ตอนที่ 17 ป่วยจิต งานอดิเรกซ่อนเร้น
ตอนที่ 17 ป่วยจิต งานอดิเรกซ่อนเร้น
มันเป็นช่วงกลางดึกที่ฟ้าราวกับถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแห่งดวงดาว
พื้นที่โรงนา จี้เตี๋ยแอบย่องออกมาจากบ้านกลางดึกเพื่อค้นหาพื้นที่ว่าง ถัดจากนั้นจึงสำรวจมองรอบด้าน
เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้คือสิ่งย้ำเตือน ว่าพื้นที่โรงนาไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว เขาจะต้องไม่นำเอาผลยกวิญญาณออกมาใช้ในพื้นที่โรงนาอีก และเรื่องของหม้อทองแดงยิ่งต้องเหยียบเอาไว้ให้มิด
แม้ว่าความเร็วการฝึกตนแบบนี้จะถือว่าช้ากว่า แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
ภายหลังสำรวจมองจนแน่ใจว่ารอบด้านไม่มีใคร จี้เตี๋ยจึงเดินไปยังโขดหินใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล เพื่อนำหม้อทองแดงออกมา ยกระดับผลยกวิญญาณ และเริ่มการฝึกฝนส่วนตัว
ด้วยการฝึกฝนปัจจุบันของเขา การใช้ผลยกวิญญาณหนึ่งผล หากเทียบกับการใช้งานครั้งแรก จะเหลือผลลัพธ์เพียงแค่หนึ่งในสาม และอันที่จริงแล้ว ยิ่งเขาใช้งานมันมากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยิ่งอ่อนลงมากเท่านั้น
เพียงแต่จี้เตี๋ยแทบจะมีผลยกวิญญาณให้ใช้งานได้ไม่จำกัด
การที่เขาจะก้าวสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่ห้าเมื่อไหร่ มันก็แค่ขึ้นอยู่กับเวลา!
ภายใต้แสงจันทร์ จี้เตี๋ยนั่งขัดสมาธิอยู่หลังโขดหินใหญ่ ขณะใบหูคอยสดับรับฟังการเคลื่อนไหวรอบด้าน เผื่อว่ามีใครเข้ามาใกล้เขาจะได้ตระหนักรู้โดยทันที
ปัจจุบันเป็นช่วงฤดูหนาว รอบด้านจึงเงียบสงัด หากจะมีเสียงอะไรก็คงเป็นสายลมยามค่ำคืนและใบไม้ที่เสียดสี
จี้เตี๋ยตั้งสมาธิกับการสกัดพลังจากผลยกวิญญาณเพื่อยกระดับการฝึกตน ท่ามกลางสายลมเย็นยามค่ำคืนและชุดศิษย์สำนักสีเขียวที่พลิ้วไหว ร่างที่เคยบอบบาง ปัจจุบันมีใบหน้าที่สง่างามและหล่อเหลายิ่งกว่าครั้งแรกที่เข้าร่วมสำนักเจ็ดลึกล้ำ
จนกระทั่งเกือบฟ้าสาง จี้เตี๋ยจึงหยุดการฝึกฝนและเดินทางกลับ
“วันนี้สมควรเป็นวันที่ห้าซึ่งตกลงกับศิษย์พี่หญิงเจียงเอาไว้”
ยามฟ้าสาง จี้เตี๋ยกลับมาถึงบริเวณโรงนาโดยไม่มีใครพบเห็น เขากลับเข้าบ้านเพื่อทำการฝึกฝนต่อ จนกระทั่งถึงช่วงเกือบกลางวันจึงเดินออกไปยังบริเวณสวน เพื่อเก็บผลไม้ลงใส่ตะกร้าและเดินไปยังคอกสัตว์
“ศิษย์พี่จี้”
“ศิษย์พี่จี้”
ยามใดพบเจอศิษย์คนอื่นในพื้นที่โรงนา พวกเขาจะส่งเสียงเรียกทักทายด้วยความสุภาพ
ในแง่ของการฝึกตน สิ่งสำคัญอยู่ที่ใครประสบความสำเร็จในการฝึกตนก่อน แม้จี้เตี๋ยเริ่มช้ากว่าใครเพื่อน แต่เขาสามารถสยบงูดำ มันคืออะไรที่เหนือกว่าใครอื่น
จี้เตี๋ยพยักหน้ารับโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก สุดท้ายจึงเดินเข้าไปด้านในพร้อมผลไม้เต็มมือ ทันทีที่ไปถึงหน้าคอกสัตว์หมายเลขที่สิบเอ็ด เจ้างูดำที่สัมผัสถึงตัวเขาได้จึงแลบลิ้นออกมา
ผลไม้ในตะกร้าถูกเทออก เพียงแต่พอเจ้างูดำพบเห็นว่าไม่มีผลไม้ที่ต้องการ มันจึงแลบลิ้นออกมาราวกับต้องการจะสอบถาม
“ชิชะ เจ้างูอัปลักษณ์ ยังอยากกินของดีอยู่งั้นหรือ?! ความคิดหาญกล้าดีนี่!” เพราะวันที่ผ่านมาจี้เตี๋ยไม่ได้ฝึกฝนอย่างสงบใจ เขาจึงคร้านจะรีบกลับไปฝึกฝนหรือทำอะไร ดังนั้นเวลานี้จึงยังไม่จากไปไหน แต่กำลังต่อล้อต่อเถียงเล่นกับงูดำ
ในเมื่อนาคาวารีทมิฬสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องให้ผลยกวิญญาณแก่มันอีกต่อไป นอกจากนี้เขาก็ไม่อาจให้เพราะต้องหลบเลี่ยงสายตาของผู้อื่น
ทันใดนี้เองที่ดวงตาของงูดำเกิดแสดงความอ่อนโยนออกมา เพียงแต่จี้เตี๋ยไม่ได้ตระหนักพบเห็น เขายังคงบ่นต่อ “พูดไปแล้วก็แปลก แกอัปลักษณ์ขนาดนี้ ตอนแรกก็นึกว่าเจ้าของจะอัปลักษณ์หรือป่วยจิตเหมือนกัน ผู้ใดกันคาดคิด…”
หญิงสาวในชุดแดงเพลิงปรากฏตัวและยืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม นางที่ได้ยินถ้อยคำครบถ้วน เวลานี้มุมปากถึงขั้นกระตุก
“ผู้ใดกันคาดคิดว่าอะไร?” เสียงอ่อนโยนและเจื้อยแจ้วประหนึ่งวิหคเอ่ยถาม
“ผู้ใดกันคิดว่านางจะเป็นสตรีโฉมงามเช่นนั้น? ข้ากระทั่งนึกสงสัยว่าหรือที่จริงแล้วภายในป่วยจิตแอบซ่อน หรือบางทีอาจจะมีงานอดิเรกอะไรซุกซ่อนเอาไว้ เหมือนน่าจะชอบอะไรแบบนั้นด้วยสิ” จี้เตี๋ยที่มองเจ้างูดำกำลังกินผลไม้ไปพลาง พอได้ยินคำถามจากทางด้านหลัง เป็นเหตุให้โพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัว
ภายหลังพูดออกมาหมด เขาชะงักไปชั่วครู่ขณะคิดว่าไฉนเสียงฟังดูคุ้นเคย และเหมือนจะเป็นเสียงของศิษย์พี่หญิงเจียง…
“คงไม่บังเอิญขนาดนั้นมั้ง…”
แผ่นหลังของจี้เตี๋ยเริ่มหลั่งเหงื่อกาฬออกมา สุดท้ายเร่งร้อนหันกลับไปมอง ยามพบเห็นสตรีด้านหลังในชุดสีแดงเพลิงผู้ครอบครองใบหน้าอันงดงามทว่าเย็นเยือก ความหวังสุดท้ายในใจของเขาพลันต้องมอดดับ
‘บ้าฉิบ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงเดินมาถึงตัวอย่างไร้ซุ่มเสียงได้ขนาดนี้กัน!!’
“ไม่พูดต่อหรือ?” เจียงโม่หลียกมุมปากขึ้น
“คารวะศิษย์พี่หญิงเจียงขอรับ”
จี้เตี๋ยผู้หลั่งเหงื่อแทบท่วมหน้าผาก เขาแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจว่านางพูดถึงอะไร เวลานี้จึงเร่งร้อนยกยอ
“ศิษย์พี่หญิงเจียงเดินไปมาว่องไวเงียบสงัดยิ่งนัก ข้านึกนับถือจากใจจริงขอรับ…”
“หากว่าไม่ใช่เพราะฝีเท้านี้ ข้าคงไม่ทราบว่าตนเองเป็นคนป่วยจิตและมีงานอดิเรกลักซ่อน” เจียงโม่หลีเลิกคิ้วด้วยท่าทีเรียบเฉย สีหน้าและท่าทีไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกใด
“แค่ก แค่ก” ยามได้ยินคำประชดประชัน จี้เตี๋ยถึงกับต้องกระแอมไอออกมาพร้อมเผยรอยยิ้มขออภัย “ศิษย์พี่หญิงเจียง ข้าก็เพียง… แค่… แค่… แค่กล่าวไปเรื่อยเท่านั้นเอง ท่าน… ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอกขอรับ คิดเสียว่าเป็นเสียงสุนัขเห่าหอนหรือนกกาอะไรก็ว่าไป อย่าได้ใส่ใจเลยขอรับ”
เจียงโม่หลีจับตามองด้วยสายตาเย็นเยือก ถัดจากนั้นจึงขยับสายตามองไปทางนาคาวารีทมิฬในคอกโดยเลิกสนใจเด็กหนุ่ม
เมื่อครู่นางได้พบ ว่านาคาวารีทมิฬได้ทะลวงการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่สำเร็จแล้ว เวลานี้จึงประหลาดใจ
นางไม่อาจทราบว่าจี้เตี๋ยทำอะไร ดังนั้นสายตาจึงขยับมาจับจ้องเด็กหนุ่ม
จี้เตี๋ยนึกว่านางโกรธเพราะคำพูดเมื่อครู่ของตน เขาแทบอยากจะตบปากตนเองหลายต่อหลายครั้งพร้อมต่อว่าปากตนเองที่ไม่มีหูรูด
เพียงแต่เจียงโม่หลีกลับถามคำถามอื่น
“ผลไม้อีกอย่างที่เมื่อครู่เจ้าพูดถึงคืออะไร?”
‘เหมือนว่าสตรีนางนี้จะมาถึงเร็วกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก บ้าฉิบ นางน่าจะอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ต้น แต่กลับเลือกเงียบรอดักฟังงั้นหรือ ไร้มารยาทซะจริง…’
เพียงแต่จี้เตี๋ยไม่กล้าพูดออกมา เขาทำได้เพียงแค่ก้มศีรษะลงให้ต่ำ สมองกำลังครุ่นคิดอย่างเร็วรี่ สุดท้ายจึงหัวเราะและเอ่ยคำ “ศิษย์พี่หญิงเจียง เรื่องนี้ออกจะซับซ้อนอยู่บ้าง มันเริ่มครั้งแรกที่ข้ามาเยือนสำนักเจ็ดลึกล้ำ…”
“เอาเนื้อ ไม่เอาน้ำ”
“ข้าบังเอิญได้พบผลไม้ชนิดหนึ่งอยู่ใกล้เคียงและดูน่าอร่อย ดังนั้นเลยลองเอามาใช้เป็นอาหารให้เจ้างูดำ แต่ข้าไม่นึกว่ามันจะชอบถึงขนาดนั้น เพราะแบบนั้นครั้งนี้เลยลองเปลี่ยนประเภทมาให้มันดูบ้างขอรับ”
พบเห็นเจียงโม่หลีจ้องมองตนเองไม่วางตา จี้เตี๋ยยังคงมีท่าทีสงบไม่เผยพิรุธ เพียงแต่ภายในกำลังร้อนรุ่ม เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะถามต่อ ว่าผลไม้ที่ว่าคืออะไร
เขาไม่อาจนำออกมาให้นางรับชมได้
โชคดีที่เจียงโม่หลีคล้ายจะไม่สนใจประเด็นนี้ ภายหลังสำรวจมองเด็กหนุ่มอยู่พักหนึ่งจึงถามต่อ “การฝึกตนของนาคาวารีทมิฬทะลวงถึงขั้นที่สี่สำเร็จแล้ว เจ้า… ทำได้ยังไงกัน!”
จี้เตี๋ยเร่งร้อนครุ่นคิดว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร แท้จริงเขาก็ทราบตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว ว่าพอถึงวันนี้อีกฝ่ายจะต้องถามออกมาอย่างแน่นอน
“ศิษย์พี่หญิงเจียงรู้จักจางเฟิงหรือไม่ขอรับ?” จี้เตี๋ยเงยหน้าขึ้นมามอง
“จางเฟิง? คนทรยศนั่นงั้นหรือ? เหตุใดถึงถามออกมา” เจียงโม่หลีขมวดคิ้ว เพราะนางไม่ทราบว่าเด็กหนุ่มถามทำไม
คนทรยศ… จี้เตี๋ยที่ได้ยินคำนี้เข้าจึงชะงักงัน และเขาก็ไม่กล้าถามด้วยว่าคนทรยศหมายความถึงอย่างไร สิ่งที่เขาบอกออกไปก็เพียงแค่เรื่องราวที่ได้พบจางเฟิง ภายหลังจึงได้รับถุงมิติมา และเพราะเหตุนั้นเขาจึงได้พบกับศิษย์ของสำนักเจ็ดลึกล้ำจนถูกนำพามายังที่นี่
“ภายในถุงมิติของชายคนนั้นมียาวิเศษอยู่จำนวนหนึ่ง ข้านำออกมาให้เจ้างูดำนี่กิน ไม่นึกเลยว่าระดับการฝึกตนของมันจะก้าวหน้าไปถึงการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่” จี้เตี๋ยเผยท่าทีจริงจังขณะกล่าวออกมาโดยไม่เผยพิรุธ
เพียงแต่ไม่ทราบว่าเจียงโม่หลีเชื่อหรือไม่ สายตาที่ราวกับหงส์อมตะของนางจ้องมองมาขณะขมวดคิ้วครั้งแล้วครั้งเล่า
“ศิษย์พี่หญิงเจียง ท่านกล่าวว่าหากข้าช่วยเจ้างูดำนี่ทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ ท่านจะให้อภัยกับสิ่งที่ข้าเคยกระทำ…” จี้เตี๋ยเอ่ยคำออกมาด้วยความคาดหวัง
“ข้ากำลังพิจารณาสิ่งที่เคยพูดเอาไว้ตอนแรกอีกครั้งหนึ่ง” เจียงโม่หลีตอบ
“…” ศิษย์พี่หญิงเจียง ท่านจะทำแบบนี้ไม่ได้!!