเทียนกับหลัวชิงมาหา มันก็พลันกระโดดโลดเต้นด้วยอาการมีความสุขที่ได้เจอพวกเขา พร้อมจากนั้น มันจึงแสดงทักษะเพลงมวยหลายชุด ที่หยางเสี่ยวเทียนเคยส่งต่อให้มัน ว่าหมั่นฝึกฝนจนอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบทั้งหมดแล้ว
แม้นจะยินดีที่เห็นเสี่ยวจิน เจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทองสามารถแสดงทักษะเพลงมวยของมนุษย์ได้ กระทั้งแข็งแกร่งเข้าขั้นสมบูรณ์แบบก็ตามที แต่หยางเสี่ยวเทียนก็ยังคิดว่าแปลกและสงสัยในต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มันอยู่ดี