บทที่ 100 การตัดสินใจ
[แฟนเพจBamแปลNiyay:ลงแบบราคาถูกโคตรในmy-novel(ลงช้ากว่าThai-novel100ตอน)กับthai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นนอกจากสองเว็บนี้คือไม่ใช่ผมนะ ถ้าเจอคนอ่านก็อปดันเยอะกว่าก็ท้อเป็นนะครับ]
[ถ้าอ่านฟรีแบบเถื่อนไม่ว่าจะได้มายังไงนั้น ผมไม่ว่าเลยครับ และต่อให้ไม่มีคนอ่าน ผมก็ยังจะแปลต่อจนจบด้วย แต่ถ้าจะจ่ายเงินให้เว็บหรือคนที่copyไปขายอีกที คุณโคตรแย่เลยครับ]
[หลังแปลจบจะมีการแก้คำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น ดังนั้นถ้าคุณอ่านแบบเถื่อน ก็เชิญเลยครับ เพราะมันไม่มีอัพเดทให้หรอก]
บทที่ 100 การตัดสินใจ
ซุนเฉิงลงจากรถและซื้อแว่นกันแดดราคาถูกจากแผงร้านริมถนนหน้าสถานี โดยเอามันมาใส่บนใบหน้าของเขา เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคนที่เขานัดไว้
"เอ้ พี่ครับ ผมอยู่ทางเข้าหลักของสถานี พี่อยู่ไหนเนี่ย...?"
คนที่เขาโทรหาคือ เย่ชี พี่สาวของเขา ตามปกติเธอมาที่เมืองหนานตู่เพื่อฉลองวันเกิดของเขาที่จะมาถึงเร็ว ๆ นี้
"นายใส่แว่นกันแดดใช่ไหม? พี่เห็นนายแล้ว..."
พอเขาหันกลับไปมอง ซุนเฉิงก็เห็นหญิงสาวสวมหมวกเบสบอลสีชมพู อีกฝ่ายยกโทรศัพท์แนบปากเผยรอยยิ้มบาง ๆ ขณะเดินมาหาเขา
"เอากระเป๋ามาสิ ไปกันเถอะ..."
เขาเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเดินทางจากมือของเย่ชี
"ยังไม่ดึกเลย หอคงยังไม่ปิด ผมเองก็ยังไม่ได้ทานข้าวเย็นเลย มีอาหารน่ากินแถวนี้ไหมนะ? เดี๋ยวผมเลี้ยงพี่เอง.."
พอยื่นกระเป๋าสัมภาระให้เขาแล้ว เย่ชีก็โอบแขนเขาไว้แล้วถามด้วยรอยยิ้ม
"กินข้างนอกเหรอ?"
ซุนเฉิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถาม "ชาบูหมูก็น่าสนนะ ผมไม่ได้กินมานานแล้ว พี่เองก็น่าจะชอบเหมือนกัน"
"ฟังดูดีมาก พี่ก็ไม่ได้กินมานานแล้วเหมือนกันเพราะช่วงนั้นเป็นสิวพอดี"
ขณะที่เธอตอบตกลง ซุนเฉิงก็ยิ้มบาง ๆ ออกมา "งั้นเราไม่ต้องกินข้างนอกหรอก ไปกันเถอะครับ ผมย้ายออกจากมหาวิทยาลัยและเช่าอพาร์ทเมนต์สองห้องนอนข้างนอกไว้ ผมเพิ่งย้ายเข้ามาเมื่อวานเอง ไปซื้อเครื่องปรุงจากซุปเปอร์มาร์เก็ตและหาหม้อหุงข้าวสักใบกันเถอะ..."
เมื่อได้ยินเขาพูดถึงหม้อหุงข้าว แววตาของเย่ชีก็เบิกกว้างขึ้น ความทรงจำบางอย่างพลันผุดขึ้นมา รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ
พ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงซุนเฉิงเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ถึงแม้จะเป็นพนักงานระดับล่าง แต่พวกเขาก็มักจะมีงานยุ่งเสมอไม่ว่าจะเป็นงานสังคม งานนอกบ้าน พวกเขายุ่งเกินกว่าจะดูแลบ้านด้วยซ้ำ ซุนเฉิงจำได้ว่าตอนที่เขายังเด็กกับเย่ชี พี่สาวของเขา พวกเขามักจะต้องทำอาหารกินกันเอง และถ้าอยากกินอะไร พวกเขาก็จะทำชาบูหมูร้อนโดยใช้หม้อหุงข้าว
บางทีเขาอาจจะทำให้เธอหวนนึกถึงความทรงจำในวัยเด็กอันอบอุ่นกระมัง เย่ชีจึงเลียริมฝีปากคล้ายคิดถึงเรื่องราวในอดีต "เอาสิ ช่วยพี่เอาของไปเก็บที่ห้องของนายด้วยสิ พี่จะได้ประหยัดค่าที่พักโรงแรมสำหรับวันนี้ได้ เราจะได้ซื้อของเพิ่มอีก..."
"ได้อยู่แล้ว!"
หลังจากยุ่งอยู่กับการหาซื้อของต่าง ๆ เมื่อทั้งคู่กลับมาที่พักพร้อมกับถุงอาหารขนาดใหญ่หลายใบจากซุปเปอร์มาร์เก็ต เวลาก็เปลี่ยนเป็น 8:30 น. แล้ว
พวกเขาเอาอาหารทั้งหมดใส่ในครัว ซุนเฉิงวางเตาไฟฟ้าที่เขาถืออยู่บนโต๊ะ
สุดท้ายแล้ว พวกเขาไม่ได้ซื้อหม้อหุงข้าวมา แต่เลือกเตาไฟฟ้าและหม้อสี่เหลี่ยมแทน เพราะหม้อสี่เหลี่ยมยังสามารถใช้ปรุงอาหารบางอย่างได้ และเร็วกว่าการใช้หม้อหุงข้าวในการทำชาบูหมูร้อนมาก
"ขอบคุณมาก รอแปปเดียว ที่เหลือพี่จะจัดการเอง..."
เย่ชีผูกผ้ากันเปื้อนผืนใหม่ที่เธอซื้อมาแล้วเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างเครื่องสำอางแบบบางเบาของเธอ จากนั้นเธอก็เดินเข้าครัวผลักซุนเฉิงที่กำลังเตรียมล้างผักออกไป
"พี่ไม่ต้องการให้ผมช่วยเหรอ?"
เขาพิงประตูครัวพลางเอียงคอถาม
"น้องคนหล่อ พรุ่งนี้วันเกิดของนายนะ ปล่อยให้พี่ทำอาหารให้นายวันนี้และถือว่าเป็นการเลี้ยงวันเกิดนายเถอะ!"
"ก็ได้ครับ!"
ซุนเฉิงเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น รอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้า ขณะที่สายตาของเขาพาดผ่านโน๊ตบุ๊คที่เป็นร่างของเซฟการ์ดบนโต๊ะกาแฟตรงหน้าเขา รอยยิ้มของเขาพลันค่อย ๆ เลือนหายไป มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ควรมีอยู่! ตอนนี้เขาเข้าใจมันแล้ว! แต่บางครั้งพอยิ่งเกิดขึ้นมากเท่าไร มันก็ยิ่งเหมือนอยากผลักไสไปไกลและคิดว่าไม่ใช่เท่านั้น สายตาของเขาจึงเริ่มมองไปที่ห้องครัวอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะมองเห็นเพียงร่างเลือนรางเคลื่อนไหวอยู่ข้างในผ่านกระจกใส แต่สภาพจิตใจของซุนเฉิงกลับคล้ายสงบลงไปมาก
เขาเพิ่งรู้ตัวถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนของเขาที่มีต่อเย่ชี พี่สาวของเขาเป็นครั้งแรก ตอนที่เขาถูกอุปการะเลี้ยงดู มันน่าจะประมาณปีที่สอง ถึงแม้คู่รักตระกูลเย่จะปฏิบัติต่อเขาเหมือนลูกแท้ ๆ แต่เขาก็อยู่ในวัยรุ่นแล้วตอนที่เขาถูกอุปการะ ทำให้มันเกิดรู้สึกถึงระยะห่างที่อธิบายไม่ถูกจากพวกเขาเสมอ ในทางกลับกัน เย่ชี ผู้ซึ่งอายุมากกว่าเขาเพียงสองปีกลับอ่อนโยนและรักใคร่เขามาก จนซุนเฉิงค่อย ๆ เริ่มชอบที่จะอยู่ใกล้ชิดกับเธอ อารมณ์ของเขานั้นดีมากเมื่อเธออยู่ด้วย แต่พอเขาไม่เห็นเธอ มันยิ่งทำให้เขารู้สึกคิดถึง
จนกระทั่งเรียนมัธยมปลาย เขาถึงรู้ว่าความรู้สึกที่ซับซ้อนนั้นคืออะไร!
เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ปลายนิ้วเคาะบนโต๊ะกาแฟตรงหน้าตัวเอง ซุนเฉิงเริ่มคิดไปเรื่อย พี่สาวของเขาไม่เคยมีแฟนและเขาก็ไม่เคยถามเธอตรง ๆ แม้สักครั้งเดียว แถมเพราะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เขาจึงคิดว่าความรักที่ฝังรากลึกอยู่ในหัวใจของเขามาตลอดมันก่ำกึ่งว่าเป็นเรื่องปกติหรือผิดปกติกันแน่ ทว่าท้ายที่สุด เขาก็เลือกจะเดินตามเสียงหัวใจของตัวเอง
เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาได้เสี่ยงโชคและเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง แม้จะต้องแบกรับหนี้สินอยู่บ้าง แต่เพื่อการประสบความสำเร็จและได้แต่งงานกับเย่ชีด้วยความยินยอมของพ่อแม่บุญธรรมของพวกเขา ซุนเฉิงก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันยากจนเกือบเท่ากับการปีนขึ้นไปบนฟ้าที่จะทำให้พ่อแม่บุญธรรมของพวกเขา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ยินยอมในเรื่องนี้ซึ่งดูขัดต่อหลักจริยธรรมอย่างชัดเจน
ประกายตาของเขาแปรเปลี่ยนกลายเป็นเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากเคาะปลายนิ้วบนโต๊ะกาแฟเป็นครั้งที่ 127 ซุนเฉิงก็หยุดและพูดว่า "ดูเหมือนฉันต้องเร่งความเร็วแล้วสิ!"
อนาคตที่ปราศจากเย่ชีไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ พอแค่คิดถึงมัน มันก็ทำให้เขาอยากทำลายโลกที่มืดมนและหม่นหมองนั้นเสีย เขาตัดสินใจและมองไปยังเซฟการ์ดบนโต๊ะกาแฟตรงหน้าเขา พร้อมสั่งการทันที "เซฟการ์ด แสดงข้อมูลเกี่ยวกับจูราสสิคพาร์คที่สืบมาบนหน้าจอให้หมด..."
"รับทราบครับ..."
ขณะที่เสียงเครื่องจักรเย็นชาดังขึ้น หน้าจอโน๊ตบุ๊คบางเฉียบตรงหน้าเขาก็สว่างขึ้นทันทีและแสดงข้อมูลมากมาย