ตอนที่ 32 คุณหนีไปเพราะผม
ตอนที่ 32
คุณหนีไปเพราะผม
“แล้วทำไมตอนนั้นคุณถึงหนีไปล่ะ?” มู่อวี้เฉิงไม่สามารถระงับคำถามที่เขาอยากรู้มาตลอดได้
แต่สายตาคู่นั้นของถงเหมี่ยวเหมี่ยวกลับดูทิ่มแทงใจ “ทำไมถึงหนีไปน่ะเหรอ? คุณก็รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่หรือไง?”
มู่อวี้เฉิงขมวดคิ้ว “คุณจะบอกว่าที่คุณหนีไปเป็นเพราะผมเหรอ?”
“...” ถงเหมี่ยวเหมี่ยวเม้มปากเงียบ
แน่นอนว่าเธอไม่ต้องการพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
เพราะท้ายที่สุดการที่เธอหนีไปและตัดสายสัมพันธ์กับทางครอบครัว ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเกี่ยวข้องกับผู้ชายตรงหน้า
เธอพยายามพูดเปลี่ยนเรื่องอย่างใจเย็น “ตอนนี้ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว คุณมู่กลับไปที่ห้องทำงานเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันทำแผลเสร็จแล้วจะไปเซ็นสัญญาด้วย”
มู่อวี้เฉิงมึนงงเมื่อเห็นว่าถงเหมี่ยวเหมี่ยวดูไม่แยแสและทำตัวราวกับคนแปลกหน้าอีกครั้ง
ถึงอย่างนั้นเขาไม่ได้พูดอะไร พยักหน้าและกลับไปที่ห้องทำงาน
หลังจากนั้นไม่นานถงเหมี่ยวเหมี่ยวเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในห้องทำงานของประธานบริษัท “ต้องขอโทษที่ทำให้คุณเสียเวลานะคะ ตอนนี้มาเซ็นสัญญากันเลยเถอะ” น้ำเสียงที่ดูเป็นมืออาชีพดังขึ้น
มู่อวี้เฉิงขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าถงเหมี่ยวเหมี่ยวกลายมาเป็นผู้หญิงผู้แข็งแกร่งอีกครั้ง
ทว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธอะไรและเริ่มเซ็นสัญญา
หลังจากเซ็นสัญญาเสร็จเรียบร้อยแล้วถงเหมี่ยวเหมี่ยวรับหน้าสัญญาของเธอมาและเตรียมพร้อมจะกลับออกไป
แต่กลับนึกไม่ถึงว่าลู่หมิงจะเดินเข้ามาเคาะประตูพอดี
มู่อวี้เฉิงมองดูเขาเดินเข้ามาและถามเสียงเย็นชา “ทุกอย่างเรียบร้อยดีมั้ย?”
ลู่หมิงพยักหน้า “จัดการเรียบร้อยแล้วครับ ส่วนคุณพ่อของผู้จัดการถงถูกตำรวจจับกุมตัวไป” เขาพูดขณะเหลือบมอง ถงเหมี่ยวเหมี่ยว
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวไม่ได้มีอารมณ์ใด ๆ บนใบหน้า ราวกับว่าการถูกจับกุมตัวไปไม่มีนัยยะสำคัญอะไรกับเธอ
“ขอบคุณมากนะคะ งั้นฉันขอตัวก่อน” เธอพยักหน้า เบา ๆ เป็นการขอบคุณลู่หมิงและเดินออกจากห้องทำงานไป
ลู่หมิงหันกลับไปมองท่านประธานด้วยความลังเล
หลังจากนั้นเขาก็ถามขึ้นว่า “ท่านประธานจะเอายังไงต่อไปดีครับ?”
มู่อวี้เฉิงเหลือบมองทิศทางที่ถงเหมี่ยวเหมี่ยวเดินจากไปและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ไม่ต้องกังวลไป”
เย็นวันนั้นถงเหมี่ยวเหมี่ยวเดินกะโผลกกะเผลกกลับไปที่บ้าน
แม่ซุนที่บังเอิญเห็นสะดุ้งโหยง รีบก้าวเข้ามาประคองเธอและถามว่า “คุณถง ทำไมถึงบาดเจ็บแบบนี้ล่ะคะ?”
เสี่ยวเป่าที่กำลังนั่งเล่นอยู่บนโซฟารีบกระโดดลงมาทันทีเมื่อได้ยินว่าแม่ได้รับบาดเจ็บ และไม่สนใจของเล่นในมืออีกต่อไป
ขาสั้น ๆ รีบวิ่งเข้าไปหาถงเหมี่ยวเหมี่ยว มองดูหัวเข่าของถงเหมี่ยวเหมี่ยวที่มีผ้าก๊อซพันรอบและคราบเลือดแห้งกรัง
ใบหน้าจิ๋วแสดงความทุกข์ใจออกมาทันทีและพูดสั่งอย่างฉะฉาน “คุณยายซุนช่วยหม่ามี้นั่งลงบนโซฟาด้วยนะครับ”
ขณะที่ตัวเขาเองคอยจับมือถงเหมี่ยวเหมี่ยวและประคองเธอเดินไปทีละก้าว
หลังจากถงเหมี่ยวเหมี่ยวนั่งลง เธอขอบคุณแม่ซุนและปล่อยให้เธอไปทำงานต่อ
เสี่ยวเป่าจับมือถงเหมี่ยวเหมี่ยวแน่นและถามด้วยความเป็นห่วง “หม่ามี้ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่า?”
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวดูออกว่าเจ้าตัวเล็กกำลังเป็นกังวลจึงเอื้อมมือออกไปจัดทรงผมบนหน้าผากที่ชี้โด่ชี้เด่ขึ้นและยิ้มเบา ๆ “หม่ามี้ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลหรอกลูก”
“แต่เสี่ยวเป่าเจ็บแทนหม่ามี้”
เสี่ยวเป่าเม้มปากและจ้องมองถงเหมี่ยวเหมี่ยวด้วยสีหน้าจริงจัง “หม่ามี้ไปโดนอะไรมา?”
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวพูดโกหกเพื่อไม่ให้เสี่ยวเป่ารู้สึกเป็นกังวล “อืม... แม่เผลอหกล้มน่ะ ถึงแม้จะดูน่ากลัวไปหน่อย แต่ จริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นอะไรเลย”
แต่ใครจะรู้ว่าสีหน้าของเสี่ยวเป่าจะดูจริงจังขึ้นเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว
“หม่ามี้นี่ไม่ได้เรื่องเลย”
เขาปล่อยมือถงเหมี่ยวเหมี่ยว กระโดดลงจากโซฟา และเริ่มพูดเทศนาราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อยอยู่ตรงหน้าถงเหมี่ยวเหมี่ยว “หม่ามี้คอยย้ำให้ผมเดินบนถนนระวัง ๆ แต่หม่ามี้เองไม่ยอมทำตามได้ยังไง?”
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวอดจะหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นว่าเขาจริงจังราวกับผู้เฒ่าตัวน้อย “เอาล่ะหม่ามี้ผิดไปแล้ว ต่อจากนี้ไปจะคอยมองถนนดี ๆ”
“ไม่ใช่แค่มองถนน แต่ต้องเดินช้า ๆ ด้วย ห้ามวิ่งและห้ามมองไปรอบ ๆ จะได้ไม่หกล้มแบบนี้อีก”
เสี่ยวเป่าชูนิ้วน้อย ๆ ขึ้นมานับทีละข้อ “หม่ามี้จำที่ผมบอกได้มั้ย?”
จากนั้นดวงตากลมโตจึงจ้องมองไปที่ถงเหมี่ยวเหมี่ยว
การแสดงออกที่จริงจังทำให้ถงเหมี่ยวเหมี่ยวมองว่าเขาน่ารัก และทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
รอยแผลที่ถงกัวฮุยทิ้งเอาไว้ในใจค่อย ๆ ได้รับการเยียวยาจากคำพูดน่ารัก ๆ ของเสี่ยวเป่า
...
ณ วิลล่าตระกูลถงที่ตั้งอยู่ในเมืองเป่ย
ภายในห้องนั่งเล่นถูกแต่งอย่างประณีตและดูเรียบง่าย
ถงกัวฮุยนั่งทำหน้าเศร้าอยู่บนโซฟา
เขาเพิ่งได้รับการประกันตัวออกมาเมื่อตอนเย็นวันนี้
ส่วนแม่กับลูกสาวกำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
คนหนึ่งคือโจวเพ่ยฮวาแม่เลี้ยงของถงเหมี่ยวเหมี่ยว ส่วนอีกคนคือถงอวิ๋นเหยียนน้องสาวต่างมารดา
เนื่องจากโจวเพ่ยฮวาหมั่นดูแลตัวเองเป็นอย่างดีจนรูปลักษณ์ภายนอกของเธอดูเหมือนกับหญิงสาวที่มีอายุสามสิบต้น ๆ เท่านั้น เธอคอยดูแลรูปร่างให้ได้สัดส่วนจนกลายเป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์
แต่ตอนนี้ความงามในตัวเธอกำลังถูกความโกรธเคืองครอบงำอยู่
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ? ทำไมตำรวจถึงตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายได้? คุณไม่ได้ไปหามู่อวี้เฉิงหรือไง?”
เธอจ้องเขม็งไปที่ถงกัวฮุย “สถานการณ์ในบ้านเราตอนนี้ก็แย่เอาการ ทำไมคุณยังทำตัวไม่มีสติอยู่อีก? หรือคุณคิดว่าตอนนี้ตระกูลถงยังเป็นเหมือนเมื่อก่อนอยู่?”
ถงกัวฮุยพยายามระงับความโกรธเอาไว้
แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เขากลับระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง “เธอคิดว่าฉันอยากจะทำตัวใจร้อนนักหรือไง? ถ้าไม่เพราะไปบังเอิญเจอนังเนรคุณถงเหมี่ยวเหมี่ยว! นังบ้านั่น ฉันเพิ่งทุบได้แค่ไม่กี่ครั้งเองก็เรียกตำรวจมาจับฉันแล้ว!”
โจวเพ่ยฮวากับถงอวิ๋นเหยียนตกตะลึง
“พ่อเจอถงเหมี่ยวเหมี่ยวจริงเหรอคะ?”
“เป็นไปได้ยังไง? นังนั่นมันหนีไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมเพรียงกัน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ถงกัวฮุยเหลือบมองพวกเขาและพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “หนีไปแล้วจะกลับมาอีกไม่ได้หรือไง?”
เขาหวนนึกถึงเหตุการณ์ในตอนบ่าย แต่ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งโมโหมากเท่านั้นจนเริ่มทุบตีที่วางแขนบนโซฟา
จากนั้นจึงกัดฟันพูด “อีกอย่างนังเนรคุณนั่นน่าจะยังมีสายสัมพันธ์กับมู่อวี้เฉิงอยู่!”
โจวเพ่ยฮวารู้สึกโกรธเคืองมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้และหวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเมื่อห้าปีก่อน
เธอกัดฟันและพูดสาปแช่ง “นังบ้ายังจะมีหน้ากลับมาอีก ที่ครอบครัวเราเป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ก็เพราะมันคนเดียว! พอกลับมาแล้วก็รีบวิ่งแจ้นไปขอคืนดีกับมู่อวี้เฉิงเชียว นี่มันเอาตระกูลถงไปวางไว้ตรงไหน!”
ถงอวิ๋นเหยียนหัวเราะเยาะและพูดประชดประชันว่า “แม่คะอย่าพูดอะไรตลกไปหน่อยเลย มู่อวี้เฉิงยังจะชอบมันอยู่หรือไง? มันเป็นคนทิ้งเขาไปแท้ ๆ บางทีนังถงเหมี่ยวเหมี่ยวอาจจะเอาตัวไม่รอดในต่างประเทศก็ได้ถึงได้กลับมาหามู่อวี้เฉิงไง!”
โจวเพ่ยฮวาคิดตามคำพูดของลูกสาวและพบว่าลูกสาวพูดถูก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
เธอหันไปมองถงกัวฮุยและถามว่า “แล้วหลังจากนี้คุณมีแผนยังไงบ้างล่ะ? หรือจะคอยมองนังนั่นเข้าไปพัวพันมู่อวี้เฉิงอีกรอบ เกิดมันไปทำให้ตระกูลมู่เคืองแล้วคิดว่าเรามีส่วนร่วมอีกล่ะ?”
สีหน้าของถงกัวฮุยดูจริงจังขึ้น
ดั่งคำพูดของโจวเพ่ยฮวาดึงเขาให้ได้สติ
เขาไม่สามารถปล่อยให้นังเนรคุณถงเหมี่ยวเหมี่ยวเข้าไปพัวพันมู่อวี้เฉิงได้อีกต่อไป
เพราะตระกูลถงไม่ได้สามารถแบกรับความสูญเสียได้อีกแล้ว
ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป
ถงอวิ๋นเหยียนก็แสยะยิ้มมุมปากราวกับกำลังปองร้าย “พ่อคะแม่คะ หนูคิดออกแล้วว่าจะทำยังไงให้ได้ผลดีทั้งสองฝ่าย”