ตอนที่แล้วบทที่ 39 ความเร็ว (1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 41 ความเร็ว (3)

บทที่ 40 ความเร็ว (2)


[แฟนเพจBamแปลNiyay:ลงแบบราคาถูกโคตรในmy-novel(ลงช้ากว่าThai-novel100ตอน)กับthai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นนอกจากสองเว็บนี้คือไม่ใช่ผมนะ ถ้าเจอคนอ่านก็อปดันเยอะกว่าก็ท้อเป็นนะครับ]

[ถ้าอ่านฟรีแบบเถื่อนไม่ว่าจะได้มายังไงนั้น ผมไม่ว่าเลยครับ และต่อให้ไม่มีคนอ่าน ผมก็ยังจะแปลต่อจนจบด้วย แต่ถ้าจะจ่ายเงินให้เว็บหรือคนที่copyไปขายอีกที คุณโคตรแย่เลยครับ]

[หลังแปลจบจะมีการแก้คำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น ดังนั้นถ้าคุณอ่านแบบเถื่อน ก็เชิญเลยครับ เพราะมันไม่มีอัพเดทให้หรอก]

บทที่ 40 ความเร็ว (2)

คังวูจินรับภาพยนตร์มาแล้วพยักหน้าอย่างเฉยเมย

“อ๋อ ขอบคุณที่หามาให้นะครับ”

แต่ภายในใจนั้น เขากำลังดีใจสุดขีด

‘เยี่ยมเลย ได้บทภาพยนตร์ญี่ปุ่นมาแล้ว’

เขาแทบจะยิ้มจนแก้มปริฉีกไปถึงหู หากท่าทางแบบนี้ถูกเผยออกไป ภาพลักษณ์ของเขาคงพังทลายในพริบตา ส่วนเหตุผลที่คังวูจินขอบทภาพยนตร์ญี่ปุ่นก็ง่าย ๆ  เขาอยากรู้ภาษาญี่ปุ่นต่อจากภาษาอังกฤษ

‘มาลองดูกันดีกว่า’

ขณะที่คังคังวูจินกำลังดูปกบทภาพยนตร์ สไตล์ลิสต์ฮันแยจุงที่อยู่ข้าง ๆ ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเธอดูถูกเขา แต่เธอแค่พูดแบบนี้ติดเป็นนิสัยแล้วต่างหาก

"โอปป้า คุณพูดภาษาญี่ปุ่นได้ด้วยเหรอคะ? มันดูเหมือนไม่ใช่บทแปลนะคะ"

"แค่นิดหน่อยครับ"

"อ๋อ จริงเหรอคะ?  แต่ทำไมต้องเป็นบทภาพยนตร์ญี่ปุ่นล่ะคะ?”

"แค่อยากลองดูเฉย ๆ น่ะครับ"

บทสนทนาค่อนข้างเงียบไป สาเหตุเพราะการตอบกลับอย่างเย็นชากระมัง ขณะที่คังวูจินกำลังเปิดหน้าบทภาพยนตร์ ซีอีโอชเวซองกุนที่นั่งเบาะข้างคนขับก็มองคังวูจินที่สะท้อนผ่านกระจกมองหลังแล้วพูดขึ้นว่า

"บทดั้งเดิมภาษาญี่ปุ่นกว่าจะได้มานี่เล่นเอาเหงื่อตกเลยนะครับ อันนี้พอไหมอยู่ใช่ไหม?”

“ก็ได้อยู่ครับ ขอบคุณมากครับ”

จางซูฮวานผู้จัดการฝ่ายโลเคชั่นก็เอ่ยขึ้นมาทันที

"ว้าว! ซีอีโอครับ! คุณไปได้บทภาพยนตร์ของญี่ปุ่นมาได้ยังไงเนี่ย??”

“เฮ้ เฮ้ มองข้างหน้าสิ! ส่วนเรื่องผมไปเอามาได้ยังไง? ผมแค่มีเครือข่ายอยู่ในญี่ปุ่นน่ะ”

ซีอีโอชเวซองกุนตอบอย่างสบาย ๆ และเหลือบมองคังวูจินผ่านกระจกมองหลังอีกครั้ง เขาชำเลืองมองคังวูจินแล้วถอนหายใจเบา ๆ ภายในใจรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

'เฮ้อ อยากรู้ ถึงสัญญาเขียนไว้ชัดเจนว่าห้ามถามถึงอดีต แต่ฉันอยากรู้จะตายแล้วเนี่ย’

เขาอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับอดีตของสัตว์ประหลาดนักแสดงอัจฉริยะคนนี้อย่างสุดซี้ง

เขาอยู่ต่างประเทศจริง ๆ เหรอ? …เขาอยู่ที่ญี่ปุ่นหรือเปล่า? พอได้ยินคำขออย่างกะทันหันของเขาให้หาบทภาพยนตร์ญี่ปุ่น บางที…’

ขณะที่ซีอีโอชเวซองกุนพยายามทำความเข้าใจบางอย่างในแบบของตัวเอง เขาก็เหลือบมองคังวูจินผ่านกระจกมองหลังอีกครั้ง

‘เขาคิดจะไปแสดงครั้งแรกที่ญี่ปุ่นเหรอ? ญี่ปุ่นก็ดีนะ แค่รู้จักภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียวก็ได้เปรียบกว่านักแสดงคนอื่น ๆ ตั้งหลายเท่าแล้ว โลกของเขาคงเปิดกว้างไปด้วยโอกาสมากมายแน่'

สำหรับนักแสดงแล้ว ภาษาเป็นสิ่งสำคัญ มันไม่ใช่แค่บทสนทนาเท่านั้น แต่การจะเติบโตในระดับโลกนั้นต้องมีความคล่องแคล่วในภาษาต่างประเทศ เมื่อคล่องแล้วอัตราการเติบโตย่อมเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า ซีอีโอชเวซองกุนรู้เรื่องนี้ดี

'ภาษาญี่ปุ่น? มันก็ดีนะ แต่ภาษาอังกฤษก็ยังคงเป็นภาษาที่ดีที่สุดสำหรับนักแสดงอยู่ดี คังวูจินพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่านะ?’

ช่วงเวลานั้น คังวูจินแสร้งทำเป็นอ่านบทภาพยนตร์ เขาขยับนิ้วชี้โดยไม่ให้ใครสังเกต

-ติ๊ก

เขาขยับนิ้วเพื่อแตะที่สี่เหลี่ยมสีดำที่ปรากฏอยู่ข้าง ๆ บทภาพยนตร์

-พรืบ

เหมือนเดิม คังวูจินเข้าไปในมิติว่างเปล่าอันมืดมิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตามปกติ และหันตัวไปเพื่อตรวจสอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีขาวที่ปรากฏอยู่ ไม่มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น เขาเห็นว่ามีสี่เหลี่ยมผืนผ้าเพิ่มขึ้นมาอีกอัน

- [1/บทภาพยนตร์ (ชื่อเรื่อง: สำนักงานนักสืบ) ระดับ A]

- [2/บทละคร (ชื่อเรื่อง: ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล ตอนที่ 1) ระดับ S]

- [3/บทภาพยนตร์ (ชื่อเรื่อง: สถานีโตเกียว) ระดับ C]

ตอนนี้เขายังอ่านคำภาษาญี่ปุ่นไม่ออก แต่ไม่ว่ายังไง คังวูจินก็ฉีกยิ้มออกมา

"มาลองภาษาญี่ปุ่นกันเถอะ"

เขาอยากจะเชี่ยวชาญภาษาญี่ปุ่นต่อจากภาษาอังกฤษแล้ว คิดดูสิว่าใครที่ไหนภายในสองสัปดาห์จะสามารถเชี่ยวชาญสองภาษาได้

จากนั้นเอง

-ติ๊ด

คังวูจินเลือกสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีขาวที่มีภาษาญี่ปุ่นเขียนอยู่ ซึ่งในเวลาเดียวกัน

[“ตรวจพบภาษาใหม่นอกเหนือจากภาษาพื้นฐาน ดำเนินการเรียนรู้ ‘(ภาษาญี่ปุ่น)’ เป็นอันดับแรก”]

เขาได้ยินเสียงผู้หญิงหุ่นยนต์ดังขึ้น

["กำลังเตรียมการอ่าน 'สถานีโตเกียว' ......"]

[“… การเตรียมการเสร็จสมบูรณ์ กำลังเริ่มการอ่าน 'สถานีโตเกียว'”]

สีเทากว้างใหญ่ได้ปกคลุมตัวคังวูจิน

หลังจากนั้นสักพัก เนื่องจากเขาอ่านภาษาญี่ปุ่นในบทได้อย่างคล่องแคล่ว ดังนั้นเขาจึงแทบไม่จำเป็นต้องใช้ล่ามเลย

“มันสุดยอดมากเลยแฮะ”

เนื่องจากเขาอ่านภาษาญี่ปุ่นในบทละครได้อย่างราบรื่น เขาจึงไม่ต้องการนักแปลเลย

'ภาษาญี่ปุ่นที่ได้มา...'

ภาษาญี่ปุ่นคล้ายถูกสลักลงบนตัวตนของคังวูจิน

หลังจากนั้นเอง

เมื่อวานวันที่ 25 มีนาคม วันถ่ายทำละครเรื่อง 'ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล’ ทีมงานและนักแสดงต่างทำงานตามกำหนดอย่างราบรื่น ส่งผลให้คังวูจินต้องรับมือกับการถ่ายทำอย่างหนักหน่วง

“คัต! เอาล่ะ!! คราวนี้เป็นคิวเดี่ยวของคังวูจิน! เราจะเริ่มจากช่วงอก!”

วันนั้นผ่านไปกับการสลับฉากระหว่างรองหัวหน้าพัคและคังวูจินนับสิบฉาก พวกเขาแสดง แสดง แสดง กิน แสดง แสดง  ยกเว้นช่วงพักเบรกสั้น ๆ คังวูจินแทบจะไม่ได้หยุดพักเลย  เขาดูเหมือนเครื่องจักรที่สร้างมาเพื่อการแสดงไม่มีผิด

"เอาล่ะ! ต่อไปเป็นตาของ คังวูจิน! ห๊ะ? คังวูจินอยู่ไหน?!”

“เขากำลังรออยู่ในรถ! ผมจะไปพามาเดี๋ยวนี้ครับ!”

สำหรับนักแสดงหน้าใหม่อย่างคังวูจิน

"คุณคังวูจิน! เตรียมตัวได้แล้วครับ!!”

ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะรู้สึกคลื่นไส้กับความเร็วการถ่ายทำขนาดนี้

‘ได้โปรดช่วยผมด้วยเถอะนะครับ’

ด้วยเหตุนี้ คังวูจินจึงลดการพูดลงไปอีก เขาจะไม่พูดเลยหากไม่ได้ลงแสดง แค่การใบหน้าอันเคร่งขรึมมันก็หนักหนาพออยู่แล้ว แต่ที่จริงมันไม่ใช่แค่คังวูจินเท่านั้นที่เหมือนถูกบังคับให้ต้องเดินทัพ ทีมงานและนักแสดงทุกคนก็ดูเหมือนจะเป็นแบบเดียวกัน

ครู่ต่อมา มีการถ่ายช็อตเดี่ยว ช็อตเต็ม ช็อตมุมกว้าง และอื่น ๆ

“เรียกตัวประกอบหน่อย! ฉากต่อไปเป็นช็อตมุมกว้าง!”

ไม่ว่าจะยังไง PDซงมันวูก็เริ่มถ่ายทำราวกับโดนเข้าสิง  ทว่าตัวเขาไม่ได้ทำมันอย่างหุนหันพลันแล่น

“คัต! รยูจองมิน! แสดงสีหน้าแบบนั้นทำอารมณ์ฉากหายไปหมดเลย มาลองอีกที เอาแค่รอยยิ้มบาง ๆ!”

เขาเป็นผู้กำกับมากประสบการณ์จนสามารถถ่ายทำได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ควบคุมแต่ละฉากด้วยความลึกซึ้ง บางครั้งเขาถ่ายฉากหนึ่งหรือสองฉากแค่เวลาสองชั่วโมงเอง

เวลาผ่านไปอย่างนั้น ราวหนึ่งอาทิตย์

เดือนมีนาคมสิ้นสุดลง เดือนเมษายนเริ่มต้นขึ้น ในวันพุธที่ 1 เมษายน ความเร็วในการถ่ายทำกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น ราวกับว่าพวกเขาอยู่บนรถไฟความเร็วสูง คังวูจินจึงทำได้เพียงอดทน

‘นี่มันไม่มากไปหน่อยเหรอ?'

มันแตกต่างจาก ‘สำนักงานนักสืบ’ อย่างสิ้นเชิง

“โอเค!! ตอนนี้คุณคังวูจินไปเติมแป้งหน่อย!”

การถ่ายทำดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ฉากแล้วฉากเล่าผ่านไป ทีมงานขนาดใหญ่เคลื่อนที่ไปมาตลอด มีฉากสำหรับไปถ่ายทำข้างนอก กลับเข้ามาในกองถ่าย แล้วก็ออกไปข้างนอกอีก สิ่งที่ไร้สาระคือ แม้แต่กำหนดการนี้ก็ยังถูกจัดขึ้นอย่างเร่งรีบ

“คังวูจิน เตรียมพร้อม! อ๋อ มาเติมแป้งให้คังวูจินหน่อย ตรงนี้แหละ!!”

“ได้ค่ะ! ฉันจัดการเอง!”

คังวูจินเทพลังกายพลังใจทั้งหมดที่เขามีไปกับการแสดง

พอลดเสียงน้อยลง เขาก็พอมีแรงให้สามารถคงใบหน้าที่เรียบเฉยของเขาไว้ได้ สำหรับคังวูจินที่เพิ่งเริ่มแสดงเมื่อสองเดือนที่แล้ว กำหนดการที่โหดร้ายนี้เช่นนี้มันแสนสาหัสยิ่ง แต่เขาก็ไม่สามารถบ่นเกี่ยวกับมันได้ เขาไม่สามารถแสดงความอ่อนแอออกมาได้

เพราะสำหรับทุกคน คังวูจินคือนักแสดงสัตว์ประหลาดอัจฉริยะที่แสนบ้าคลั่ง เขามีความภาคภูมิใจในตัวเองสูงมาก ดังนั้นคังวูจินจึงใช้กลโกง นั่นคือมิติว่างเปล่า

-ติ๊ด

เนื่องจากเป็นสถานที่ถ่ายทำ บทภาพยนตร์จึงอยู่ข้างกายเขามาตลอด คังวูจินจิ้มที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำทันทีเมื่อใดก็ตามที่รู้สึกเหมือนนรก ซึ่งเขาไม่ได้ใช้มันในวันแรกของการถ่ายทำเพราะมันวุ่นวายมาก และเขาก็พอมีความมุ่งมั่นอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถเสแสร้งทนไปได้แล้ว ที่นี่มันต่างจากกองถ่ายที่วุ่นวาย มิติว่างเปล่าเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง

แม้ว่ามันจะเป็นอวกาศอันมืดมิดที่ไร้ขอบเขต แต่มิติว่างเปล่านั้นกลับเป็นเหมือนสวรรค์

“ฮ่า–ฉันได้พักแล้ว”

แต่

“น่าเสียดายแฮะที่ฉันนอนไม่หลับ”

เขาไม่สามารถนอนหลับในมิติว่างเปล่าได้ ถึงแม้ว่าคังวูจินจะลองหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่มันกลับไม่สำเร็จเลย ส่วนสาเหตุนั้นยังไม่แน่ชัด มันอาจจะเป็นปัญหาทางจิตใจของคังวูจินเอง หรือเป็นลักษณะเฉพาะของมิติว่างเปล่ากระมัง

“หรือมันเป็นบทลงโทษบางอย่างกัน?”

ในฐานะที่เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างคังวูจิน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจเรื่องนี้ เพราะมิติว่างเปล่ามันแปลกประหลาดสุด ๆ ถึงมันจะนอนไม่ได้ก็ช่างเถอะ คังวูจินคิดในแง่ดี ถึงที่นี่นอนไม่ได้แล้วมันทำไม? ยังไงมิติว่างเปล่าก็คือของสุดยอดอยู่ดี

อีกอย่าง อย่างน้อยเขาก็ขอพักแบบนี้ได้ใช่ไหม?

ถึงแม้จะกำจัดความเหนื่อยล้าออกไปได้ไม่หมด แต่มันก็คงสามารถลดทอนลงไปได้บ้าง แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับตอนนี้ แถมที่นี่ไม่มีอะไรให้เอามาด้วยเลย รวมถึงโทรศัพท์ด้วย  ดังนั้นมันจึงค่อนข้างน่าเบื่อพอสมควร แต่เมื่อเทียบกับกองถ่ายที่เหมือนนรกแล้ว นี่ก็ถือเป็นอะไรที่ดีมาก

“แค่ขอพักสักหน่อย ฉันก็พอใจเกินพอแล้ว”

หลังจากคังวูจินชาร์จพลังงานเสร็จแล้ว เขาก็ตะโกนว่า “ออก!”

เขาเสแสร้งทำเป็น ‘คังวูจิน’ อีกครั้งด้วยท่าทีอันนิ่งเฉย ทว่าในระหว่างที่เกิดอะไรเช่นนี้ขึ้น มันได้มีบางอย่างที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันในหมู่ทีมงาน

“ทำไมคังวูจินดูมีอารมณ์ดีจัง? สภาพร่างกายเขาดีขนาดไหนกันเนี่ยถึงอึดได้ขนาดนี้? ปกติแล้วไม่ว่าใครก็ต้องล้าสิถ้าเจอการถ่ายทำโหดขนาดนี้”

“นั่นสิ แม้แต่นักแสดงนำยังมีง่วงบ้างเลย ดูเหมือนว่าคังวูจินจะมีความอดทนอย่างมากเลยแฮะ ฉันไม่เคยเห็นเขาครางโอดโอยเพราะเหนื่อยเลย ฝีมือการแสดงของเขาก็ยอดเยี่ยมเสมอไม่มีตกสักนิดเดียว”

“เขาคงเกิดมาพร้อมกับความอึดล่ะมั้ง เขาสมบูรณ์แบบเกินไปแล้วไหมเนี่ย? ทุกครั้งที่ฉันเห็นคังวูจิน ฉันก็อดคิดไม่ได้เลยว่าทำไมเขาเพิ่งมาเริ่มแสดงตอนนี้?”

ไม่ว่าจะอย่างไร ทีม 'ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล’ ก็ยังคงเร่งความเร็วในการถ่ายทำมากขึ้นไปอีก แม้กระทั่งทีม B ก็ยังเข้ามาร่วมด้วย ส่งผลให้ทุกอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เมื่อทีมB เข้ามา ตอนนี้พวกเขาจึงสามารถถ่ายทำได้ 20 คัตต่อวัน แทนที่จะเป็นแค่ 10 คัต

เหมือนกับว่า PDซงมันวูได้กลายเป็นสองคนไม่มีผิด

แน่นอนว่าทีม B จะถ่ายทำคัตที่เล็กกว่าและไม่สำคัญมากนัก แต่นั่นก็ถือเป็นการช่วยเหลือที่ช่วยได้มากพอสมควร นักแสดง รวมถึงคังวูจินต่างสลับกันไปมาระหว่างทีมหลักและทีม B เพื่อถ่ายทำต่อไป

เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับกระสุนปืนที่ดีดจากตัวปืน

วันหยุดสุดสัปดาห์สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว และวันธรรมดาที่สองของเดือนเมษายนก็เริ่มขึ้น ประมาณวันที่ 6 เมษายน ผู้กำกับวูฮยอนกูที่ถูกสาปแช่งทุกวันได้สารภาพผิดทุกอย่างที่เขาเคยก่อ

『[พิเศษ] ผู้กำกับวูฮยอนกูจาก ‘ปรมาจารย์’ สู่ ‘ปีศาจ’ “ผมจะใช้ชีวิตเพื่อชดใช้บาปของผม”』

ในช่วงบ่ายวันนั้นเอง ผู้กำกับวูฮยอนกูได้แถลงข่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

“ผมเสียใจจริง ๆ กับเหยื่อและประชาชนทุกคน ผมยังรู้สึกกดดันที่ก่อให้เกิดปัญหากับวงการภาพยนตร์มากมายขนาดนี้ ผมขอโทษครับ”

ด้วยเหตุการณ์นี้ จึงทำให้เห็นว่าเส้นทางอันรุ่งโรจน์ของผู้กำกับวูฮยอนกูได้จบลงแล้ว

และแล้วในวันต่อมา

ทีม 'ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล’  ได้ปล่อยข่าวอย่างเป็นทางการที่ได้รับการยืนยัน

『[ข่าวทางการ]  'ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล' ละครที่ทุกคนรอคอยจะออกอากาศวันแรกในวันที่ 15 พฤษภาคม ออกอากาศทุกวันศุกร์และเสาร์เวลา 22.00 น.』

วันเข้าฉายละครได้รับการยืนยันแล้ว

ผ่านไปไม่กี่วัน ในวันศุกร์ที่ 10 เมษายน

ในตอนเช้ามีคนจำนวนมากมารวมตัวกันในห้องประชุมขนาดใหญ่ มีคนประมาณ 20 คนนั่งอยู่รอบโต๊ะรูปตัวยู ทุกคนเป็นสมาชิกของคณะกรรมการ ‘เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง'

สถานที่นี้เป็นห้องประชุมคณะกรรมการของ ‘เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง'

เพื่อให้สอดคล้องกับประเพณีอันยาวนานของ ‘เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง' สมาชิกคณะกรรมการส่วนใหญ่จึงเป็นผู้สูงอายุ ชายผมสีขาวคนหนึ่งนั่งเป็นประธานที่โต๊ะได้เอ่ยขึ้นว่า

“ตกลงกันเรียบร้อยแล้วสินะ กำหนดจัดงานคือวันที่ 30 เมษายนและตารางงานสำหรับสัปดาห์หลังงานก็ได้รับการยืนยันตามนี้ เริ่มรับสมัครผลงานตั้งแต่วันพรุ่งนี้เลย”

เขาคือประธานกรรมการบริหาร ตำแหน่งสูงสุดในคณะกรรมการ

"เราเตรียมการเสร็จประมาณ 70% แล้วหรือยัง?"

“เรียบร้อยครับ”

"แล้วสถานที่จัดงานล่ะ?”

คําตอบมาจากรองประธานที่นั่งข้างประธาน เขาก็ดูแก่พอสมควร

“โรงภาพยนตร์ศิลปะกรุงโซล ศูนย์ประชุมและนิทรรศการ COEX และสำนักงานใหญ่ของผู้สนับสนุนเรา บวกกับโรงภาพยนตร์อีกหนึ่งหรือสองแห่งที่ยังไม่ตัดสินใจครับ”

“รีบตัดสินใจซะ เราไม่มีเวลาไปกังวลเรื่องพวกนี้อีกแล้วตอนที่เริ่มรับสมัครผลงานเข้ามา”

“เข้าใจแล้วครับ”

“แล้วเรื่องการเชิญกรรมการตัดสินล่ะ?”

คราวนี้คำตอบมาจากหญิงสาววัยรุ่นที่นั่งอยู่กลางโต๊ะ

“เราได้ส่งคำเชิญไปยังผู้กำกับทั้งหมด 10 คน รวมถึงกรรมการจากปีที่แล้วและผู้กำกับหน้าใหม่บางคน แน่นอนว่าเราเชิญผู้กำกับชื่อดังไปด้วยค่ะ”

“รวมถึงผู้กำกับควอนกีแท็กด้วยไหม?”

"ใช่ค่ะ แต่มีที่ว่างหนึ่งว่างไปเพราะเกิดเหตุการณ์กับผู้กำกับวูฮยอนกู"

"อืม ถึงพวกเขาจะไม่โด่งดัง แต่ให้ไปหาผู้กำกับวาไรตี้โชว์หรือผู้กำกับที่รู้จักกันดีมาแทน ให้มี 15 คนเถอะ มีกรรมการเยอะย่อมดีกว่ามีน้อยอยู่แล้ว”

"ค่ะท่านประธาน"

ประธานพูดต่อพลางมองแฟ้มใสบนโต๊ะ

“นอกจากนี้ ให้เพิ่มรายชื่อของนักแสดงที่เป็นกรรมการกิตติมศักดิ์และนักแสดงที่ได้รับเชิญ จำนวนต้องมากกว่าปีที่แล้วด้วย”

ทันใดนั้น ประธานก็นึกขึ้นได้จึงเรียกรองประธาน

"รองประธาน แล้วคําเชิญพิเศษล่ะ? ส่งไปยังผู้กำกับชาวญี่ปุ่นหรือยัง?”

“ครับ ตามที่คุณได้สั่งมา เราได้ส่งแจ้งไปยังทั้งสิ้น 5 คน แต่เรายังไม่ได้รับคําตอบเลยครับ”

“ส่งคำเชิญไปโดยไม่เลือกเถอะ ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับสายศิลปะหรือผู้กำกับสายโฆษณา มันก็คงจะดีมากถ้ามีผู้กำกับระดับปรมาจารย์มาได้อย่างน้อยสองคน แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ เอาผู้กำกับที่ดังปานกลางก็ได้”

หลังจากให้สั่งไปแล้ว ประธานก็ปรบมือทันทีเพื่อดึงดูดความสนใจจากทุกคน

“เอาล่ะ ผมแน่ใจว่าพวกคุณทุกคนรู้เรื่องนี้บ้างแล้ว แต่นับตั้งแต่ปีนี้ เราจะทุ่มเทมากกว่าเดิม การจัดงานจะต้องแตกต่างไปจากปีที่แล้ว เราจะโฆษณาจากเหล่ายูทูปเบอร์กับบีเจ และเชิญคนที่เก่ง ๆ มางานนี้ด้วย งานนี้เราต้องการดึงดูดผู้คนให้มากที่สุด”

จากที่เห็น ประธานดูเหมือนจะมุ่งหวังการปรับโฉมครั้งใหญ่จากปีที่แล้ว

"เรากำลังพิจารณาที่จะขอความเห็นจากนักแสดงชั้นนำที่มาเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์ และเสนอพวกเขาเป็นทูตด้วย เป้าหมายสูงสุดคือการดึงดูดให้ผู้ชมหันมาดูหนังสั้นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางออนไลน์หรือออฟไลน์ก็ต้องหามาให้ได้”

ประธานอธิบายเหตุผลต่ออีกว่า

“ปีนี้สปอนเซอร์เปลี่ยนไป ผู้สนับสนุนคนใหม่ทุ่มเทให้กับงานนี้มาก ข้อกำหนดคือต้องทำให้เทศกาลยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อที่ทางสปอนเซอร์จะได้ประชาสัมพันธ์ตัวเองด้วย”

บริษัทใหญ่ ๆ มักสนับสนุนทีมกีฬาและเทศกาลภาพยนตร์กัน สาเหตุเพราะมันเป็นการโฆษณาแบรนด์ได้ยอดเยี่ยมที่สุด  มันสามารถใช้ตีตราว่าแบรนด์มีภาพลักษณ์สนับสนุนความก้าวหน้าทางวัฒนธรรมได้อีก

“เพราะอย่างนั้นปีนี้จะต้องยิ่งใหญ่กว่าปีที่แล้วให้ได้ เข้าใจไหม? พวกเราทุกคนอย่าทำพลาดกันล่ะ”

ประธานเปลี่ยนเรื่องพูดต่อขณะที่เขาปิดแฟ้มใส

“และทางสปอนเซอร์แนะนำให้เราเพิ่มรางวัลให้กับนักแสดงในปีนี้ด้วย พวกคุณคิดว่ายังไง?”

หัวหน้าทีมคนหนึ่งตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“ผมคิดว่าไม่ใช่ความคิดที่แย่ครับ ด้วยลักษณะของเทศกาลหนังสั้นของเรา มีหลายปีที่ไม่มีรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซึ่งมันมักจะลดทอนความยิ่งใหญ่ของเทศกาลลงมาก”

“ถูกต้อง”

“เมื่อพิจารณาว่าอาจไม่มีเรื่องไหนได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม การเพิ่มรางวัลนักแสดงใหม่สักสองสามรางวัลย่อมสามารถทำให้เทศกาลมีชีวิตชีวามากขึ้น มันจะทำให้ผู้สื่อข่าวมีอะไรได้เขียนด้วย เหมือนเป็นรางวัลรองจากรางวัลใหญ่กลาย ๆ”

“อืม แต่สิ่งที่ผมกังวลก็คือ นักแสดงในหนังสั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงใช่ไหมล่ะ? เราคงไม่ได้คิดจะสร้างสถานการณ์ที่เราต้องมอบรางวัลให้นักแสดงที่ขาดทักษะการแสดงอยู่ใช่ไหม?”

“งั้นเอาเป็นมอบรางวัลให้คนที่แสดงที่ดีที่สุดแล้วกัน ถึงการแสดงมันจะค่อนข้างขาด ๆ เกิน ๆ แต่มันก็เหมือนเป็นการให้กำลังใจสำหรับอนาคต หากพวกเขาได้แสดงมากขึ้น ก็คงจะพัฒนาฝีมือไปบ้างแหละ”

กรรมการส่วนใหญ่ในห้องประชุมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเขา ประธานกรรมการบริหารดูเหมือนจะเห็นด้วยเช่นกัน เขาพยักหน้าช้า ๆ ก่อนที่จะพูดเสริมไปว่า

“ถ้าอย่างนั้นเรามาเตรียมการเพิ่มรางวัลนักแสดงกันเถอะ”

ในเวลาเดียวกัน ภายในห้องตัดต่อ ‘สำนักงานนักสืบ’

กลิ่นแปลกประหลาดโชยอ่อน ๆ อยู่ในห้องตัดต่อ จริง ๆ แล้วมีคนสามคนโทรม ๆ กำลังนั่งอยู่ตรงนั้น

พวกเขาคือ ผู้กำกับชินดงชุนและบรรณาธิการ

สภาพของพวกเขาดูแย่เป็นอย่างยิ่ง มีรอยคล้ำใต้ตาบอกเป็นนัยว่าอดหลับอดนอน หน้าเต็มไปด้วยรอยด่างและผมยุ่งเหยิง  ใช่แล้ว พวกเขาดูเหมือนซอมบี้ แต่สายตาของพวกเขามุ่งไปที่จอภาพเบื้องหน้าเท่านั้น

-แปะ!

บางครั้งพวกเขาก็ใช้อุปกรณ์ตัดต่อ แต่สายตาของพวกเขามุ่งไปที่จอภาพเกือบทั้งหมด แน่นอนว่าบนจอภาพหลายจอนั้น มันกำลังฉายภาพหนังสั้นเรื่อง ‘สำนักงานนักสืบ’

มันถูกเล่น ถอยหลัง เร่งไปข้างหน้า และหยุด

ส่งผลให้ คังวูจิน ตัวเอกบนหน้าจอมีสภาพค่อนข้างแปลก อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของผู้กำกับชินดงชุนกลับเต็มไปด้วยความจริงจัง แม้ว่าเขาจะดูโทรม แต่ดวงตาของเขากลับมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน

“ยืดเสียงนิดหน่อย ตรงนั้น”

“ได้ครับ”

บรรณาธิการก็เช่นกัน นำโดยผู้กำกับชินดงชุน พวกเขาสามคนเคลื่อนไหวไปมาอย่างกลมกลืนกัน ผลลัพธ์ที่ได้คือคุณภาพของ ‘สำนักงานนักสืบ’ ที่แสดงบนจอภาพนั้นดีขึ้นเป็นอย่างยิ่ง

เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง

บรรณาธิการคนหนึ่งกดปุ่มบนเครื่องตัดต่อ

– ตึง!

เสียงนั้นดูเหมือนจะเป็นสัญญาณหยุด ในขณะเดียวกัน ด้านหลังบรรณาธิการที่นั่งเคียงข้างกันผู้กำกับชินดงชุนได้ถอนหายใจยาว ๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดาน ปิดหน้าด้วยมือทั้งสองข้าง เสียงถอนหายใจยาว ๆ ผสมกับความโล่งใจได้เล็ดลอดออกมาจากปากของเขา

“เสร็จเสียที”

บรรณาธิการที่นั่งข้าง ๆ เขาเห็นด้วยกับความรู้สึกนั้น  พวกเขาลุกขึ้นจากเก้าอี้และตะโกนทันที

“เสร็จแล้ว!!!”

“เฮ้อ!  เสร็จแล้ว เสร็จแล้ว!”

"ฮ่าฮ่าฮ่า! ผู้กำกับ คุณพยายามมาหนักมากเลยนะ!!”

“ใช่! ผู้กำกับ! คุณพยายามหนักจริง ๆ !”

และแล้วมันก็จบลง การตัดต่อหนัง ‘สำนักงานนักสืบ’ ที่เริ่มต้นตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมก็เสร็จสิ้นในวันนี้ที่ 10 เมษายน ใช้เวลาร่วมเดือน

“เปล่าหรอก พวกคุณสองคนต่างหากที่พยายามมาหนัก ขอบคุณมากจริง ๆ นะ”

ด้วยเหตุนี้ ตอนนี้หนังสั้นเรื่อง 'สำนักงานนักสืบ’ ก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว ผลงานที่คังวูจินมีความรักและผูกพัน...แน่นอนว่ามันเป็นความเข้าใจผิดไปเองของผู้กำกับชินดงชุน แต่เขาก็ไม่รู้เรื่องนั้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที

"ผมต้องบอกเขาให้ได้ คุณคังวูจินหลงใหลมันมาก เขาจะต้องดีใจแน่’

เขาต้องบอกให้คังวูจินให้ทราบให้ได้ เกี่ยวกับเรื่องผลงานการแสดงนำเรื่องแรกของเขาที่ถูกสร้างเสร็จแล้ว

*****

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay , ลงแบบราคาถูกแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับ หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิก กระซิก ;-;

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด