ตอนที่ 111 กฎบ้านกฎเมือง แต่ถ้าล้ำเส้นมากข้าก็จะเป็นศัตรูกับทั้งอาณาจักรให้ดู! (อ่านฟรี 23/11/2567)
“เจ้า! เฮอะ! ก็แค่คนไร้หัวนอนปลายเท้าที่มาอาศัยแผ่นดินอาณาจักรของราชวงศ์อยู่อาศัย จะไม่รู้จักข้าก็ไม่แปลก” ฟ่านปิงเหอชี้หน้าอีกฝ่ายก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความโมโห
“อา.. แล้วมีธุระอะไรรึเปล่า ?” เย่ซีแคะหูด้วยใบหน้าเบื่อหน่ายพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ
ทำไมถึงมีแต่พวกโง่เง่าแบบนี้มาหาเรื่องบ่อยจังนะ หรือช่วงนี้จะดวงซวยกัน ? ต้องหาวัดหรือให้พระทำพิธีให้รึเปล่า...
จะว่าไปในโลกใบนี้จะมีวัดไหมนะ ? แต่ก็เคยเห็นผู้ฝึกตนที่เป็นหลวงจีนอยู่นี่นา ข้าคงต้องลองหาข้อมูลดูสักหน่อยแล้วมั้ง
“ข้าได้รับคำสั่งให้มาพาตัวเจ้าไปสอบปากคำ จงไปกับข้าแต่โดยดี” ฟ่านปิงเหอกล่าวออกมาด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง
“ข้าจะเชื่อได้ยังไงว่าเจ้าไม่ได้โกหกข้า ?” ชายหนุ่มถามกลับไป แต่ในใจของเขาก็กำลังครุ่นคิดว่ามีเหตุผลอะไรที่ทางการถึงต้องการนำตัวเขาไปสอบปากคำกัน ? เขาก็ไม่ได้ทำเรื่องร้ายแรงอะไรนี่นา
“นี่คำเอกสารจากทางการ เจ้าจงรับไว้ซะ ในอาณาจักรนี้ไม่มีผู้ใดกล้าปลอมแปลงเอกสารหรอกถ้าไม่อยากเป็นศัตรูกับทางราชวงศ์” ฟ่านปิงเหอยื่นซองเอกสารที่ปิดผนึกตราของราชวงศ์ให้กับชายตรงหน้า หลังเย่ซีได้รับเขาก็เปิดอ่านดูก็พบว่าเป็นดังที่ชายตรงหน้ากล่าวมาจริง ๆ
ทางการต้องการสอบถามเขาถึงบางเรื่องเกี่ยวกับที่ดินแห่งนี้ จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่และทหารตรงหน้ามาเชิญตัวเขา ชายหนุ่มจึงเข้าใจได้ไม่ยาก แต่มันก็มีบางสิ่งที่ขัดใจเขาอยู่เช่นกัน
“แล้วทำไมพวกเจ้าต้องขับไล่ลูกค้าของข้าออกจากร้าน แถมยังจะยึดสิ่งของภายในร้านของข้าด้วยกัน ? มันไม่มีแจ้งเตือนอยู่ในจดหมายฉบับนี้สักนิด” หลังอ่านจบเย่ซีก็กล่าวออกมาด้วยความคาใจ
“ข้าก็แค่จะนำสิ่งของเหล่านี้ไปตรวจสอบก็เท่านั้น เลยทำการกันผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกไป” ฟ่านปิงเหอตอบกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขาโกหกด้วยความเคยชินเป็นนิสัยไปแล้ว
ความจริงแล้วเขาแค่เห็นว่ามีลูกค้าที่เป็นผู้ฝึกตนระดับสูงหลายคนมาร้านแห่งนี้ นั่นแสดงว่าสิ่งของเหล่านั้นต้องมีค่าอย่างมาก ถ้าเขาใช้ข้ออ้างยึดพวกมันไปได้แล้วแบ่งกับคนในหน่วยตรวจสอบทีหลังก็จะจบปัญหาเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
เสียดายก็แค่มีพวกมนุษย์แมวมาขัดขวางไว้ก่อนก็เท่านั้น
“อืม งั้นก็ไปกัน ข้าก็อยากจะฟังเหตุผลดี ๆ จากทางการเช่นกันว่าส่งคนต่ำช้าเช่นเจ้ามาหาข้าเช่นนี้ต้องการอะไรกันแน่” เย่ซีเผาจดหมายทิ้งก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
ใจจริงเขาก็อยากจะจัดการเรื่องนี้อย่างสันติเสียก่อน เพราะเขาอยู่ในแผ่นดินบ้านเมืองของผู้อื่น การทำตามกฎบ้านกฎเมืองย่อมเป็นตัวเลือกที่ควรกระทำ
แต่ถ้าหากอีกฝ่ายข่มเหงเขามากจนเกินไป เขาก็พร้อมที่จะลุกขึ้นสู้ ถึงแม้ว่านั่นจะหมายถึงการเป็นศัตรูกับทั้งอาณาจักรแห่งนี้ก็ตาม!
“เจ้า! กล้าทำลายจดหมายจากทางการเลยรึ ?? เจ้าคิดจะก่อกบฏรึไง ?” ฟ่านปิงเหอชี้นิ้วใส่หน้าเย่ซีด้วยร่างกายที่โกรธจนสั่นเทา แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย เขาเพียงเป่าเศษขี้เถ้าเหล่านั้นใส่หน้าอีกฝ่ายจนสำลักก่อนจะหัวเราะออกมา
“กรอดด จะลงดีใช่ไหม!” ฟ่านปิงเหอในตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ เขาแทบจะคุมสติตัวเองไม่อยู่เมื่อเจอการยั่วยุเช่นนี้จากฝ่ายตรงข้าม
เหล่ากองทหารต่างพากันชักอาวุธออกมาเตรียมตัวต่อสู้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ชอบในสิ่งที่ฟ่านปิงเหอทำแต่พวกเขาก็ต้องทำตามหน้าที่
ทางฝั่งมนุษย์แมวที่อีกพวกทหารชักอาวุธออกมาก็พากันกางกรงเล็บรวมถึงปล่อยพลังปราณออกมาอย่างรุนแรง ทำให้กองทหารและฟ่านปิงเหอถึงกับหน้าถอดสี เพราะพวกเขาไม่คิดว่ามนุษย์แมวท่าทางไร้พิษสงเช่นนี้จะมีระดับการฝึกตนที่สูงกว่าพวกเขาเสียอีก
ครึ่งหลัง
“อะ..อะ...พวกเจ้าจะทำอะไรกัน!?” ฟ่านปิงเหอกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงติดขัด เขาพยายามข่มความกลัวเอาไว้ไม่แสดงมันออกมา
แปะ แปะ แปะ
“เอาล่ะ! พอได้แล้ว พาข้าไปสักทีอย่าเสียเวลามากไปกว่านี้เลย” เป็นเย่ซีที่ปรบมือออกมาก่อนจะสลายแรงกดดันทั้งหมดไป เขากล่าวออกมาพลางยิ้มให้อีกฝ่าย
“อะ..อืม เจ้าตามข้ามา” ในเวลานี้ฟ่านปิงเหอแทบจะอยากหนีไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าเขารู้มาก่อนว่าชายตรงหน้าแข็งแกร่งขนาดนี้เขาจะไม่มีวันแสดงพฤติกรรมแบบนี้ออกมาเลย
ถึงขนาดสลายพลังปราณของมนุษย์แมวเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย ต้องมีพลังปราณที่แข็งแกร่งขนาดไหนกัน ?!
...
หลังจากที่เย่ซีเดินทางตามพวกฟ่านปิงเหอและกองทหารมาจนถึงหน้าศาลายุติธรรม ศาลายุติธรรมเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่กินเนื้อที่หลายหมู่ ภายในมีหน่วยงานต่าง ๆ มากมายที่ทำหน้าที่แตกต่างกันไป
“เจ้าคือเย่ซีใช่หรือไม่ ?” ภายในห้องแคบ ๆ แห่งหนึ่งซึ่งมีเจ้าหน้าที่อยู่เต็มไปหมด มีชายร่างสูงใหญ่หนวดดกดำผู้หนึ่งกำลังซักถามชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งอยู่
“อืม แล้วเจ้ามีธุระอะไรล่ะ ?” ชายหนุ่มตอบกลับไป เขามาเพียงคนเดียวเพราะต้องให้เยี่ยหลิงเฝ้าร้านเอาไว้
ถึงแม้นางจะกล่าวขอร้องให้พามาด้วยแต่ชายหนุ่มก็มองว่าการมาแค่นี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แถมฟิชก็ยังเห็นด้วยอีกต่างหาก ดังนั้นจึงมีเพียงเยี่ยหลิงคนเดียวที่ไม่เห็นด้วยกับการปล่อยให้ชายหนุ่มต้องตามพวกทหารมาเพียงลำพัง
และเพราะความคิดที่แตกต่างกันนี่แหละจะเป็นชนวนของความเข้าใจผิดอันยิ่งใหญ่ในอนาคตเลยทีเดียว...
“งั้นข้าจะเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน เจ้าร่วมมือกับหน่วยหิมะครามในการคดโกงงบประมาณของแผ่นดินใช่หรือไม่ ?” ชายหนวดดกดำทำเสียงเคร่งขรึมพลางกล่าวออกมา
“....” เย่ซีที่ได้ยินก็ไม่ได้ตอบอะไรไป
“พูดไม่ออกเลยสินะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าการโกงกินแผ่นดินมีโทษหนักขนาดไหน! อย่างหน่วยหิมะครามก็อาจโดนลงโทษทางวินัยกองทัพหนักเสียหน่อย แต่เจ้าที่เป็นตัวต้นเหตุและเป็นเพียงคนนอก... อย่างต่ำต้องถูกเนรเทศ! หรืออาจถูกประหารชีวิตก็ได้!” ชายหนวดดกดำที่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมพูดจาก็ยิ่งได้ใจ กล่าวข้อกฎหมายออกมาไม่หยุด
เย่ซีที่ได้ยินก็ถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก ที่เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเป็นเพราะกำลังคิดอยู่ว่าเขาไปร่วมมือกับหน่วยหิมะครามตอนไหน ลำพังพบเจอกันก็เพียงแค่ครั้งเดียว แถมยังไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงใส่ความเขามากมายขนาดนี้กัน
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ากับหัวหน้าหน่วยหิมะครามเพียงพบกันแค่ครั้งเดียวด้วยความบังเอิญก็เท่านั้น” ชายหนุ่มที่เห็นว่าถ้าไม่พูดอะไรเสียบ้างคงโดนใส่ร้ายไม่หยุดจึงกล่าวออกมา
“สามหาว! กล้าโกหกต่อหน้าท่านเจ้าหน้าที่สอบสวนเลยรึ ?” แต่แล้วก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
พอเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใครคิ้วของเย่ซีก็ถึงกับกระตุกขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด นี่มันจะบังเอิญมากเกินไปหรือเปล่า ? หรือเขาควรจะหาทางกำจัดอีกฝ่ายไปให้จบ ๆ จะดีกว่านะ
การทำตัวเป็นคนดีมันยากลำบากเสียจริง ยิ่งใจดีก็ยิ่งมีพวกแมลงหวี่แมลงวันมาคอยก่อกวนอยู่เรื่อย ถ้าไม่แสดงอะไรออกมาเสียบ้างก็คงจะไม่สำนึกเป็นแน่
“เป็นเจ้าอีกแล้วเรอะ! เจ้าแก่!”
ถูกต้องแล้ว! เจ้าของคำกล่าวแสนโอหังเมื่อสักครู่ก็คือโจวชือ คนดีคนเดิม นั่นเอง!