ตอนที่ 18 หายไปไหน?!
ตอนที่ 18 หายไปไหน?!
พบเห็นเด็กหนุ่มเผยสีหน้าอยากจะร้องไห้แต่ไม่อาจหลั่งน้ำตา มุมปากของเจียงโม่หลีจึงกระตุก
“มีปัญหางั้นหรือ?”
“ข้าจะกล้ามีปัญหากับศิษย์พี่หญิงเจียงได้อย่างไรเล่า” จี้เตี๋ยปฏิเสธทันควัน
“ไม่กล้าหรือว่าไม่มีกันแน่?”
พบเห็นรอยยิ้มที่ตอบรับ แผ่นหลังของจี้เตี๋ยถึงขั้นต้องหลั่งเหงื่อกาฬเย็นเยือกขณะร้องบอกออกมา
“ทั้งไม่กล้าและไม่มีขอรับ!”
“จริงหรือ? เหตุใดข้ารู้สึกไม่เชื่อกันนะ?” เจียงโม่หลียกมุมปากขณะเผยนาคาอัคคีเลื้อยพันรอบปลายนิ้ว
“ฟ้าดินเป็นพยาน ตะวันจันทราเป็นผู้พิสูจน์ ทุกคำกล่าวที่ข้าบอกต่อศิษย์พี่หญิงเจียงนั้นมาจากก้นบึ้งเลยขอรับ!” จี้เตี๋ยเร่งร้อนสาบาน
เจียงโม่หลีที่ได้ยินเกิดความรู้สึกแคลงใจ เพียงแต่นางคร้านจะซักถามต่อ ด้วยเหตุนี้จึงสลายนาคาอัคคีที่ปลายนิ้วและเดินกลับไป
“ดูแลนาคาวารีทมิฬของข้าให้ดี ไว้มีเวลาข้าจะกลับมาตรวจสอบ อย่าให้รู้เชียวว่าเจ้ากล้าทำร้ายมันอีกเป็นครั้งที่สอง”
จี้เตี๋ยเร่งร้อนตอบรับ “ศิษย์พี่หญิงเจียงวางใจได้ขอรับ ข้าจะดูแลมันอย่างดีเลย!”
เจียงโม่หลีเพียงแค่เดินไปต่อโดยไม่ได้ตอบกลับคำใด ย่างก้าวของนางเงียบงันเหมือนตอนมา แสดงออกว่านางไม่คิดเอ่ยถึงเรื่องราวเก่าก่อนตามที่รับปากเอาไว้
“ในที่สุดก็ไล่นางกลับไปได้สักที” จี้เตี๋ยรู้สึกโล่งอกขณะหันไปมองเจ้างูดำพลางรู้สึกยินดีกับตนเอง เขาตกรางวัลเป็นผลยกวิญญาณให้แก่มันก่อนจะออกจากโรงนาไปพลางฮัมเพลง
“ศิษย์พี่จี้ เหตุใดศิษย์พี่หญิงเจียงแวะมาอีกแล้ว? หรือว่านางสนใจอะไรในตัวท่าน?” อู๋ฮั่นเดินเข้ามาพลางกระซิบกระซาบสอบถาม
“พูดอะไรไร้สาระ!”
จี้เตี๋ยต้องกระแอมไอเสียงแห้งตอบกลับ “เพียงแต่เจ้ามีสายตาที่ดี แต่จงรู้เอาไว้ พบเห็นสิ่งใดไป ห้ามบอกต่อผู้อื่นเป็นอันขาด!”
“ทราบขอรับ!” อู๋ฮั่นขยิบตาให้ “ศิษย์พี่หญิงเจียงมีชื่อเสียงโด่งดังในฝั่งใต้ มีคนนับหน้าถือตาให้แก่นางมากมาย หากทราบว่าศิษย์พี่หญิงเจียงกำลังชอบพอกับท่านเข้าให้ คิดว่าปัญหาคงวิ่งเข้าหาศิษย์พี่จี้อย่างไม่ต้องสงสัย ข้ารับปากจะไม่บอกใครขอรับ”
อู๋ฮั่นตบหน้าอกตนเอง ท่าทีราวกับบอกว่าให้เชื่อมั่นได้ว่าความลับนี้จะถูกเหยียบไว้จนมิด
“ถ้ารู้ก็ดีแล้ว” จี้เตี๋ยยิ้มตอบก่อนจะเตะก้นอีกฝ่าย ทว่าไม่ช้าก็ต้องหยุดล้อเล่นพลางเอ่ยถาม “เจ้าอยู่สำนักเจ็ดลึกล้ำมานานแค่ไหนแล้ว? คล้ายจะทราบอะไรไม่น้อยเลยทีเดียว”
“เจ็ดปีแล้วขอรับ” อู๋ฮั่นแสดงท่าทีเขินอาย
“เจ็ดปี… ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้จักจางเฟิงหรือไม่?” จี้เตี๋ยเอ่ยถาม เพราะก่อนหน้านี้เจียงโม่หลีกล่าวว่าจางเฟิงเป็นคนทรยศ ไม่ใช่ว่าเขาคิดอยากช่วยสำนักล้างแค้น เพียงแค่คิดอยากทราบว่ามันเกิดเรื่องราวใด
“ไม่ทราบขอรับ…”
อู๋ฮั่นส่ายศีรษะก่อนจะแสดงความสงสัยออกมา “ข้าไม่เคยได้ยินนามเช่นนั้นในฝั่งใต้มาก่อน ศิษย์พี่จี้รู้จักเขาหรือขอรับ?”
“ข้าไม่ได้รู้จัก แต่เคยได้ยินมาเลยอยากสอบถาม” พบเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ทราบ จี้เตี๋ยก็ไม่ซักถามอะไรอื่นอีก เขาเพียงแค่บอกลาก่อนจะกลับห้องตนเองไปฝึกฝน ทิ้งไว้เพียงอู๋ฮั่นที่ยืนมองแผ่นหลังพลางถอนหายใจ
“ศิษย์พี่จี้ฝึกฝนอย่างหนักโดยแท้ ไม่แปลกใจเลยที่ประสบความสำเร็จก้าวหน้าด้วยอายุเท่านี้ เราไม่ควรอิจฉาเลยแม้แต่น้อย”
แน่นอนว่าจี้เตี๋ยไม่ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ เพราะเขาปิดประตูบ้านเดินเข้าไปด้านในเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กระทั่งว่าฝึกฝนต่อเนื่องจนกระทั่งถึงช่วงฟ้ามืด ก่อนจะลักลอบออกไปยังสถานที่เมื่อวานโดยเงียบงัน ภายหลังใส่ผลไม้ลงหม้อทองแดงเพื่อยกระดับมันแล้ว เขาจึงเริ่มการฝึกฝนต่อ
ขณะระดับการฝึกตนของเขาเพิ่มสูงขึ้น ความเร็วการสกัดพลังจากผลยกวิญญาณก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เพียงหนึ่งค่ำคืน เขาสามารถใช้ผลยกวิญญาณได้ถึงสามสิบเอ็ดผล มันเป็นจำนวนที่มากกว่าคืนก่อนอยู่ระดับหนึ่ง
ระดับการฝึกตนของเขาเอง ก็กำลังเข้าใกล้การกลั่นลมปราณขั้นที่ห้ามากขึ้น
“จะว่าไปแล้ว วันพรุ่งนี้เป็นวันอาบน้ำทำความสะอาดคอกสัตว์ หวังว่าไอ้เจ้านั่นจะไม่มาสร้างปัญหาอะไรอีก…” วันถัดมา จี้เตี๋ยที่ให้อาหารงูดำเรียบร้อยจึงเดินออกมาจากโรงนาขณะเผยท่าทีราวกับรำพึงรำพัน
ก่อนจะทันรู้ตัว เขาก็มาอยู่ที่สำนักเจ็ดลึกล้ำเกินกว่าครึ่งเดือนเสียแล้ว
และตัวเขาในปัจจุบันก็ก้าวหน้ามากกว่าตนเองเมื่อครึ่งเดือนก่อนอย่างไม่อาจเทียบได้
แม้ว่าช่วงเวลานี้จะเอาแค่ฝึกฝนการควบคุมให้วัตถุลอยเพื่อสร้างรากฐานการฝึกตน แต่ทุกวันที่ผ่านไปก็หมายถึงความก้าวหน้าทีละน้อย
ปัจจุบันเขาเกือบจะไปถึงการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่จุดสูงสุดแล้ว
ขณะกำลังถอนหายใจอยู่นั้น ชายหนุ่มใบหน้าเปรอะเปื้อนคนหนึ่งพลันเดินเข้ามาชนกระทบไหล่ จนเป็นเหตุให้จี้เตี๋ยต้องขมวดคิ้ว
ชายหนุ่มใบหน้าเปรอะเปื้อนราวตระหนักเห็นความไม่พอใจ เวลานี้จึงเร่งร้อนเอ่ยคำ “ขออภัยขอรับ ขออภัยศิษย์พี่จี้ขอรับ เมื่อครู่ข้าใจลอยเกินไป!”
“ไม่เป็นไร!” จี้เตี๋ยไม่ได้โกรธ เพียงแต่หรี่ตามองแผ่นหลังอีกฝ่ายที่เดินจากไป
“เหอเฉียง!”
อีกฝ่ายคือเหอเฉียง เป็นบุคคลที่น่าจะเคยแอบย่องมาสอดส่องด้านนอกบ้านของเขาเมื่อวานนี้
จี้เตี๋ยมองอีกฝ่ายอยู่หลายครั้งขณะลอบสำรวจ เพียงแต่สุดท้ายก็ปล่อยผ่านและกลับบ้านตนเองไปฝึกฝนต่อ จนกระทั่งถึงช่วงบ่ายเขาจึงออกมาที่สวน
หึ่ง หึ่ง! เสียงหึ่งของผึ้งดังขึ้นรอบด้าน กระทั่งว่ามีส่วนหนึ่งเข้ามาหาตัวเขา
“ข้าไม่ใช่ดอกไม้!” จี้เตี๋ยยิ้มตอบก่อนจะส่งพลังวิญญาณปะทุข่มขวัญพวกมันกระเจิง ถัดจากนั้นเขาจึงเดินไปยังโรงนา เทตะกร้าผลไม้ สุดท้ายจึงเดินกลับไปบ้าน
ยามเมื่อฟ้ามืด เขาลอบออกจากบ้านไปยังสถานที่อันคุ้นเคยอีกครั้งหนึ่ง
หึ่ง หึ่ง!
ทันใดนี้เองที่เสียงหึ่งดังขึ้นมาให้ได้ยินจากรอบด้าน มันทำจี้เตี๋ยประหลาดใจจนต้องหันไปมอง
“ฤดูกาลเช่นนี้ยังมียุงอยู่ด้วยงั้นหรือ?”
เพียงแต่ไม่ช้าเขาก็ได้ทราบ ว่าพวกมันไม่ใช่ยุง เนื่องจากมีสายตาที่ยอดเยี่ยม เขาจึงสามารถเห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นผึ้ง!
“ผึ้งอีกแล้ว!” จี้เตี๋ยขมวดคิ้ว เขารู้จักผึ้งเหล่านี้ พวกมันถูกเรียกว่าผึ้งท้องทุ่ง ตามปกติแล้วจะออกหากินตอนฟ้าสางและพักผ่อนภายหลังฟ้ามืด
แต่ปัจจุบันที่แม้จะเป็นยามค่ำคืน พวกมันกลับยังออกหาอาหาร
ภายหลังลังเลอยู่ชั่วครู่ จี้เตี๋ยเลือกไม่สนใจขณะมุ่งหน้าไปยังสถานที่เดิมที่ใช้เมื่อคืนก่อน เพียงแต่เรื่องราวแปลกประหลาดเกิดขึ้น ฝูงผึ้งยังคงบินตามเขามา
ตอนนี้เองที่จี้เตี๋ยได้ตระหนักว่ามันผิดปกติจนต้องตัดสินใจหยุดฝีเท้า
“เรื่องนี้มีกลิ่นไม่ชอบมาพากลแล้วสิ” จี้เตี๋ยสำรวจมองผึ้งรอบด้าน ทันใดนี้เองที่เกิดนึกถึงตอนที่ตนเองชนกับเหอเฉียงระหว่างวันขึ้นมาได้
และภายหลังจากนั้น ช่วงบ่ายเขาไปที่สวน พร้อมกับได้พบว่ามีฝูงผึ้งพยายามเข้าหา!
“ถ้ามันทำอะไรกับเราจริง อย่างนั้นมันมีจุดประสงค์อะไร? หรือว่า?!”
จี้เตี๋ยหรี่สายตาลงเล็ก ภายหลังครุ่นคิดได้ไม่นานเขากลับนึกขึ้นได้ ว่าตอนที่ตนยังอยู่หมู่บ้านเหวินเหอ สตรีโฉดชั่วก็คล้ายจะมีแมลงที่สามารถใช้สะกดรอยตามกลิ่นได้!
สัญญาณเตือนภัยพลันร่ำร้องดังในใจของเขา!
ทันใดนี้เอง ที่มีร่างหนึ่งเข้ามาใกล้จากระยะหนึ่งร้อยจ้างอย่างเชื่องช้า
“เลือกมาสถานที่รกร้างผู้คนเช่นนี้ นับว่าฉลาดเลือกหลุมฝังศพให้ตนเองดี” อีกฝ่ายคือชายหน้าม้า ที่ด้านหน้ามีแมลงบินนำทางมา มันคล้ายกับผึ้งที่มีความสามารถในการสะกดรอย
“สถานที่นี้ออกห่างจากพื้นที่โรงนาแล้ว ในเมื่อกล้ามาสถานที่เช่นนี้ในยามค่ำคืน ก็เตรียมกลายเป็นผีเฝ้าที่ได้เลย”
ชายหน้าม้าตามแมลงนำทางมา จนกระทั่งเข้าใกล้จี้เตี๋ยและหยุดยืนตรงหน้า สีหน้าท่าทีเวลานี้ราวกับแน่ใจแล้ว ว่าจี้เตี๋ยมีความลับที่เก็บซุกซ่อนเอาไว้
เวลานี้เองที่แมลงตรงหน้าอีกฝ่ายหยุดนิ่งและคลานกลับเข้าไปด้านในแขนเสื้อ
“อยู่แถวนี้งั้นหรือ?” ชายหน้าม้าสำรวจมองรอบด้าน ก่อนจะได้พบเห็นโขดหินขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าตนเอง
“ซ่อนอยู่หลังก้อนหินงั้นหรือ ไอ้หนู ทุกสิ่งที่แกมีต้องตกเป็นของข้า!”
ชายหน้าม้าเผยดวงตาแห่งความละโมบออกมา ย่างก้าวของเขาไร้ซุ่มเสียงขณะเคลื่อนเข้าไปใกล้ด้านหลังของโขดหิน
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน ใบไม้รอบด้านส่งเสียงเสียดสีสั่นไหว ชายหน้าม้ากำลังเดินไปด้วยความระแวดระวังขณะเข้าใกล้โขดหินมากขึ้น
เขาแทบจินตนาการถึงสีหน้าสิ้นหวังของจี้เตี๋ยที่ตนกำลังจะได้พบเจอในอีกไม่ช้า
แต่ขณะย่องเข้าไปใกล้โขดหิน เขากลับได้พบว่ามันไม่มีใครอยู่ หากมีก็เพียงแค่เสื้อผ้าชุดหนึ่ง
“หายไปไหน!”
ขณะเขากำลังชะงักงันอยู่นั้นเอง หมัดเพรียวบางพลันพุ่งเข้ามาปะทะจากด้านข้าง