ตอนที่ 20 กำจัดต้นตอของปัญหา
ตอนที่ 20 กำจัดต้นตอของปัญหา
“ของนี่ถึงขั้นละลายศพได้ไม่เหลือ ไม่แปลกใจเลยที่เรียกผงป่นกระดูก!” จี้เตี๋ยมองชุดที่เหลืออยู่บนพื้นพลางอดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีผงอันตรายโดนตัว เขาจึงละเมียดละไมใส่จุกไม้ก๊อกปิดฝาขวดและเก็บลงถุงมิติ พบเห็นของอันตรายหายเข้าไปแล้ว เขาจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ส่วนสายตานั้นขยับมองเสื้อผ้าบนพื้นดินอีกครั้งหนึ่ง
ปัญหาเรื่องศพคลี่คลายแล้ว อย่างน้อยจี้เตี๋ยก็โล่งใจได้ระดับหนึ่ง เขาจึงไม่คิดเร่งร้อนไปไหน แต่เร่งรีบเข้าเก็บกวาดพื้นที่เกิดเหตุเพื่อกลบร่องรอย
ร่างของชายหน้าม้าสลายเป็นฝุ่นธุลี เหลือไว้เพียงแค่เสื้อผ้าและกระบี่ เขาจึงเก็บพวกมันใส่ถุงมิติไว้ก่อน ถัดจากนั้นจึงเริ่มย้อนตามรอยเท้าไปเก็บผลยกวิญญาณที่โยนทิ้งเรี่ยทาง
ภายหลังตรวจสอบพื้นที่ใกล้เคียงจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดอีกแล้ว เขาจึงกลับไปยังโขดหินแห่งเดิมเพื่อเก็บเสื้อผ้าของตนที่โยนไว้เป็นเหยื่อล่อชายหน้าม้า
“จะทำยังไงกับของพวกนี้ดีกันนะ?”
ปัจจุบันยามค่ำคืนล่วงเลยไปไกลไม่น้อยแล้วก็จริง แต่จี้เตี๋ยก็ไม่ได้เร่งร้อนกลับไปยังพื้นที่โรงนา แต่กำลังมองถุงมิติของชายหน้าม้าด้วยความรู้สึกยุ่งยากใจ
เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งตรวจสอบและได้พบ ว่ามันมีศิลาวิญญาณมากกว่าสามสิบก้อน ส่วนของอื่นที่เหลือไม่นับว่ามีค่าอะไร
หากจะมีหนึ่งสิ่งที่มีค่า ก็คงเป็นตัวกระบี่!
เพียงแต่กระบี่เล่มนี้เด่นสะดุดตาเกินไป เขาไม่อาจทราบเช่นกันว่าชายหน้าม้าเคยนำไปแสดงให้ใครอื่นพบเห็นอีกหรือไม่ ดังนั้นจี้เตี๋ยจึงไม่กล้าเก็บเอาไว้ เพราะหากอยู่กับตัวมีแต่จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาในภายภาคหน้า
อย่างไรเขาก็เพิ่งผ่านประสบการณ์จากการเก็บถุงมิติของจางเฟิง จนเป็นเหตุให้สตรีโฉดชั่วใจมารตระหนักรู้จนสืบสาวมาถึง
เขาไม่คิดเสี่ยงอีกครั้งอย่างแน่นอน!
ดังนั้นจะจัดการมันอย่างไรจึงถือว่าเป็นปัญหา
“คงต้องหาที่ฝังมันเอาไว้ พอเวลาผ่านไปสักพักหนึ่งค่อยขุดเอามันออกมา! ศิลาวิญญาณเก็บเอาไว้ได้ แต่กระบี่และถุงมิติของชายหน้าม้าถือเป็นของต้องห้าม”
จี้เตี๋ยตระหนักทราบถึงความกลัวในใจตนเองได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจได้รวดเร็วโดยไม่มีความละโมบมาเกี่ยวข้อง ขณะนี้จึงฝังถุงมิติของชายหน้าม้าเอาไว้กับต้นสนใกล้เคียง และกลบฝังด้วยดินที่เกลี่ยให้เนียนตาอย่างไร้ร่องรอย ถัดจากนั้นจึงจดจำตำแหน่งนี้เอาไว้แล้วเร่งรีบเดินทางกลับพื้นที่โรงนา
ปัจจุบันฟ้ายังมืด มันเป็นช่วงเวลาก่อนรุ่งสาง สภาพแวดล้อมรอบด้านยังคงเงียบสงัด ศิษย์ที่ดูแลโรงนาคอกสัตว์ต่างยังคงใช้เวลาส่วนตัวไปกับการฝึกฝน
จี้เตี๋ยย่องไปริมน้ำอย่างเงียบงันเพื่อชำระคราบเลือดตามร่างกาย ขณะเดียวกันก็ใช้น้ำเย็นชำระล้างตนเองให้จิตใจกระจ่างขึ้น สุดท้ายจึงเริ่มทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมา
“หลักฐานทั้งหมดถูกทำลายแล้ว ช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้คงไม่มีใครทราบว่ามันตาย”
“ส่วนเรื่องสำนักจะทราบว่ามันตายหรือหายตัวไปอย่างไรนั้น ยังไงก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเราอยู่แล้ว อย่างไรก็ไม่มีหลักฐาน!”
จี้เตี๋ยผ่อนลมหายใจเชื่องช้า ปัจจุบันเป็นเดือนสิบสอง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าแช่กายในธารน้ำนานจนเกินไป สุดท้ายจึงขึ้นจากน้ำมาเปลี่ยนเสื้อผ้า
พลังวิญญาณภายในกายของเขาเริ่มโคจรเพื่อสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกายอีกครั้ง
ขณะกำลังจะเดินจากไป ทันใดนี้เองที่เขานึกขึ้นได้ว่าพลาดใครไปคนหนึ่ง!
“สารเลวเหอเฉียงนั่นร่วมมือกับชายหน้าม้า มันต้องทราบแน่ว่าเมื่อคืนชายหน้าม้าคิดลงมือทำอะไร ถ้าเช่นนั้น…” แววตาของจี้เตี๋ยทอจิตสังหารออกมา อีกฝ่ายเปรียบเสมือนระเบิดเวลา แม้เขาจะจัดการสะสางหลักฐานทั้งหมดเรียบร้อย แต่พยานบุคคลอาจนำพาหายนะมาเยือนได้
ในเมื่อฆ่าคนไปแล้วหนึ่ง ดังนั้นจะฆ่าอีกหนึ่งเพื่อกำจัดต้นตอปัญหาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก!
ก่อนรุ่งสาง จี้เตี๋ยเร่งรีบกลับไปยังพื้นที่โรงนา ก่อนจะหยุดเท้าที่ภายนอกหน้าต่างของห้องแห่งหนึ่ง ขณะกำลังจะแอบมองว่าอีกฝ่ายหลับหรือไม่นั้น เขากลับได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว
จี้เตี๋ยเร่งร้อนหมอบคลานลงกับพื้นเพื่อซ่อนตัว
ร่างของคนผู้หนึ่งกำลังเดินผิวปากออกมาจากอีกห้องที่อยู่ไม่ไกล เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ได้หันมองที่อื่น เพียงแค่เดินกลับไปยังบ้านพักของตนเอง ราวกับตื่นมาเข้าห้องน้ำอะไรทำนองนั้น
จี้เตี๋ยปล่อยผ่านอีกฝ่ายขณะซ่อนตัวภายนอกหน้าต่างอีกครั้ง เนื่องจากเป็นหน้าต่างไม้จึงบดบังการมองเห็น เขาจึงต้องเจาะรูขนาดเล็กเพื่อมองเข้าไปยังภายใน
แม้แสงจันทร์จะถูกหมู่เมฆบดบังเอาไว้ แต่สายตาของเขาดีเยี่ยม ดังนั้นจึงยังพอจะมองด้านในอย่างกระจ่างชัดได้
“ไม่อยู่หรือ?” จี้เตี๋ยชะงัก ยามได้ตระหนักว่าในห้องไม่มีใคร ขณะนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายไปไหน และทันใดนี้เองที่เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
“เหอเฉียง! เจ้าออกมาทำอะไรดึกดื่นแบบนี้กัน!”
พบเห็นคนถูกถามเงียบไม่ตอบ กระทั่งว่ามีท่าทีอึกอัก อีกฝ่ายจึงตบมือลงบนไหล่ของ “เหอเฉียง” จนสะดุ้งหันมองมา
“เจ้า…” พบเห็นใบหน้าอันเฉยชาที่ตนเองจดจำได้ดี เฮ่อซงเผยสีหน้าแปรเปลี่ยน เดิมเขานึกว่าคนที่มายืนข้างบ้านของเหอเฉียงคือเจ้าตัวที่ออกมาปัสสาวะ!
ไม่นึกว่าจะเป็นบุคคลตรงหน้าไปได้!
เฮ่อซงไม่มีเวลามาครุ่นคิดว่าจี้เตี๋ยมาที่นี่ทำอะไร แต่ยามพบเห็นสีหน้าเย็นเยือกของเด็กหนุ่ม สัญชาตญาณของเขาร้องบอกว่าผิดปกติ ขณะกำลังคิดจะเผ่นหนี จี้เตี๋ยกลับต่อยหมัดเข้าใส่และคว้าหลังคอเสื้อเอาไว้
พบเห็นสายตาสิ้นหวังของอีกฝ่าย จี้เตี๋ยยังคงสงบใจก่อนจะออกแรงบีบคอ
ในเมื่อเคยมีครั้งแรกไปแล้ว จี้เตี๋ยจึงไม่ใส่ใจหากต้องทำเรื่องราวคล้ายเดิมซ้ำอีกครั้ง
อย่างไรอีกฝ่ายก็มีเรื่องกับเขามาก่อน ปัจจุบันบังเอิญผ่านมาพบตอนเขาคิดฆ่าปิดปากคนอื่นพอดี แม้ว่าตอนแรกจะไม่ได้คาดคิดเอาไว้ แต่อย่างน้อยจี้เตี๋ยก็ไม่คิดปล่อยพยานให้มาแว้งกัดตนเอง
เขาเร่งรีบออกจากพื้นที่โรงนาก่อนจะใช้ผงป่นกระดูกเพื่อจัดการศพอีกฝ่าย สุดท้ายจึงเดินกลับบ้านพัก
“เหอเฉียงไม่อยู่ในห้อง หรือมันทราบว่าเราจะมากำจัดพยานรู้เห็น หรือแค่บังเอิญมันไม่อยู่พอดีกันแน่?” ค่ำคืนนี้มีเรื่องชวนหนาวเย็นถึงสันหลังเกิดขึ้น จี้เตี๋ยที่นั่งลงบนเตียงเริ่มคิ้วขมวดขณะทบทวนเรื่องราว
ดูเหมือนว่าคงต้องรอดูสถานการณ์วันพรุ่งนี้อีกครั้ง!
เพราะในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยู่ ก็ไม่มีความจำเป็นใดต้องระวังคนจะมาสอดส่องตนเอง จี้เตี๋ยที่สงบใจได้แล้วจึงเริ่มนำผลยกวิญญาณออกมาใช้งาน เพื่อเตรียมทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่ห้าโดยเร็วที่สุด
ปราณวิญญาณในปัจจุบันของเขา หากเทียบกับครั้งก้าวสู่ขั้นที่สี่นั้นเพิ่มขึ้นแทบจะเป็นเท่าตัว มันเริ่มพัฒนาจนเริ่มก่อเกิดเป็นแม่น้ำที่ไหลหลาก
ภายหลังพยายามอยู่ครึ่งคืน พลังวิญญาณของเขาจึงเพิ่มพูนไปสู่จุดสูงสุด
ปัจจุบันสามารถลองทะลวงสู่ขั้นที่ห้าได้!
“แต่ก็ยังทะลวงไม่ได้…” วันถัดมา จี้เตี๋ยที่ไม่อาจทะลวงขั้นจึงเดินไปยังคอกหมายเลขสิบเอ็ดพร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาด ตลอดทางเขาเผยคิ้วขมวดจนแทบเป็นปม
เมื่อคืน การฝึกตนของเขาก้าวไปถึงการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่จุดสูงสุดแล้ว กระนั้นภายหลังพยายามหลายต่อหลายครั้งก็ยังไม่อาจก้าวสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่ห้า ไม่ว่าจะใช้ผลยกวิญญาณมากมายแค่ไหนก็ไม่อาจได้ผล ปราณวิญญาณของเขาไม่อาจเพิ่มขึ้นได้อีก!
จี้เตี๋ยไม่ทราบถึงเหตุผล ดังนั้นจึงทอดถอนหายใจไม่รู้จบสิ้น การที่เขาไม่อาจทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่ห้าครั้งนี้ มันอาจมีผลกับชั่วชีวิตที่เหลือก็เป็นได้!
มันเป็นเรื่องไม่อาจยอมรับได้!
ต้องหาใครสักคนมาถามว่าสถานการณ์ตอนนี้มันคืออะไร!
“ศิษย์พี่จี้ เหมือนวันนี้จะถึงเวลาอาบน้ำให้เจ้างูดำแล้วใช่หรือไม่ขอรับ” ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยถาม
“อืม” จี้เตี๋ยตอบรับโดยไม่ใส่ใจ ขณะเดียวกันก็เร่งฝีเท้าจนมาถึงด้านหน้าคอกสัตว์หมายเลขที่สิบเอ็ด สุดท้ายจึงเปิดประตูและเดินเข้าไป
แม้เจ้างูดำเพิ่งทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ แต่ยามพบเห็นเด็กหนุ่มมันก็ยังมีท่าทีระแวดระวังอยู่ดี จี้เตี๋ยวางอุปกรณ์ลงขณะเผยยิ้มพูดคุยกับมัน “วางใจได้ พวกเราถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว! วันนี้ข้าไม่อยากลงไม้ลงมือ ไม่งั้นคงได้สร้างปัญหาให้ศิษย์พี่หญิงเจียงอีกครั้งแน่ เจ้าเองก็แค่เชื่อฟังข้า อาบน้ำอย่างว่าง่าย และอยู่ให้เฉยตอนทำความสะอาดคอก เข้าใจใช่ไหม!”
ขณะพูดกล่าว เขาโยนผลยกวิญญาณผลหนึ่งกลิ้งไปกับพื้น เจ้างูดำที่พบเห็นจึงเข้าฮุบกลืนในอึดใจ แม้ท่าทีของมันยังดูระแวดระวัง แต่ไม่ใช่ดุร้ายอีกต่อไป คล้ายว่าจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูด
จี้เตี๋ยเองก็ใช้โอกาสนี้ทำความสะอาดคอกสัตว์ ไม่ช้าจึงเก็บกวาดเรียบร้อย สุดท้ายจึงหยิบถังน้ำขึ้นมาและเดินเข้าไปใกล้
กระนั้นเจ้างูดำราวกับยังระแวดระวังไม่ปล่อยให้เขาเข้าไปใกล้ มันแลบลิ้นออกมาหลายครั้ง ราวเป็นการส่งสัญญาณเตือนบ่งบอกถึงอันตราย
ภายหลังพบว่าการสื่อสารไม่คล้ายเป็นผล จี้เตี๋ยจึงเผยสีหน้าดำมืดออกมา
“คันไม้คันมืออยากสู้งั้นหรือ อยากถูกทุบตีหรือยังไง!”
“เจ้าคิดทุบตีใคร?”