ตอนที่ 9 ไม่ชอบคลุมถุงชน
ตอนที่ 9
ไม่ชอบคลุมถุงชน
หลังจากนั้นไม่นานมู่อวี้เฉิงก็จากไป
เสี่ยวเป่าถือนามบัตรของเขาเอาไว้อย่างมีความสุข
จนกระทั่งตกเย็น ถงเหมี่ยวเหมี่ยวมารับเสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่ากระโดดโลดเต้นออกมาจากประตูโรงเรียน “หม่ามี้~”
ขาสั้น ๆ วิ่งเข้าไปหาถงเหมี่ยวเหมี่ยวจนเสียงฝีเท้าดัง ตึก ๆ
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวจับตัวเจ้าลูกชายเอาไว้ มองดูรอยยิ้มที่สดใสกว่าผิดปกติและถามว่า “วันนี้มีความสุขเหรอ เกิดเรื่องอะไรดี ๆ ขึ้นอีกล่ะจ๊ะ?”
“หม่ามี้ วันนี้ผมเจอคุณลุงด้วย มันดีมากเลย แถมยังหล่อมาก หล่อกว่าผมอีก เสี่ยวเป่าอยากให้คุณลุงเป็นพ่อ” เสี่ยวเป่าเงยหน้ามองดูถงเหมี่ยวเหมี่ยวด้วยสายตาคาดหวัง
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวและลูบผมที่ชี้โด่ชี้เด่อยู่บนหัวของเขา “ลูกมัวแต่คิดเรื่องนี้ไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าเกิดเขาไม่อยากเป็นล่ะ?”
“เสี่ยวเป่าเก่งมาก จะมีคนกล้าปฏิเสธได้ยังไง” เสี่ยวเป่าทำปากจู๋
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวไม่ต้องการสานต่อหัวข้อนี้ เธอพาเขาเข้าไปในรถและพูดเปลี่ยนเรื่อง “ไปซื้อของกันเถอะ คืนนี้อยากกินอะไรจ๊ะ?”
เสี่ยวเป่ายังไม่มีสมาธิจดจ่อเพียงพอ ทำให้ความสนใจเบี่ยงเบนไปนึกถึงอาหารอร่อย ๆ
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวยิ้มอ่อนโยนขณะมองดูเสี่ยวเป่าชี้รายการอาหาร
เธอมองว่าคำพูดของเสี่ยวเป่าเป็นเพียงเรื่องตลกของ เด็ก ๆ และไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจนัก
...
ณ ห้องทำงานของมู่กรุ๊ป
มู่อวี้เฉิงได้รับโทรศัพท์จากแม่หลังจากที่นั่งลงได้ไม่นาน พวกเขาโทรมานัดหมายให้เขาเข้าไปรับประทานอาหารในร้านอาหารที่ถูกตกแต่งอย่างร่มรื่น
จนกระทั่งเวลาสิบเอ็ดโมงตัว มู่อวี้เฉิงไปปรากฏตัวที่ร้านอาหาร
แต่เขากลับต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าพ่อแม่ของซ่งอวี่ซีกับซ่งอวี่ซีกำลังรวมอยู่ในห้องอาหารส่วนตัว
วันนี้ซ่งอวี่ซีสวมชุดกระโปรงรัดรูปมีสายคล้องคอสีฟ้าอ่อน ด้านนอกใส่เสื้อครอปกันลมสีน้ำตาลเข้ม
ใบหน้าเล็กขนาดเท่าฝ่ามือถูกแต่งแต้มสีสันอย่างประณีต ผมลอนสีน้ำตาลปลิวไสวไปทางด้านหลัง ดูสง่างามและมีเสน่ห์
“อวี๋เหยียน ไหน ๆ อวี้เฉิงก็มาแล้ว บอกให้พนักงานมาเสิร์ฟอาหารเถอะ” เจี้ยงไต้เอ๋อ แม่ของซ่งอวี่ซีพูดบอก
เธอยิ้มและมองเพื่อนสนิทที่นั่งฝั่งตรงกันข้าม
ผู้หญิงในวัยสี่สิบกว่าปีดูแลตัวเองอย่างดีจนรูปลักษณ์อ่อนเยาว์ลงเหมือนกับหญิงสาวอายุสามสิบต้น ๆ เท่านั้น
ลิ่นอวี๋เหยียนที่เป็นแม่ของมู่อวี้เฉิงพยักหน้าเห็นด้วย “ได้”
เธอดูอ่อนวัยกว่าเจี้ยงไต้เอ๋อมาก เธอสวมชุดกี่เพ้าปักลายพระจันทร์เสี้ยวสีทองขาว ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยสีสันอ่อน ๆ ดูมีเสน่ห์เวลาที่พูดคุยและหัวเราะ
คนที่นางอยู่ข้างเธอคือมู่หงจวิ้นหรือพ่อของมู่อวี้เฉิง
ใบหน้าของผู้ชายคนนี้มีความเฉยเมยเหมือนกับมู่อวี้เฉิง แต่กลับดูสง่างามกว่าเล็กน้อย
เขาเหลือบมองมู่อวี้เฉิงที่ยืนอยู่หน้าประตู “มัวยืนทำอะไรอยู่? เจอผู้หลักผู้ใหญ่จะไม่ทักทายเลยหรือไง?”
มู่อวี้เฉิงขมวดคิ้ว หันไปสบตากับสามีภรรยาตระกูลซ่ง อย่างเย็น และพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “สวัสดีครับคุณลุงซ่งคุณป้าเจี้ยง”
เขาไม่ได้สนใจไยดีกับสายตาที่คาดหวังของซ่งอวี่ซีที่นั่งอยู่ด้านข้างแม่
ซ่งอวี่ซีมองดูสีหน้าเย็นชาของเขาจากฝั่งตรงข้าม มือสองข้างอยู่ในโต๊ะกำหมัดแน่น แต่มุมปากกลับยกยิ้มอย่างเย้ายวน
ทั้งสองตระกูลเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาโดยตลอด
ผู้ใหญ่ในครอบครัวทั้งสองต้องการให้พวกเขาแต่งงานปรองดองกันมาตลอดเพื่อกระชับสายสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น
แต่มู่อวี้เฉิงกลับทำตัวยุ่งมาตลอดและไม่เคยมีทีท่าว่าจะสนใจอะไรเลย
เดิมทีเธอเพียงคิดว่าผู้ชายอย่างมู่อวี้เฉิงเป็นคนน่าเบื่อ ดังนั้นเธอจึงคอยปกป้องผู้ชายคนนี้และรอจนกว่าเขาจะอยากแต่งงาน
แต่การกลับมาของถงเหมี่ยวเหมี่ยวทำให้เธอรู้สึกวิตกกังวล
เธอไม่สามารถปล่อยปละละเลยความคิดของมู่อวี้เฉิงและรอคอยให้เขารู้สึกอยากจะแต่งงานได้อีกต่อไป
หลังจากที่กลับมาในวันนั้น เธอชักชวนพ่อให้นัดทานอาหารมื้อนี้ในทันที
ไม่กี่วินาทีต่อมาพนักงานก็ยกอาหารทั้งหมดเข้ามาเสิร์ฟ
ผู้ใหญ่จากทั้งสองครอบครัวพูดคุยระหว่างมื้ออาหารจนทำให้บรรยากาศดูอบอุ่น
พ่อซ่งมองดูท่านั่งหลังตรงของมู่อวี้เฉิงที่กำลังรับประทานอาหาร รูปลักษณ์ของเขาดูสง่างามจนสุดจะพรรณนา
ยิ่งมองดูมากเท่าไหร่ก็ยิ่งพึงพอใจมากเท่านั้น เขาหัวเราะฮ่าฮ่าและพูดชมเชย “หงจวิ้น อวี้เฉิงของพวกแกเนี่ยฝึกฝนวิชาจากพ่อจนเก่งกว่าพ่อแล้วนะ อายุเท่านี้ยังประสบความสำเร็จขนาดนี้ ทั้งหนุ่มทั้งมีอนาคตจริง ๆ! คนแก่อย่างพวกเราเทียบไม่ติดเลย”
“ก็แค่พอใช้ได้น่ะ” มู่หงจวิ้นยิ้มรับอย่างถ่อมตัว แต่สายตากลับมองไปที่มู่อวี้เฉิงอย่างภาคภูมิใจ
ทว่าน้ำเสียงแกมไม่พอใจกลับดังก้องเข้ามาในรูหู “ใช้ได้อะไรกัน เจ้าเด็กบ้านี่เอาแต่ห่วงงาน ฉันไม่เห็นเขาจะสนใจเรื่องตัวเองเลย ปีนี้ก็อายุปายี่สิบเจ็ดแล้วยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที”
ลิ่นอวี๋เหยียนพูดและมองไปที่มู่อวี้เฉิงด้วยสายตาเคืองโกรธ
มู่อวี้เฉิงไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไรและปริปากพูดว่า “ผู้ชายเขาก็มีครอบครัวตอนอายุสามสิบกันทั้งนั้น”
“ก็เพราะว่าพวกเขาต้องเริ่มทำธุรกิจกันก่อนถึงจะคิดมีครอบครัว แต่แกต้องมาเริ่มนั่งทำธุรกิจมั้ยล่ะ?” ลิ่นอวี๋เหยียนพูดตอบโต้อย่างไม่พอใจ
มู่อวี้เฉิงตอบกลับอย่างใจเย็น “ถึงผมจะไม่ต้องเริ่มทำธุรกิจ แต่ผมวางแผนจะขยายมู่กรุ๊ปให้เป็นสามเท่าภายในสิบปี”
“...” ลิ่นอวี๋เหยียนไม่สามารถตอบโต้อะไรได้คราวเมื่อถูกตอบโต้กลับ
เจี้ยนไต้เอ๋อได้จังหวะพูดแทรกขึ้นมา “เป็นผู้ชายรู้จักห่วงหน้าที่การงานมันก็ดี แต่ต้องใส่กับเรื่องราวสำคัญในชีวิตด้วย การอยู่ตัวคนเดียวมันไม่ได้ดีเสมอไป ไม่มีใครมารู้ร้อนรู้หนาวด้วยชีวิตจะเปล่าเปลี่ยวเอานะ”
เธอหันยิ้มให้ลิ่นอวี๋เหยียนอีกครั้ง “อวี๋เฉิงโตขนาดนี้ พวกคนแก่ก็เริ่มกังวลกันแย่แล้วว่าจะได้อุ้มหลานมั้ย?”
“นั่นน่ะสิ พวกคนเฒ่าคนแก่ที่บ้านก็เริ่มถามกันแล้วว่า อวี้เฉิงมีแฟนหรือยัง พอฉันตอบว่ายัง พวกเขาก็หาว่าพวกฉันเป็นพ่อแม่ประสาอะไรไม่รู้จักดูแลลูกให้ดี”
เจี้ยงไต้เอ๋อยิ้มกว้างและถามตามน้ำ “งั้นเธออยากได้คนแบบไหนมาเป็นสะใภ้ให้อวี้เฉิงล่ะ?”
“ฉันว่าหนูอวี่ซีก็เหมาะนะ”
ลิ่นอวี๋เหยียนจ้องมองซ่งอวี่ซีด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูจนไม่สามารถปิดบังได้
“คุณน้าหยอกหนูเล่นอีกแล้วนะคะ” ซ่งอวี่ซีกระทืบเท้าด้วยท่าทีเขินอาย แก้มสวยกลายเป็นสีแดงแปร๊ด
เธออดไม่ได้ที่จะหันไปมองมู่อวี้เฉิงด้วยสายตาชื่นชมและคาดหวัง
มู่อวี้เฉิงรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา
และเข้าใจถึงจุดประสงค์ของการรับประทานอาหารในครั้งนี้ดี จึงพูดตอบอย่างใจเย็นว่า “ผมยังไม่ได้คิดเรื่องแต่งงานเลยครับ”
บรรยากาศโดยรวมเงียบสงัดทันทีเมื่อเขาพูดออกไปเช่นนั้น
รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งอวี่ซีแข็งค้าง ขณะที่ใบหน้าสวยดูน่าเกลียดขึ้นเรื่อย ๆ
แม้แต่คู่สามีภรรยาตระกูลซ่งยังรู้สึกอับอาย
ลิ่นอวี๋เหยียนเห็นเช่นนั้นจึงรีบพูดคลี่คลายบรรยากาศ
เธอตำหนิว่า “ถึงแกจะอยากพัฒนาบริษัท แต่ตอนนี้บริษัทมั่นคงมากแล้ว แกควรคิดถึงปัญหาของตัวเองก่อนมั้ย ถึงแกจะไม่รีบแต่พวกฉันรีบ ทำไมแกไม่หัดคิดถึงแม่กับพ่อแกบ้าง ไหนจะคุณปู่แกอีก ดูสิว่าเขาอยากอุ้มหลานจะแย่แค่ไหนแล้ว”
“...”
มู่อวี้เฉิงได้รับการฝึกฝนมาให้ห้ามเถียง จึงไม่สามารถปฏิเสธได้
ลิ่นอวี๋เฉิงพูดต่อ “อวี่ซีเป็นเด็กดี เหมาะสมกับแกในทุกด้าน ทำไมแกถึงไม่เข้าใจอะไรสักที?”
“...” มู่อวี้เฉิงยังคงทำตัวไม่แยแส
เขาไม่ชอบการแต่งงานแบบคลุมถุงชน
เมื่อหลายปีก่อนคุณปู่ของเขาตัดสินใจโดยที่ไม่ได้ปรึกษากันก่อน
แต่ตอนนี้เมื่อลองคิดดูอีกครั้ง...
เขาเม้มปากเป็นเส้นบางและพ่นน้ำเสียงเย็นชาออกมา “แม่ ผมอยากตัดสินใจเรื่องแต่งงานด้วยตัวเอง เพราะงั้นผมไม่รบกวนแม่กับคุณป้าเจี้ยงดีกว่าครับ”
เขาพูดและหยิบผ้าเช็ดปากมาซับที่มุมปาก จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนอย่างไม่แยแส “ผมกินเสร็จแล้ว ที่บริษัทยังมีงานต้องทำต่อ ผมขอตัวก่อนนะครับ”