บทที่ 38 เสเพล (4)
[ขออภัยครับ ตอนยาวมาก ไว้วันนี้ช่วงเย็นมาต่ออีก 6 ตอนถึงนะครับ]
บทที่ 38 เสเพล (4)
สายตาของรองหัวหน้าพัคจ้องมองยูจีฮยองอย่างสงบ นิ่งเฉย เปรียบเสมือนทะเลสาบยามเช้าที่ปกคลุมไปด้วยหมอก มันมีอาการสั่นไหวอยู่บ้าง แต่ไร้ความรู้สึกและดูลึกลับซับซ้อน
ทว่าแววตานั้น มันกลับแฝงความรุนแรงและอันตรายเอาไว้
ไม่ใช่ความก้าวร้าว แต่ก็น่ากลัวพอที่จะทำให้เกิดความหวาดกลัว การจ้องมองเข้าไปในดวงตาเบื้องลึกนั้นเหมือนกับการถูกดูดกลืนเข้าไปหลุมลึกไม่รู้จบ ยิ่งพยายามดิ้นรน ยิ่งรู้สึกว่ามันลึกและไม่มีที่สิ้นสุด
แววตาของรองหัวหน้าพัคเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้องสอบสวนไปสิ้นเชิง
คำพูดร้อยคำก็ไม่จำเป็น เพียงแค่การสบตาเพียงครั้งเดียว บุคลิกภาพของรองหัวหน้าพัคก็ปรากฎอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ ยูจีฮยองหรือรยูจองมินที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาเกือบจะอุทานออกมาโดยไม่ตั้งใจ
‘นายช่างเป็นคนที่ไร้ก้นบึ้งจริง ๆ เลยนะ’
เขารู้สึกชื่นชมต่อสัตว์ประหลาดอัจฉริยะนักแสดงที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขามาก
‘นายถึงขั้นแสดงแววตาที่ประหลาดขนาดนั้นออกมาได้ในเวลาอันสั้นแบบนี้ได้ยังไงกัน? นายฝึกฝนและขัดเกลาตัวเองเพียงลำพังมานานแค่ไหนกันเนี่ย?’
ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงชั้นนำหรือในฐานะยูจีฮยอง รองหัวหน้าพัคในเวลานี้ก็ควรค่าแก่การชื่นชมยิ่ง ต่อให้เขาจะเป็นศัตรูหรือนักแสดงหน้าใหม่ อีกฝ่ายก็ถือได้ว่ายอดเยี่ยมเหลือล้น รยูจองมินเข้าใจได้ในทันทีเพราะคู่ต่อสู้ของเขาคือคังวูจิน ไม่สิ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเข้าใจเช่นนี้
นั่นคงเป็นพลังพิเศษเฉพาะตัวของคังวูจินกระมัง
เขาเคยเห็นมันมาแล้วตอนอ่านบทละคร การแสดงที่ละเอียดละออ สามารถกลืนกินทุกคนเข้าไปในตัวละครนั้นได้ มันมีชีวิตชีวาราวกับว่าเขาทำให้ตัวละครมีชีวิตขึ้นมา ความสามารถรอบด้านที่เหนือกว่าวิธีการ ช่างน่าเสียดายที่ทางรยูจองมินเองไม่มีสิ่งเหล่านั้นอยู่เลย
เพราะอย่างนั้น…
‘ต้องมุ่งสมาธิและมองตรงเข้าไปในดวงตาของเขา’
รยูจองมินตั้งใจแน่วแน่ เขาอยู่ในระหว่างสงครามที่ไร้เสียง ไร้การสื่อสาร ตอนนี้เขาถอยหลังไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะยูจีฮยอง มันคือภาพตัวละครที่เขาวาดขึ้นมาเอง
‘ลุยล่ะนะ’
ยูจีฮยองมองตรงเข้าไปในดวงตาแปลกประหลาดของรองหัวหน้าพัค
‘ฉันไม่สนใจดวงตาที่กลวงของนายหรอก เพราะงั้นเอาเลย โกรธมากขึ้นกว่านี้สิ’
“อุ๊บ”
ยูจีฮยองหัวเราะเบา ๆ หลังจากหลุดคำสั้น ๆ ออกมา
“ขอโทษนะ ผมคงพลาดไปที่พูดอะไรไม่สมควรแบบนั้น”
“……”
น้ำเสียงของเขาอยู่ระหว่างการเยาะเย้ยและการขอโทษอย่างจริงใจ แต่รองหัวหน้าพัคกลับไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรมากนัก ทว่าเพราะการกระทำนี้ มันจึงเป็นครั้งแรกที่ทางรองหัวหน้าพัคคิดว่ายูจีฮยองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นศัตรู
อืม แกเก่งนิดหน่อย คงไม่ใช่แค่หุ่นเชิดทั่วไปสินะ
รองหัวหน้าพัคเม้มริมฝีปาก
“เปล่าเลย เรื่องที่คุณพูดถึงน้องสาวของผมที่ฆ่าตัวตายเป็นเรื่องจริง มันไม่มีอะไรผิดเสียหน่อย”
ความเงียบปกคลุมไปประมาณ 10 วินาที ยูจีฮยองและรองหัวหน้าพัคต่างจ้องหน้ากันอย่างนิ่งงัน ความเงียบถูกทำลายลงเมื่อPDซงมันวูลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน เขาตะโกนเสียงดัง
“คัต!! โอเค!!”
ด้วยเหตุนี้ คังวูจินจึงตกใจมาก
'ฉันตกใจมากจนเกือบจะร้องเรียก "แม่" ออกมาแล้วเนี่ย'
โชคดีที่เขาสามารถควบคุมสติตัวเองไว้ได้ ทันใดนั้นPDซงมันวูก็ตะโกนอีกว่า
“เยี่ยม ดีมาก! ทั้งคู่เล่นได้สุดยอดเลย!”
หลังจากโยนโทรโข่งทิ้งไป เขาก็วิ่งตรงไปที่ห้องสืบสวน
“นี่มันอะไรกัน? พวกคุณทั้งคู่ฟาดฟันกันตั้งแต่คัตแรกเลยเหรอ??!”
ผู้กำกับอย่างPDซงมันวูได้ยกนิ้วโป้งให้กับนักแสดงทั้งสองคนอย่างกระตือรือร้น ใบหน้าของเขามีความรู้สึกยินดีเหลือล้น มันคุ้มค่ากับการมากำกับมาก แม้จะเป็นละครฟอร์มยักษ์ แต่ฉากเมื่อครู่ก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในการแสดงที่ดีที่สุดเลย ฉากแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้กำกับจะได้เห็นกันบ่อย ๆ
‘ฮ่าฮ่าฮ่า! ก็เพราะแบบนี้ไงฉันเลยเลิกกำกับไม่ได้เสียที??!’
ขณะเดียวกัน ทางทีมงานหลายสิบคนที่รวมตัวกันอยู่ที่กองถ่าย
“...บ้าไปแล้วหรือเปล่าทั้งสองคนนั่นมันอะไรกัน?”
“ฉันก็ว่างั้น ฉันนึกว่าตัวเองจะหายใจไม่ออกและตายไปแล้วซะอีก”
“ทำไมการแสดงมันถึงได้สุดยอดขนาดนั้นตั้งแต่เริ่มถ่ายทำเลยล่ะ?”
ทีมกำกับ ทีมถ่ายทำและคนอื่น ๆ ต่างก็ปิดปากตัวเองหรือพ่นคำพูดอันเต็มไปด้วยความตกใจออกมา ไม่มีใครอยากจะเชื่อภาพการแสดงที่พวกเขาเพิ่งเห็นเลย
“คุณเห็นการแสดงด้วยสายตาครั้งสุดท้ายของคังวูจินไหม? มันทำให้ผมขนลุกจริง ๆ ถ้าเราถ่ายแบบใกล้ ๆ ฉันว่าผู้ชมคงจะหวาดกลัวมากเลยว่าไหม?”
“รยูจองมินก็ทำได้ดีเหมือนกัน ราวกับทั้งคู่กำลังต่อสู้ทางจิตวิทยากันอยู่เลย ว้าว บรรยากาศของบทละครมันจะสุดยอดเกินไปแล้ว”
ความตื่นเต้นของทีมงานนั้นเข้าใจได้ เพราะมันเป็นฉากแรกในวันที่แรกของการถ่ายทำ และความเจ็บปวดที่พวกเขาอดทนเตรียมไว้นั้นดูเหมือนจะถูกชะล้างออกไปด้วยฉากเดียว
ทำไมน่ะเหรอ?
“ถ้าขนาดเรายังคิดแบบนี้ตอนดู พวกผู้ชมจะคิดยังไงกันนะ? พวกเขาคงจะถูกดึงดูดเข้าไปสู่โลกของละครเรื่องนี้เลยหรือเปล่า??”
เพราะพวกเขารู้สึกคาดหวัง ทีมงานหลายสิบคนที่กองถ่ายต่างมาทำงานเพื่ออยากให้ผู้ชมได้หลงใหลในละครของพวกเขากันอยู่แล้ว
ในขณะเดียวกัน ห้องพักนักแสดงก็คึกคักเช่นกัน
ทีมของรยูจองมินต่างชื่นชมนักแสดงของพวกเขาและคังวูจิน ทางด้านทีมของคังวูจินก็ไม่ต่าง ซีอีโอชเวซองกุนยืนกอดอกและยิ้มกริ่มออกมา
'คังวูจิน เขาอาจจะกลายเป็นนักแสดงอันดับหนึ่งในเวลาที่สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ก็เป็นได้ ไม่สิ มันอาจจะเร็วมากเลยก็ได้'
จางซูฮวานผู้จัดการรถประจำทางคนใหม่ และฮันเยจองผู้เป็นสไตลิสต์ก็แทบจะปิดปากไว้ไม่อยู่
"อะไรเนี่ย? จะบ้าตาย การแสดงของคังวูจินมันยอดเยี่ยมอะไรขนาดนี้?!! ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว”
“···ใช่ จริง ๆ ด้วยค่ะ ฉันเคยเห็นนักแสดงชั้นนำมากมายจากทีมของพี่ฮงฮเยยอน แต่คังวูจินคนนี้แสดงได้เก่งจริง ๆ”
ณ จุดนี้เอง PDซงมันวูในกองถ่ายก็กำลังบรีฟนักแสดงทั้งสองอย่างเร่งรีบ เขาต้องการรักษาระดับอารมณ์และบรรยากาศของตอนนี้เอาไว้
“มาลองอีกครั้งกันดีกว่าครับ เอาแบบเดิมเลย แต่ผมจะขอถ่ายภาพมุมใหม่ หลังจากนั้นเราจะมาตัดฉากเดี่ยวเข้าด้วยกัน”
ในละครและภาพยนตร์ ฉากต่าง ๆ จะถูกถ่ายทำจากหลายมุมและหลายคัต คนสองคนอาจจะดูเหมือนกำลังพูดคุยกันอยู่ แต่แท้จริงแล้วมันอาจเป็นฉากคนเดียว ฉากถ่ายสองคน ฉากทูช็อตที่เอาเข้ามาเรียงติดกัน
ส่วนสาเหตุที่ทำเช่นนี้ ก็เพื่อแสดงให้ผู้ชมเห็นถึงสีหน้าของตัวละคร จะได้ลดความเบื่อหน่ายหรือเพิ่มความตึงเครียดให้กับละครมากขึ้น
ซึ่งการถ่ายทำก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
“เริ่ม-แอคชั่น!”
ช็อตเดี่ยวของรยูจองมินได้เริ่มขึ้น
“คัต โอเค! งั้นตอนนี้คุณคังวูจิน!”
ช็อตเดี่ยวของคังวูจินเริ่มตามไป
กล้องถ่ายจากด้านบนและด้านหลังตัวละครเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีกล้องอื่น ๆ อีกมากมาย บ่งบอกได้ถึงความทะเยอทะยานของPDซงมันวูเลย แม้แต่คัทที่ไม่อยู่ในสตอรี่บอร์ดก็ถูกเพิ่มเข้ามาอีก แน่นอนว่าสิ่งนี้คงจะช่วยเพิ่มคุณภาพของละครเรื่องนี้พอสมควร
'ว้าว พวกเขาถ่ายทำขนาดนี้เลยเหรอ?'
สำหรับคังวูจินที่เพิ่งเคยสัมผัสละครเรื่องใหญ่เป็นครั้งแรก มันรู้สึกประหลาดมาก
“ฉันจะตายหลังจากถ่ายละครเรื่องนี้ไหมนะ?”
การถ่ายทำเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเองนะ...
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ภายในห้องสอบสวน รองหัวหน้าพัคและยูจีฮยองประจันหน้ากัน มุมปากของรองหัวหน้าพัคยกขึ้น แต่เขาไม่ได้มีความสุขอยู่เลย เขามองไปที่ยูจีฮยองด้วยสายตาที่เย็นชา แต่ไม่ได้มองแค่เขาเท่านั้น
เขากำลังพิจารณาถึงทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงเรื่องของยูจีฮยองด้วย
รองหัวหน้าพัคกลอกดวงตาสีคล้ำของเขาไปมา มองยูจีฮยองที่กำลังถือปากกาอยู่ ขนาดมันค่อนข้างยาวเลย ฉันควรจะแทงคอแกด้วยสิ่งนั้นดีไหมนะ? ตอนนี้มือของฉันว่างพอดีเลย ฉันควรจะทุบหัวมันด้วยเก้าอี้ไหม? ทุกวินาที หัวใจของรองหัวหน้าพัคเย็นลง แต่สมองของเขากลับทำงานเร็วขึ้น
ภายในหัวเต็มไปด้วยจิตสำนึกที่ผิดเพี้ยน แต่มันกลับดูใจเย็นและมีเหตุผล
“……”
นิ้วมือของรองหัวหน้าพัคสั่นเล็กน้อย แรงผลักดัน ความปรารถนา ราคะ ความโลภ ความรู้สึกเหล่านี้แพร่กระจายไปทั่วร่างกายของรองหัวหน้าพัคและไปถึงบริเวณท่อนล่าง รองหัวหน้าพัคเริ่มรู้สึกตื่นเต้น
ความตื่นเต้นของสัญชาตญาณดิบ
อ่า ท่าทางของหมอนี้เป็นยังไงเมื่อความตายอยู่ตรงหน้านะ? ในตอนนั้นเอง โลกในสายตาของรองหัวหน้าพัคกลับมีสีสันสดใสขึ้นมา แน่นอนว่ามันเป็นแค่สิ่งที่เขาเห็นอยู่คนเดียวเท่านั้น
ทุกสิ่งรอบกายล้วนกลายเป็นสีเทาหมด
มีเพียงแค่เส้นดำ ๆ ที่วาดเป็นรูปร่างของคน และใบหน้าที่ไร้ซึ่งสีสัน แต่รองหัวหน้าพัคต้องอดทนอดกลั้นมันไว้ เขาต้องปิดบังความรู้สึกนั้น ทำให้มันเหมือนแค่เขากำลังมองไปที่ยูจีฮยอง
จากนั้นเอง ยูจีฮยองก็ยิ้มและยื่นมือออกมา
“ไม่ครับ ไม่ครับ ผมควรจะขอโทษจริง ๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก เพราะมันเป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่แล้ว รวมถึงเรื่องน้องสาวของผมด้วย ยังไงซะ มนุษย์ทุกคนเวลาถูกสับเป็นชิ้น ๆ แล้วมันก็เหมือนกันหมดไม่ใช่เหรอ? ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสับในแฮมเบอร์เกอร์หรือมนุษย์ แท้จริงแล้วมันก็ไม่มีความแตกต่างกันเลย”
“โอ้ น่ากลัวจัง”
“ผมแค่พูดเล่นเฉย ๆ”
ราวกับรอคอยจังหวะนี้อยู่ ยูจีฮยองโน้มตัวไปข้างหน้า เห็นได้ชัดว่ารองหัวหน้าพัคกำลังเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงต้องการควบคุมสถานการณ์นี้เอาไว้
“ที่นี่ในห้องสอบสวน คุณดูสบายใจจังนะครับ ทำไมคุณถึงดูสบายใจขนาดนั้นเหรอครับ?”
“ก็ผมต้องสุภาพกับคุณนักสืบ ผมเคารพพวกเขา ผมคิดว่าพวกเขาเข้าใจผม ดังนั้นผมย่อมต้องรู้สึกสบายใจอยู่แล้ว”
“ถ้างั้นการฆาตกรรมมันทำให้รู้สึกสบายใจด้วยงั้นเหรอครับ?”
เพื่อตอบคำถามนี้ รองหัวหน้าพัคประสานมือของเขาเข้าด้วยกัน ท่าทางนี้ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคำพูดของเขา เป็นเหมือนวิธีการแสดงถึงความจริงจังของคำตอบ
“การฆ่าคนมันยากนะครับ มันไม่ง่ายเลยที่จะสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่สมบูรณ์แบบ คนอื่น ๆ น่ะไม่รู้กันหรอก พวกเขามักจะพูดจาอะไรออกมาส่งเดช พวกเขาว่าผมเลวทราม สมควรตาย โทษประหารคือคำตอบ”
“นั่นมันก็เป็นสิ่งที่คนทั่วไปเขาพูดกันแหละ”
“แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็หมดความสนใจไปหลังจากสองวันเอง ตอนนี้คงกำลังคิดกันอยู่ว่าจะกินอะไรเป็นอาหารกลางวัน? เรื่องแบบนั้นต่างหากที่สำคัญกว่า ดังนั้นแล้วการฆาตกรรมเองมันจึงยาก แต่หากทำบ่อย ๆ ก็จะคุ้นชินไปเอง ตอบแบบนี้พอจะเป็นคำตอบในคำถามคุณได้หรือยังครับ?”
รองหัวหน้าพัคยิ้มและใช้นิ้วชี้เคาะไปที่แฟ้มหนา ๆ ที่วางอยู่ตรงหน้ายูจีฮยอง
“ข้อมูลของผมอยู่แฟ้มนี้เหรอ? ในนั้นมีอะไรกันนะ?”
เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ยูจีฮยองรู้ทันที เขาจึงได้ยอมรับคำท้าและโจมตีอีกฝ่ายกลับไป
“อยากรู้ทุกอย่างไหมล่ะครับ? แน่นอนว่ามันมีเรื่องของคุณน้องสาวด้วยนะ”
“เรื่องพวกนั้นกับตัวตนผมตอนนี้มันช่วยอะไรได้? คุณต้องเข้าใจผมต่างหากถึงจะจับตัวคนร้ายตัวจริงได้”
พอเห็นรองหัวหน้าพัคได้กลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง ยูจีฮยองจึงถอนหายใจยาวและเปิดแฟ้มเอกสารราวกับมันเป็นเรื่องน่ารำคาญ ทว่าสายตาของเขายังคงจับจ้องท่าทางและแววตาของรองหัวหน้าพัค
“โรคไซโคพาธ มองแวบแรกคุณอาจถูกตัดสินว่าเป็นโรคไซโคพาธ แต่ในความเห็นของผม คุณดูเหมือนจะเป็นประเภทที่ผสมกับโซซิโอพาธมากกว่า แม้ใจร้อน แต่ก็วางแผนเป็นระบบ ควบคุมอารมณ์ได้ขึ้นอยู่กับศัตรูและสถานการณ์สินะ? นั่นเป็นเหตุผลที่คุณเชี่ยวชาญในการฆาตกรรมหรือเปล่าครับ?”
“อืม?”
“โดยปกติแล้ว โซซิโอพาธจะต่างจากโรคไซโคพาธ มันมักจะแสดงออกมาเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เขาเติบโต ดังนั้นผมจึงตรวจสอบชีวิตของคุณอย่างละเอียด มันค่อนข้างเหนื่อยหน่อย เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผมทำเป็นประจำ”
“…”
ยูจีฮยองค่อย ๆ พลิกหน้ากระดาษ
“พ่อของคุณติดการพนันและสุรา และทุกวันคุณคงต้องเผชิญกับความรุนแรงใช่ไหม? นี่เป็นเรื่องปกติทั่วไปอยู่แล้ว เป้าหมายของพ่อคุณไม่ใช่คุณ แต่เป็นแม่และน้องสาวของคุณต่างหาก อาจจะเป็นพวกเธอสองคนที่ปกป้องคุณอย่างสุดชีวิตสินะครับ?”
“เปล่าสักหน่อย การรังแกคนอ่อนแอมันเป็นเรื่องสามัญสำนึกต่างหาก”
“แต่น้องสาวของคุณทนไม่ไหว เธอเลยฆ่าตัวตายตอนมัธยมปลาย”
พอพลิกหน้าอีกหน้า
“แม่ของคุณเสียชีวิตทันทีเมื่อพ่อขี้เมาของคุณชนเสาไฟฟ้า ที่นั่นมันเป็นถนนเปลี่ยวเปล่าตอนกลางคืน ไม่มีคนเดินหรือรถยนต์ สันนิษฐานว่าคุณแม่น่าจะถูกบังคับให้ขึ้นรถ พ่อของคุณไม่ได้ตายทันทีแต่เสียชีวิตตรงนั้น ผลลัพธ์คือปิดคดีไปโดยบอกว่าเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์”
แม้ชีวิตของเขาจะถูกพูดออกมา แต่รอยยิ้มบาง ๆ ก็ยังคงประดับบนใบหน้าของรองหัวหน้าพัค ยูจีฮยองถอนหายใจเบา ๆ และคาบบุหรี่เข้าปาก
“แต่เมื่อผมตรวจสอบบันทึกเหตุการณ์ในตอนนั้นอย่างละเอียด มีบางอย่างแปลกประหลาดเกิดขึ้น โชคชะตากำหนดให้แม่ของคุณเสียชีวิตทันทีในรถ แต่พ่อของคุณคลานออกมาก่อนจะเสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีร่องรอยการต่อสู้เล็กน้อยด้วย”
“…”
“เอาเถอะ มันเป็นคดีเก่าแล้วและไม่มีหลักฐานเหลืออยู่ ดังนั้นจึงปิดคดีไปตามนั้น แต่แปลกจริง ๆ นะครับ ในวินาทีแห่งความสับสนนั้น เขากำลังต่อสู้กับอะไรกัน?”
ทันใดนั้น ยูจีฮยองโน้มตัวเข้าหารองหัวหน้าพัคที่อยู่อีกด้าน
“คุณเป็นโรคไซโคพาธตั้งแต่แรกแล้ว และจากการที่ได้สัมผัสชีวิตที่เลวร้าย คุณจึงเพาะบ่มแนวโน้มของโซซิโอพาธขึ้น ตอนนั้นคุณกำลังทำอะไรอยู่งั้นเหรอครับ?”
เขาชี้นิ้วชี้ไปที่รองหัวหน้าพัค
“ความสนุกสนานในการเป็นฆาตกรต่อเนื่องได้ถูกปลุกเร้าโดยพ่อของคุณใช่ไหมครับ? มันไม่ใช่ห้าคดีฆาตกรรม แต่เป็นหกคดีต่างหาก”
ทันใดนั้น สีหน้าของรองหัวหน้าพัคก็แปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว ดวงตาของเขาเหมือนก้อนหินไม่เคลื่อนไหว เพียงแค่จ้องตรงไปยังใบหน้าของยจีฮยองที่เข้ามาใกล้ อารมณ์ของรองหัวหน้าพัคพลันทวีความรุนแรงมากขึ้น
แววตาของรองหัวหน้าพัคสลดลงทันที
เขาเหลือบมองไปยังปากกาที่ยูจีฮยองเหน็บไว้ระหว่างแฟ้มเอกสาร สักพักสายตาของเขาก็กลับมาเต็มไปด้วยความขบขันอีกครั้ง รองหัวหน้าพัคกระซิบเบา ๆ บอกกับยูจีฮยองไปว่า
“คุณรู้ไหมว่าผลงานทั้งหมดของผมที่โลกรู้จัก คุณคิดว่ามันมีแค่นั้นเหรอ?”
น้ำเสียงของรองหัวหน้าพัคเบาลงกว่าเดิม
“นี่คุณยังคิดว่ามันมีคดีไหนที่คุณทำยังไม่ถูกเปิดโปงอีกงั้นเหรอครับ?”
ตอนนั้นอง เขาได้ยิ้มออกมาและคว้าคอเสื้อของยูจีฮยองอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ มันเป็นการกระทำที่จงใจ มันคือการแสดง
“ไอ้บัดซบ!!!”
บรรยากาศในห้องสวนสอบเริ่มตึงเครียด สาเหตุที่ทำเช่นนี้เพราะเขาต้องการออกไปจากที่นี่ นักสืบกรูเข้ามาควบคุมตัวรองหัวหน้าพัคและใส่กุญแจมือให้เขาอีกครั้ง รองหัวหน้าพัคขัดขืนอย่างรุนแรงจนกระทั่งเขาถูกดึงตัวออกไปจากห้องสวนสอบ
สิ่งที่น่าสนใจคือ...
ตึก ตึก
ทันทีที่เขาออกมาที่ทางเดิน การต่อสู้ขัดขืนของเขาก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ยิ่งไปกว่านั้น รองหัวหน้าพัคยังเอ่ยขอโทษต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมตัวเขาอีกด้วย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงบ
“ผมขอโทษที่สร้างความวุ่นวายครับ”
“···อะไรเนี่ย??”
ในตอนนี้เอง กล้องหลักได้ทำการซูมภาพใบหน้าของรองหัวหน้าพัคใกล้ ๆ ซึ่งทางด้านรองหัวหน้าพัคผู้ก้มหัวลงเล็กน้อยยังคงยิ้มแย้มและคิดถึงยูจีฮยองพลางพึมพำกับตัวเอง
จิตใจของรองหัวหน้าพัคเต็มไปด้วยภาพราง ๆ ของพ่อตนเองที่กำลังดิ้นรนขัดขืน
“เขาละเอียดรอบคอบจริง ๆ เขาหาเจอได้ยังไงกันนะ?”
ในขณะเดียวกัน
ชายคนหนึ่งที่กองถ่ายกำลังเฝ้าดูการแสดงของรองหัวหน้าพัค เขาไม่อาจปิดบังความประหลาดใจของเขาได้เลย
‘นั่น… นักแสดงคนนี้เขาไม่ใช่เด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเมื่อเช้านี้หรอกเหรอ?'
เขาคือผู้กำกับควอนกีแท็กผู้มากฝีมือ เจ้าของฉายาจอมปิดบังใบหน้า เขารู้สึกสับสนตั้งแต่นักแสดงที่รับบทเป็นรองหัวหน้าพัคเดินเข้ามาในฉากห้องสวนสอบเป็นครั้งแรก อีกฝ่ายเป็นนักแสดงหน้าใหม่คนนั้นที่มองไปยังสตูดิโอด้วยความตื่นตะลึง เหตุใดเขาถึงสามารถเข้าฉากร่วมกับรยูจองมินได้กันล่ะ?
ทำไมกัน? ทำไมเด็กใหม่โนเนมคนนั้นถึงได้ถูกวางตัวให้เข้าฉากร่วมกับรยูจองมิน?
ในฐานะผู้กำกับ ควอนกีแท็กไม่เข้าใจเลย นักแสดงหน้าใหม่คนนั้นแต่งหน้าจัดเต็ม เตรียมชุดอย่างสมบูรณ์แบบ และมีแม้กระทั่งกล้องเดี่ยวของตนเอง ไม่ว่าจะมองอย่างไร ใบหน้าของเด็กใหม่คนนั้นก็เป็นใบหน้าที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในวงการ
‘หรือว่า… เขาเป็นเด็กเส้นจากบริษัทใหญ่?’
มันเป็นเรื่องปกติในวงการนี้ที่จะผลักดันนักแสดงที่ไม่เป็นที่รู้จักร่วมกับดาราดัง ดังนั้นผู้กำกับควอนกีแท็กจึงคิดเช่นี้ แต่ไม่นานความคิดนั้นก็เปลี่ยนไป 180 องศา
‘รยูจองมินกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้โดนกลบรัศมี เด็กใหม่คนนี้มันอะไรกัน?’
เขาคงไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวประกอบแน่ สัตว์ประหลาดอัจฉริยะที่ทำให้นักแสดงอันดับต้น ๆต้องดิ้นรนขนาดนี้ได้ เป็นแค่โนเนมแต่กลับสามารถครองหน้าฉากได้ด้วยการแสดงของเขาเพียงลำพัง สิ่งนี้คือความจริงที่ผู้กำกับควอนกีแท็กผู้มากประสบการณ์ไม่สามารถละสายตาจากอีกฝ่ายได้เลย ทั้งหมดนี้แหละเป็นเครื่องพิสูจน์
‘… เด็กใหม่งั้นเหรอ? ไม่ใช่แล้ว การแสดงแบบนั้นมันไม่ใช่ของมือใหม่แน่ แล้วงั้นเขาเป็นใครกันล่ะ? คนที่คลุกคลีกับเวทีละครมาอย่างโชกโชนหรือเปล่านะ?’
ผู้กำกับควอนกีแท็กจ้องมองการแสดงของรองหัวหน้าพัคอย่างตั้งใจ ก่อนจะเรียกผู้ช่วยผู้อำนวยการประจำกองถ่ายมาหา
“เฮ้ ไปสืบมาหน่อยว่าเด็กคนนั้นชื่ออะไร”
"อะไรนครับะ? อ๋อ ได้ครับ ผมก็กำลังจะเช็คเหมือนกัน การแสดงของเขามันสุดยอดไปเลย”
ผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างเดินไปถามทีมงานฝ่ายอื่น ๆ แล้วจึงกลับมาอีกครั้งหลังผ่านไปไม่กี่นาที
"ผู้กำกับครับ"
เขากระซิบบอกกับผู้กำกับควอนกีแท็ก
“นักแสดงคนนั้นชื่อคังวูจินครับ”
“คังวูจินเหรอ?”
“ใช่ครับ”
“เดี๋ยวก่อนนะ คังวูจิน? คังวูจิน...”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้ผู้กำกับควอนกีแท็กทวนชื่อคังวูจินซ้ำไปมา เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก
"ฉันเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนสักแห่ง”
มันเป็นชื่อที่คุ้นเคย ทันใดนั้นความทรงจำหนึ่งก็แล่นเข้าหัว ภาพของผู้กำกับวูฮยอนกูที่ตกอับอยู่ในตอนนี้ได้ปรากฏขึ้นในใจของควอนกีแท็ก
ภาพที่ผู้กำกับวูฮยอนกูกำลังสบถ ภาพตอนที่พวกเขาเจอกันที่ร้านอาหารจีนหรู ๆ ได้ผุดขึ้น
‘ไอ้โนเนมหยาบคายที่ไหนก็ไม่รู้ชื่อคังวูจินได้ปฏิเสธการคัดตัวของฉัน ไอ้สารเลวนั่น ชื่อของมันคือคังวูจิน······’
ทันใดนั้น ดวงตาของผู้กำกับควอนกีแท็กก็เบิกกว้างขึ้น
“อืม โนเนมหยาบคาย?”
เป็นงั้นสินะ แสดงว่าต้องเป็นโนเนมคนนี้แน่ อยู่ตรงกองถ่ายนี้เองเหรอ? เส้นด้ายแห่งโชคชะตาช่างเชื่อมโยงกันในจุดที่แปลกประหลาดเหลือเกิน ซึ่งอีกทางด้านหนึ่ง นักแสดงที่ชื่อคังวูจินไม่รู้จักผู้กำกับควอนกีแทคแม้สักนิดเดียว
จากนั้นเอง ผู้กำกับควอนกีแท็กก็ได้ยิ้มบาง ๆ พลางหันกลับไปมองคังวูจินบนกองถ่ายอีกครั้ง
“พอรู้สาเหตุถึงการปฏิเสธการคัดตัวครั้งนั้นแล้วล่ะนะ...”
ขณะนั้นเอง เขาก็พึมพำเบา ๆ พร้อมนึกถึงผู้กำกับวูฮยอนกู
“หากยัดเยียดการคัดตัวนักแสดงให้กับปีศาจแบบนั้น มันย่อมต้องถูกปฏิเสธเป็นธรรมดาอยู่แล้วสิ”
*****