ตอนที่ 6 เธอแต่งงานแล้ว
ตอนที่ 6
เธอแต่งงานแล้ว
ช่วงเวลาแห่งการทำงานมักจะผ่านไปเร็วเสมอ
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวยุ่งอยู่ที่บริษัทตลอดทั้งวัน จนกระทั่งเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นเตือนให้เธอไปรับเสี่ยวเป่าในตอนเย็น
เธอขับรถยนต์ยี่ห้อออดี้สีเงินที่ทางบริษัทมอบให้ขับเคลื่อนไปทางโรงเรียนอนุบาล
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเร่งด่วนหลังเลิกเรียน ทำให้รถยนต์บนท้องถนนติดกันเป็นขบวน
“หม่ามี้~”
เสี่ยวเป่าเดินมาจากประตูโรงเรียนและสังเกตเห็น ถงเหมี่ยวเหมี่ยวที่ยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางฝูงชนทันที เขาส่งยิ้มสดใสและรีบวิ่งออกมา
“วิ่งช้า ๆ เดี๋ยวหกล้มขึ้นมาจะทำยังไง?”
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวยิ้มอ่อนโยนและย่อตัวลงไปจัดแต่งทรงผมที่ผ่านการวิ่งมาจนยุ่งเหยิงของเสี่ยวเป่า
“ผมไม่ล้มหรอก”
ริมฝีปากเล็ก ๆ ของเสี่ยวเป่าเม้มเข้าหากัน ประกอบกับใบหน้าที่อ่อนโยนของเขา มันทำให้ถงเหมี่ยวเหมี่ยวใจละลาย
“อืม เสี่ยวเป่าของเราไม่ล้มหรอกเนอะ”
เธอยิ้มเบา ๆ และพาเสี่ยวเป่าไปยังที่จอดรถ
หลังจากนั้นไม่นานรถยนต์ออดี้คันสีเงินก็แล่นไปตามท้องถนน
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวเหลือบมองเสี่ยวเป่าที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ และถามขึ้นว่า “วันนี้ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง?”
เสี่ยวเป่าเอียงศีรษะมองถงเหมี่ยวเหมี่ยว กะพริบตาและพูดแหย่ว่า “หม่ามี้อยากฟังความจริงหรือโกหกล่ะ?”
“ทะเล้นอีกแล้วนะ หม่ามี้ก็ต้องอยากฟังความจริงซิ”
“ก็ดี แต่เพื่อน ๆ ยังอ่อนหัดกันอยู่เลยฮะ”
เสี่ยวเป่ายักไหล่ และพูดอย่างไม่พอใจ “แต่ว่าพวกเด็กผู้หญิงก็น่ารักดี”
“ทำไมว่าอย่างนั้นล่ะลูก?”
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวสงสัย
เสี่ยวเป่ายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเท้าคาง “พวกเพื่อนผู้หญิงเอาขนมกับช็อกโกแลตมาให้ผม ตอนแรกผมปฏิเสธไปแล้ว แต่พอเลิกเรียนเท่านั้นแหละถึงเห็นว่าขนมเต็มกระเป๋าไปหมดเลย”
หันไปมองถงเหมี่ยวเหมี่ยวที่อยู่ด้านข้างและพูดว่า “หม่ามี้ ลูกชายหม่ามี้มีเสน่ห์จะตาย”
“จ๊ะ พ่อคนหล่อ!”
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวพยักหน้าและยิ้มแกมหยอกล้อ “เสี่ยวเป่าของเรามีเสน่ห์ที่สุด ถ้าหม่ามี้เหนื่อยไม่อยากทำงานหาเงินขึ้นมาเมื่อไหร่ หม่ามี้จะให้เสี่ยวเป่าออกไปทำแทน ดูซิไม่ต้องทำอะไรก็ได้รับอาหารกลับมาแล้ว”
“แต่มันไม่ใช่ของมีค่า ผมจะหาเงินมาเลี้ยงดูแม่เอง” เสี่ยวเป่าไม่พอใจ
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวมองดูขณะที่มุมปากค่อย ๆ ยกสูงขึ้น “ได้เลย หม่ามี้จะรอให้เสี่ยวเป่าไปหาเงินมาเลี้ยงหม่ามี้แทนนะ”
“หม่ามี้รอก่อนเถอะ ผมจะไปหาเงินมาให้หม่ามี้เยอะ ๆ เลย”
น้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่หนักแน่นดังก้องอยู่ในรถยนต์ จนฟังดูอบอุ่น
แม่ลูกหัวเราะคิกคักกันอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนที่รถยนต์จะขับตรงไปยังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้คอนโดมิเนียม
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวต้องการซื้อผักและของใช้ในชีวิตประจำวัน
เสี่ยวเป่าเดินตามแม่เข้าไปในโซนตลาดสดอย่างเชื่อฟัง
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวพาเสี่ยวเป่าไปที่โซนอาหารสด
เสี่ยวเป่าเขยิบก้าวเข้าไปดูซี่โครงหมูในแผงขายเนื้อด้วยความตะกละตะกลาม “หม่ามี้ เย็นนี้เรากินซี่โครงหมูกันเถอะ ผมไม่ได้กินซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานที่หม่ามี้ทำมานานแล้วนะ”
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวตอบตกลงทันทีเมื่อเห็นสีหน้าตะกละตะกลามของเขา
พวกเขาทั้งสองซื้อซี่โครงหมูและผักบางส่วนกลับมาบ้าน
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวจัดวางของใช้ในชีวิตประจำวันและถือถ้วยชามจานไหเข้าไปในห้องครัวหลังจากกลับมาถึงคอนโด
เสี่ยวเป่าหอบเอาสมุดการบ้านเข้ามาทำในห้องนั่งเล่น
จนกระทั่งทำการบ้านเสร็จแล้วจึงไปกินข้าวเย็น
กับข้าวสามอย่างกับซุปอีกหนึ่งถ้วยไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป พอเหมาะสำหรับแม่ลูกสองคน
คนตัวโตและคนตัวเล็กนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่บนโต๊ะอาหาร ก้มหน้าก้มตากินข้าวภายใต้แสงไฟที่สว่างจ้า
ถึงแม้จะมีเพียงแต่แม่ลูกสองคน แต่บรรยากาศกลับอบอุ่น
“หม่ามี้กินซี่โครงหมูสิ”
เสี่ยวเป่าตักซี่โครงหมูขึ้นมาให้ถงเหมี่ยวเหมี่ยว
“เสี่ยวเป่าก็กินด้วยสิลูก”
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวตักซี่โครงหมูขึ้นมาหนึ่งชิ้น คลี่ยิ้มและมองเสี่ยวเป่ากินมัน
เธอมองดูเสี่ยวเป่าตักข้าวเข้าไปเต็มปากและเคี้ยวแก้มป่องเหมือนกับหนูแฮมสเตอร์ที่ชอบอมอาหารไว้ตามร่องแก้ม ดูน่ารักน่าชังมาก
หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ ถงเหมี่ยวเหมี่ยวนั่งเล่นกับเสี่ยวเป่าอยู่พักหนึ่งแล้วจึงพาเสี่ยวเป่าเข้าไปอาบน้ำ
เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว ถงเหมี่ยวเหมี่ยวปล่อยให้เสี่ยวเป่านอนเล่นโทรศัพท์ของเธอ อันเนื่องมาจากเธอยังต้องสะสางเอกสารของทางบริษัท
และไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ โทรศัพท์ในมือของเสี่ยวเป่าจึงดังขึ้นและแจ้งเตือนว่าเป็นสายเรียกเข้าจากมู่อวี้เฉิง
“ฮัลโหล”
เสี่ยวเป่ารับสายโทรศัพท์
“...”
ไร้เสียงตอบรับจากโทรศัพท์
เสี่ยวเป่าจ้องมองโทรศัพท์ด้วยความสงสัย เขายังอยู่ในสายแต่อดไม่ได้ที่จะพึมพำว่า “ยังไม่วางสายอีก ทำไมไม่พูดอะไรเลย ฮัลโหล อยู่ไหม?”
หลังจากนั้นไม่นานเสียงของมู่อวี้เฉิงก็ดังขึ้น “ใช่เบอร์ของถงเหมี่ยวเหมี่ยวหรือเปล่า?”
เสี่ยวเป่าตอบรับ “ใช่ครับ มีธุระอะไรกับหม่ามี้หรือเปล่า?”
“หม่ามี้ เธอแต่งงานแล้วเหรอ?”
น้ำเสียงฟังดูประหลาดใจ
แต่หลังจากนั้นไม่นานน้ำเสียงของมู่อวี้เฉิงก็กลับมาสงบนิ่งตามปกติ
หลังจากวันเวลาผ่านพ้นไปหลายปี
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวคงจะแต่งงานแล้วสินะ
“เจ้าตัวเล็ก เอาโทรศัพท์ไปให้แม่หนูคุยที”
“รอแป๊บนะฮะ”
เสี่ยวเป่ากระโดดลงจากโซฟา ถือโทรศัพท์และวิ่งเข้าไปในห้องนอน ตะโกนร้องเรียนด้วยเสียงแบบเด็ก ๆ “หม่ามี้ มีคนโทรมา”
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร และถามออกไป “ใครโทรมาลูก?”
“ไม่รู้สิ เป็นเสียงผู้ชาย”
เสี่ยวเป่าตอบรับและยื่นโทรศัพท์ออกไปให้เธอ
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู “สวัสดีค่ะ ฉันถงเหมี่ยวเหมี่ยวพูดสาย”
“ผมเอง”
น้ำเสียงไพเราะชวนหลงใหลเหมือนกับเชลโล่ของ มู่อวี้เฉิงดังลอดออกมาจากโทรศัพท์
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวตกใจจนเผลอทำโทรศัพท์ร่วงกระแทกกับพื้นและปิดเครื่องไป
สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปและหันไปมองเสี่ยวเป่าด้วยสายตาเหลือเชื่อ
เธอนึกไม่ถึงว่ามู่อวี้เฉิงกับเสี่ยวเป่าจะได้พูดคุยกัน
“หม่ามี้เป็นอะไรไป?”
เสี่ยวเป่าสังเกตเห็นว่าสีหน้าของแม่ผิดปกติ เขากะพริบดวงตากลมโตและเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวมองดูเขาขณะที่พูดอะไรไม่ออก
เธอพยายามระงับอารมณ์ที่ผันผวนอยู่ในใจ ยกมือขึ้นเพื่อลูบหัวเสี่ยวเป่าและยิ้มเบา ๆ “หม่ามี้ไม่เป็นไร”
เสี่ยวเป่าเชื่อแบบนั้นจริง ๆ และช่วยเธอล้มเก็บโทรศัพท์ที่ตกหล่นขึ้นมา
เขายังคงสงสัย “หม่ามี้ ผู้ชายคนเมื่อกี้คือใคร?”
หัวใจของถงเหมี่ยวเหมี่ยวกำลังเต้นแรง
เธอเหลือบมองเสี่ยวเป่าขณะรับโทรศัพท์มาด้วยท่าทีสงบ และพูดตอบว่า “ลูกค้าน่ะ ลูกออกไปเล่นเถอะ หม่ามี้ต้องทำงานต่อ”
“ครับ”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างเชื่อฟังและเดินออกไป
บรรยากาศภายในห้องกลับมาสงบอีกครั้ง แต่หัวใจของถงเหมี่ยวเหมี่ยวกลับไม่สงบนิ่งเสียเลย
เธอพยายามสงบสติอารมณ์ลงและโทรศัพท์กลับไปหามู่อวี้เฉิงอีกครั้ง “คุณโทรมามีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ผมโทรมานัดหารือเรื่องใบอนุญาตอีกรอบน่ะ”
ความหมายของมู่อวี้เฉิงค่อนข้างกระชับและชัดเจน และไม่ได้ถามอะไรมากเกี่ยวกับส่วนที่เหลือ
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวถอนหายใจอย่างโล่งอก
โชคดี... ที่ผู้ชายคนนี้ไม่ได้นึกสงสัยอะไร
เธอควบคุมอารมณ์และพูดตอบรับด้วยน้ำเสียงราวกับเจ้าหน้าที่พนักงานที่ปฏิบัติตามหน้าที่ “ไม่ว่าคุณมู่จะว่ายังไง ฉันก็ขอยืนยันคำเดิมว่าต้องการเรียกราคาเพิ่มอีกห้าสิบล้านจากราคาเดิม”
สายโทรศัพท์สิ้นสุดลงหลังจากคำพูดยืนกรานของ ถงเหมี่ยวเหมี่ยว
ถงเหมี่ยวเหมี่ยววางสายลงและนึกถึงภาพลักษณ์ที่ไม่แยแสของมู่อวี้เฉิง บางทีเธออาจจะคิดมากไปเอง
ถึงแม้ว่าผู้ชายคนนี้จะได้ยินเสียงเสี่ยวเป่า แต่เขาก็คงไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นลูกชายของเขาอยู่ดี
และตราบใดที่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้เจอหน้าหรือมีเสี่ยวร่วมกับเสี่ยวเป่า เขาก็จะไม่มีวันได้รู้ถึงการมีอยู่ของเสี่ยวเป่า
นอกจากนี้เขาน่าจะคิดว่าเธอแต่งงานแล้ว
เพราะวันเวลาต่างผ่านพ้นไปหลายปี
เธอพยายามพูดปลอบตัวเอง แต่กลับไม่สามารถสงบสติอารมณ์เพื่อทำงานต่อไปได้