ตอนที่ 16 เหอเฉียง
ตอนที่ 16 เหอเฉียง
เจียงโม่หลีไม่ได้เอ่ยคำอื่นใดต่อ เพียงแค่นิ่งเฉยและเดินจากไป
“ศิษย์พี่หญิงเจียงกลับไปแล้ว ศิษย์พี่จี้ทำยังไงถึงรอดพ้นอันตรายมาได้กันเนี่ย?” อู๋ฮั่นเดินเข้ามาใกล้จี้เตี๋ยด้วยความสงสัย สายตาที่มองมาในเวลานี้ยิ่งมีแต่ความนับถือ
“ศิษย์พี่หญิงเจียงเป็นคนมีเหตุผล ข้าอธิบายและบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ภายหลังทราบเรื่องแล้ว แม้ว่ายังโกรธอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้กล่าวโทษข้ารุนแรงอะไรนัก” จี้เตี๋ยตอบกลับ
“ถ้าอย่างนั้นห้าวันที่พูดถึงหมายความว่ายังไงหรือขอรับ?” อู๋ฮั่นมองมาด้วยความสงสัย
“อย่าถามอะไรที่ไม่ควรถาม มันเป็นความลับระหว่างข้ากับศิษย์พี่หญิงเจียง หากข้าบอกนางคงโกรธมากแน่” จี้เตี๋ยตบไหล่อีกฝ่ายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพราะเขาได้เห็นเฮ่อซงที่เดินจากไปด้วยสีหน้าดำมืด เวลานี้จึงแค่นเสียงเย้ยหยันอยู่ภายใน
“ให้มันมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักระยะก็แล้วกัน”
อีกฝ่ายคิดฆ่าเขาให้ตายครั้งแล้วครั้งเล่า มันเปรียบเสมือนแมลงวันที่บินไปมาส่งเสียงหึ่งน่ารำคาญ เดิมจี้เตี๋ยก็ไม่ใช่คนจิตใจดีโอบอ้อมอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงโกรธจนคิดล้างแค้น
เพียงแต่ที่นี่คือสำนักเจ็ดลึกล้ำ และตอนนี้ไม่ค่อยสะดวกที่จะสังหารใคร ทำให้ต้องปล่อยอีกฝ่ายมีชีวิตรอดต่อไปก่อน
อย่างไรแล้วด้วยความแข็งแกร่งของเขา อย่างมากก็ทำได้แค่ดูแคลนผู้อื่นไปก่อน เพราะเขายังไม่สามารถสร้างความวุ่นวายไปกว่านี้ได้
จี้เตี๋ยส่ายศีรษะ สุดท้ายจึงกลับบ้านพักของตนเองไป
หลายวันถัดมา พื้นที่โรงนาได้รับความสงบสุขกลับคืน เพียงแต่ภายหลังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปมากมาย หากเทียบเปรียบกับก่อนหน้าก็ถือว่าบรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปอยู่พอสมควร
ปัจจุบันศิษย์ทั้งหมดในพื้นที่โรงนา นอกจากเฮ่อซงแล้วต่างก็มองมาทางจี้เตี๋ยด้วยความรู้สึกหลากหลาย
เพราะเขาครอบครองสภาวะที่ถือว่าดีเยี่ยมที่สุดในโรงนาแห่งนี้ มันถึงสร้างความไม่พอใจในหมู่ศิษย์บางคน ดังนั้นบางสายตาที่มองมาจึงปรากฏความเป็นปรปักษ์อันชัดเจน
‘ที่พวกมันหวาดกลัว ก็เพราะพละกำลังของเรา!’ จี้เตี๋ยตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลง และทราบว่าเพราะความแข็งแกร่งของตนเองถึงเป็นแบบนี้ ทุกวันเขาจะแวะไปให้อาหารงูดำ
และเพื่อช่วยให้มันทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ เขาจึงต้องมอบผลยกวิญญาณทุกครั้งที่แวะมาให้อาหาร เป็นเหตุให้การฝึกตนของงูดำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะเหลือเพียงแค่หนึ่งวันก่อนครบกำหนด ในที่สุดมันก็ทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่สี่
และมีเพียงจี้เตี๋ยที่ทราบเรื่องราว!
“ฟ่อ ฟ่อ” ด้านในคอกของเจ้างูดำที่ทะลวงการกลั่นลมปราณสู่ขั้นที่สี่ได้แล้ว มันได้รับความมั่นใจกลับคืนมา และไม่ได้มีท่าทีหงอหรือหวาดกลัวเช่นเมื่อก่อนอีกต่อไป
“เจ้าเดรัจฉาน อยากโดนทุบอีกรอบหรือ? ลืมแล้วหรือไรว่าใครกันที่ช่วยให้เจ้าทะลวงขึ้นมาได้?!” จี้เตี๋ยมองมันตอบด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่มือกลับกำหมัดแน่นพร้อมเสียงกระดูกลั่นดังให้ได้ยิน
เจ้างูดำที่พบเห็น นัยน์ตาของมันต้องฉายประกายความหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง
จี้เตี๋ยยอมปล่อยผ่านและเดินออกมาจากคอกสัตว์
ปัจจุบันภารกิจที่ตกลงกันเอาไว้สำเร็จลุล่วงแล้ว ถือว่าเขาสามารถวางใจได้ระดับหนึ่ง
แม้หลายวันมานี้ค่อนข้างยุ่ง แต่เขาก็มีความก้าวหน้าในด้านควบคุมวัตถุแล้ว
ปัจจุบันเขาสามารถควบคุมวัตถุหนักหลายจินได้ตามใจ รวมถึงสามารถทำให้มันบินไปมาในระยะสิบก้าวจากตนเองได้
จี้เตี๋ยจึงสร้างกระบี่ไม้ขึ้นมาเป็นพิเศษ เพื่อควบคุมให้มันบินไปมารอบด้านที่พักอาศัยด้วยความเร็วสูง อย่างที่ผู้ฝึกตนซึ่งยังไม่สำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ยากจะหลบเลี่ยงได้
หากว่าเป็นกระบี่จริงเมื่อใด เมื่อนั้นร่างเป้าหมายคงได้เป็นรูทะลวง!
“เก็บ!” จี้เตี๋ยผู้มีแรงกายแรงใจสูงส่งประหนึ่งได้กลายเป็นเซียนผู้สามารถใช้กระบี่บินเดินทางแล้วก็ไม่ปาน มันเป็นเรื่องราวที่แม่ของเขาเคยเล่าให้ฟังตอนยังเด็ก สุดท้ายพอเอ่ยคำ กระบี่บินจึงกลับมาอยู่ตรงหน้าก่อนจะถูกเก็บเข้าถุงมิติไป
จี้เตี๋ยยิ้มขณะนำเอาผลยกวิญญาณออกมาใช้ฟื้นฟูพลังวิญญาณของตนเอง
“ภายหลังพ้นช่วงก่อสร้างรากฐานแล้ว การฝึกฝนของเราน่าจะมั่นคงขึ้นมาก ภาพรวมกำลังดีขึ้นยิ่งกว่าตอนเพิ่งทะลวงการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่อยู่พอสมควร แม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้นที่ห้า แต่อย่างน้อยหากต้องต่อสู้กับผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ทั่วไป พวกมันก็คงเทียบเราไม่ได้”
ช่วงเวลานี้เองที่เสียงฝีเท้าราวกับเร่งร้อนหลบหนีดังออกจากด้านนอกของตัวบ้าน
“มีคนแอบมองหรือ!” จี้เตี๋ยตื่นตระหนกจนลุกพรวดจากเตียง ก่อนจะพุ่งตัวออกไปยังหน้าต่างและเปิดพรวดมองสำรวจ
ภายนอกแสงตะวันยังคงสาดส่อง เพียงแต่ไม่มีใครอยู่
“หนีไปแล้ว?”
จี้เตี๋ยที่มองผ่านช่องของหน้าต่างต้องขมวดคิ้ว สุดท้ายจึงออกไปสำรวจด้วยตนเอง แต่ก็ไม่พบว่ามีใคร
“ศิษย์พี่จี้ เป็นอะไรหรือขอรับ?” อู๋ฮั่นที่เพิ่งเดินออกมาจากโรงนาในเวลาไล่เลี่ย ภายหลังพบเห็นเขากำลังสำรวจมองและเดินหาอะไรบางอย่าง จึงต้องถามออกมาด้วยความสงสัย
“เมื่อครู่เห็นใครที่นอกบ้านของข้าหรือไม่?” จี้เตี๋ยหันไปถาม
“อาจไม่เกี่ยวนะขอรับ แต่ข้าได้เห็นเหอเฉียงรีบร้อนออกจากโรงนาราวกับตื่นกลัวอะไรบางอย่าง เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?” อู๋ฮั่นมองด้วยความสับสน
“เหอเฉียง?! เมื่อครู่นี้เป็นเขาหรือ?” จี้เตี๋ยขมวดคิ้ว เพราะเขาพอจะรู้จักอีกฝ่ายอยู่บ้าง เหอเฉียงเป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่สาม ตอนนี้พอได้ยินคำตอบของอู๋ฮั่น เขาจึงเกิดสงสัยอยู่ภายใน หรือว่าอีกฝ่ายกำลังจับตามองตนเองอยู่?
เพียงแต่เพราะอะไรอีกฝ่ายถึงมาจับตามองกันแบบนี้?
“ศิษย์พี่จี้ เป็นอะไรไปขอรับ?” อู๋ฮั่นถามด้วยความสงสัยและสับสน เพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ไม่มีอะไร” จี้เตี๋ยโบกมือก่อนจะหาข้ออ้างแยกตัวและกลับเข้าบ้านของตนเอง
อู๋ฮั่นพบเห็นอีกฝ่ายหายกลับเข้าประตูไป สายตาของเขาทอประกาย สุดท้ายจึงเดินไปจากโรงนา
“มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมถึงมีคนแอบมาสอดส่องกันแบบนี้ได้?” ภายในห้อง จี้เตี๋ยนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงขณะขมวดคิ้วครุ่นคิด
“ไม่ว่าจะด้วยอะไร เรื่องนี้เป็นการย้ำเตือน เราต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้ โชคดีที่เมื่อครู่ไม่ได้เอาหม้อทองแดงออกมา” จี้เตี๋ยสูดลมหายใจเข้าลึก
มันคือสัญญาณบ่งบอกเขา ว่าพื้นที่โรงนาแห่งนี้อาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว ภายหน้านับจากนี้เขาต้องเก็บซ่อนหม้อทองแดงให้ดี รวมถึงต้องระมัดระวังการใช้ผลยกวิญญาณในการฝึกฝนให้มิดชิดด้วยเช่นกัน
ผลยกวิญญาณที่ยังเหลือในถุงมิติเองก็จำเป็นต้องใช้ให้หมด
เมื่อครู่อีกฝ่ายสมควรได้เห็นเขานำผลยกวิญญาณออกมา และเพราะเขาไม่ทราบว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงมาจับตามองเช่นนี้ มันทำให้เขาสังหรณ์รู้สึกถึงลางร้าย
ดังนั้นในภายหน้านับจากนี้ เขาต้องเก็บผลยกวิญญาณในถุงมิติให้น้อยที่สุดเท่าที่จะมากน้อย และจะใช้ก็แค่ตอนที่จำเป็น
“เจ้ากล่าวว่ามันสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ และยังควบคุมวัตถุได้แล้ว? กระทั่งว่านำผลยกวิญญาณออกมาใช้ด้วยงั้นหรือ?” ช่วงเวลาเดียวกันแต่เป็นคนละสถานที่ ชายหน้าม้ากำลังมองศิษย์จากโรงนาที่มารายงานด้วยสายตาทอประกาย
“จริงแท้แน่นอนขอรับ ข้าได้เห็นเองกับตา” ศิษย์คนนั้นพยักหน้ารับอย่างต่อเนื่อง
“ผลยกวิญญาณงั้นหรือ มันไปหามาจากไหน ทั้งที่เป็นเพียงแค่ศิษย์สายนอกแท้ ๆ” ชายหน้าม้าลุกขึ้นยืนขณะเดินไปมาราวกับครุ่นคิดด้วยความสงสัย
เดิมเขาส่งคนไปคอยประกบเฝ้าจับตามองจี้เตี๋ย ก็เพื่อสืบว่าอีกฝ่ายไปตกลงอะไรกับเจียงโม่หลีถึงได้ยอมปล่อยผ่านเรื่องราวโดยง่าย
แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะได้รับข่าวที่สร้างความตกใจมาแบบนี้
“หรือจะเกี่ยวข้องกับศิษย์พี่หญิงเจียง? หากจะมีผลยกวิญญาณได้ ก็ต้องเป็นศิษย์พี่หญิงเจียงมอบให้ไม่ใช่หรือขอรับ?” ศิษย์คนนั้นแม้ลังเลแต่ก็เอ่ยตอบ
“ข้าไม่คิดแบบนั้น!” ชายหน้าม้าส่ายศีรษะ
ความเร็วการฝึกฝนของอีกฝ่ายก้าวหน้ารวดเร็วเกินไป เพียงแค่สิบวันกลับทะยานจากการกลั่นลมปราณขั้นที่หนึ่งสู่ขั้นที่สี่ได้
สัญชาตญาณของเขากำลังร้องบอก ว่าจี้เตี๋ยน่าจะยังมีผลยกวิญญาณอยู่กับตัวอีกแน่!
“เจ้ากลับไปก่อน อย่าให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป!”
ชายหน้าม้าไล่ศิษย์ที่มารายงานเรื่องราว ขณะสายตาเผยออกซึ่งความละโมบ
“จี้เตี๋ย! ไม่แปลกใจเลยที่มันทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ได้ในระยะเวลาอันสั้น อยากรู้นักว่าเจ้ายังมีความลับใดเก็บซ่อนไว้อีกกันแน่!”
“แต่ต่อให้ถามไปโดยตรงมันก็คงไม่ยอมตอบ กระทั่งจะมองเป็นศัตรู!” ชายหน้าม้าเผยสายตาประหนึ่งหมาป่าที่จับจ้องเหยื่อและคิดล่า
ตอนแรกที่เขาเพ่งเล็งอีกฝ่าย ก็เพราะเรื่องราวของศิษย์พี่หญิงซ่ง แต่ภายหลังได้ทราบว่าจี้เตี๋ยอาจมีผลยกวิญญาณจำนวนมากอยู่กับตัว เขาจึงต้องเปลี่ยนความคิดและท่าที
พึงทราบว่าเขาฝึกฝนมาแล้วกว่าสิบปี แต่ก็ยังติดอยู่ที่การกลั่นลมปราณขั้นที่สี่!
ยามทราบว่ามีเด็กน้อยผู้หนึ่งทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ในระยะเวลาอันสั้น มีหรือเขาจะรู้สึกยินดีด้วย?
ทุกสิ่งอย่างที่อีกฝ่ายครอบครอง เขาจะต้องแย่งชิงเอามาให้จงได้!
ชายหน้าม้าส่ายศีรษะก่อนจะพึมพำกับตนเอง
“ไม่ว่ามันจะมีความลับใดซ่อนอยู่ ก็ต้องอยู่ในถุงมิติของมันแน่!”