ตอนที่ 15 คิดสั่งสอนข้างั้นหรือ?
ตอนที่ 15 คิดสั่งสอนข้างั้นหรือ?
สตรีโฉมงามไร้ที่ติในชุดสีแดงกระจ่างประหนึ่งอัคคีอันงดงาม ชายกระโปรงยาวที่ลู่เหนือพื้นยิ่งนับเน้นความงดงามขณะเดินไปตามทาง
เหล่าศิษย์ซึ่งทำหน้าที่ในคอกสัตว์ที่ได้พบนางต่างต้องโค้งศีรษะลงด้วยความนอบน้อม กระทั่งว่าไม่กล้าแสดงความรู้สึกใดออกมา
“คำนับศิษย์พี่หญิงเจียงขอรับ”
เจียงโม่หลีผู้มีสีหน้าเย็นเยือก กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังคอกสัตว์หมายเลขสิบเอ็ดในโรงนา
“เจ้าเด็กใหม่นั่นคงสภาพดูไม่ได้แน่” ศิษย์คนหนึ่งซึ่งมองตามแผ่นหลังของหญิงสาวพลันต้องส่ายศีรษะด้วยความเสียดาย แน่นอนว่าเขาทำได้แค่มอง ไม่กล้าตามไป
“ศิษย์พี่จี้ ศิษย์พี่หญิงเจียงมาที่โรงนาแล้ว! นางเรียกท่านไปพบ!” เพียงไม่ช้า อู๋ฮั่นจึงไปยืนหอบหายใจขณะตะโกนเรียกจี้เตี๋ย
“นางมาแล้วหรือ ข้าจะไปพบก็แล้วกัน” จี้เตี๋ยเองก็พอจะได้ยินเสียงอึกทึกภายนอกในช่วงที่เพิ่งฝึกฝนเสร็จ ดังนั้นพอได้ทราบข่าว เขาจึงเดินออกจากบ้านมาโดยทันที
ปัจจุบันศิษย์มากมายกำลังรวมตัวกันอยู่ที่นอกโรงนาซึ่งถูกใช้งานเป็นคอกสัตว์ ตอนพวกเขาพบเห็นจี้เตี๋ยปรากฏตัว สายตาเหล่านั้นที่มองมาต่างก็แสดงออกถึงความเย็นชืด
จี้เตี๋ยย่อมทราบว่าคนเหล่านี้เป็นใคร เพียงแต่ปัจจุบันคร้านจะใส่ใจ ที่เขาทำก็เพียงแค่เดินเข้าไปด้านในโรงนา
“ศิษย์พี่จี้ ท่านคงต้องไปด้วยตนเองแล้ว” อู๋ฮั่นหยุดยืนภายนอกโรงนาด้วยท่าทีหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าไม่กล้าเข้ามา
“อืม” จี้เตี๋ยไม่ได้ขอให้อีกฝ่ายติดตามมาแต่อย่างใด ภายหลังรับคำเขาจึงเดินไปต่อเพียงลำพัง
แน่นอนว่าในใจของเขาก็มีความรู้สึกเกรงกลัวอยู่เช่นกัน เพราะอย่างไรฝ่ายที่ลงมือก่อนก็คือเขา
“อยากจะเห็นนักว่าครั้งนี้เจ้าจะยังมีโชคอยู่หรือไม่” เฮ่อซงเผยสายตาดำมืดจับจ้องแผ่นหลังของจี้เตี๋ยก่อนจะแค่นเสียง ในใจของเขาแทบจะได้เห็นภาพฉากที่จี้เตี้ยถูกเจียงโม่หลีสังหารเพราะความโกรธจนตายคาที่แล้วด้วยซ้ำ
ที่ด้านในคอกหมายเลขสิบเอ็ด ความอ่อนแรงในดวงตาของงูดำได้เลือนหายไปมาก มันขยับหัวเข้าหาสตรีตรงหน้าพลางถูไถเข้ากับเท้าของนาง
จนกระทั่งเด็กหนุ่มคนหนึ่งแสดงตัว ร่องรอยความหวาดกลัวจึงปรากฏในดวงตาของมัน
ดูเหมือนมันจะเรียนรู้แล้ว…
จี้เตี๋ยละสายตาจากงูดำ สุดท้ายจึงทำความเคารพสตรีที่อยู่ด้านในคอก
“คารวะศิษย์พี่หญิงเจียงขอรับ” อีกฝ่ายยังคงหันหลังให้ เผยให้เห็นเพียงแต่แผ่นหลัง
แต่จี้เตี๋ยย่อมคาดเดาตัวตนของอีกฝ่าย เขาจึงประสานมือแสดงความเคารพและลดศีรษะลงต่ำ กระทั่งว่าไม่กล้าสบตากับนาง
กล่าวไปแล้ว นับตั้งแต่มารับหน้าที่ที่นี่ มันถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจ้าของงูดำตัวนี้ ดังนั้นเขาเองก็ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายมีหน้าตาเช่นไร
เพียงแต่การพูดกล่าวอะไรออกไปในสถานการณ์เช่นตอนนี้อาจไม่ใช่ความคิดที่ดี…
จี้เตี๋ยนึกนับถือตนเองที่แม้แต่เวลาเช่นตอนนี้ยังกล้าที่จะคิดไปเรื่อย
ทันใดนี้เองที่หญิงสาวหันกลับมาและมองด้วยสายตาเย็นเยือก
“ข้าได้ยินว่าเจ้าทำร้ายนาคาวารีทมิฬของข้าหรือ?”
ยามได้พบเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย จี้เตี๋ยถึงกับชะงัก
เพราะหญิงสาวรูปลักษณ์หน้าตาดูดีอย่างถึงที่สุด เรียวคิ้วทอดเป็นเส้นประหนึ่งขุนเขาที่อยู่ลับตา จมูกตั้งตรงและโด่งประหนึ่งสันเขาที่ได้รูป ริมฝีปากอวบอิ่มแดงเรื่อ และตรงจุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วนั้นมีตราประทับอัคคีสีแดงอยู่ เพียงแต่คิ้วของนางกำลังขมวดกันมุ่น
นางสวมใส่ชุดสีแดงเพลิงอันงดงาม เรียวขาประหนึ่งสันเขาที่ทอดยาว เหนือขึ้นไปคือองเอวที่เพรียวบางประหนึ่งใบหลิว มันเพรียวบางเสียจนอาจทำผู้คนกังวลได้ ว่าหากเจ้าของร่างมีน้ำหนักมากกว่านี้อาจหักเอาได้
ตอนนี้เองที่เสียงแค่นขึ้นจมูกอันเย็นชาเป็นการดึงสติของจี้เตี๋ยกลับสู่โลกความเป็นจริง ยามพบเห็นสายตาอันงดงามทอประกายแสงอันเย็นเยือกเจิดจ้า จี้เตี๋ยจึงต้องตื่นขึ้นจากห้วงความคิด กระทั่งว่าเกิดริมฝีปากแห้งเหือดขณะประสานมือตอบรับ “ข้าเองขอรับ”
“ยอมรับได้ตรงดี” เจียงโม่หลียกนิ้วขาวราวหยกสลักขึ้นมา นาคาอัคคีตัวน้อยขนาดราวหนึ่งฉื่อพลันพุ่งทะยานเข้าหาเด็กหนุ่มด้วยความเร็วประหนึ่งสายฟ้า
*ฉื่อ เป็นหน่วยความยาว ราวประมาณ 1 ไม้บรรทัดหรือ 33 เซนติเมตร
“นี่มันอะไรกัน…” สายตาของจี้เตี๋ยมองมันพร้อมได้เห็น ว่านาคาน้อยกำลังอ้าปากเผยคมเขี้ยวสองข้างด้านใน สายตาของเขาพลันต้องหรี่เล็กจ้องมอง!
นาคาอัคคีตัวนี้เป็นเสมือนของจริง ถึงขนาดมีเขี้ยวทั้งสองข้าง! เพียงชั่วพริบตา มันพุ่งทะยานมาถึงตรงหน้าเขาพร้อมอ้าปากและเตรียมกัดเข้าใส่ พบเห็นดังนี้ แผ่นหลังของจี้เตี๋ยพลันปรากฏเหงื่อกาฬไหลโทรมกาย
“ข้าช่วยให้นาคาวารีทมิฬของศิษย์พี่หญิงเจียงทะลวงการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ได้นะขอรับ!”
เพียงสิ้นคำ นาคาอัคคีจึงหยุดค้างกลางอากาศ ภายหลังผ่านความเงียบงันชั่วครู่ มันจึงสลายตัวหายไป
“สิบวัน ภายในสิบวันข้าจะทำให้มันทะลวงการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ขอรับ” พบเห็นอีกฝ่ายแสดงความลังเล จี้เตี๋ยจึงเกิดโล่งอกพร้อมเร่งร้อนเอ่ยข้อเสนอ
เมื่อครู่หญิงสาวทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างล้นเหลือ ความแข็งแกร่งของนางเกินกว่าชายหน้าม้าไปไกลโพ้นจนเทียบไม่ได้
เพียงแค่ไม่ทราบว่านางสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นใดก็เท่านั้น
ขั้นที่ห้างั้นหรือ?
หรือว่าจะเป็นขั้นที่หก?
“โห?” เจียงโม่หลีสำรวจมองเด็กหนุ่มด้วยดวงตาอันงดงามตั้งแต่หัวจรดเท้า ยามพบเห็นความตั้งใจที่เขาแสดงออก ลึกในสายตาของนางจึงปรากฏความรู้สึกสนอกสนใจ
น่าสนใจ!
ศิษย์สายนอกคนหนึ่ง ถึงขนาดกล้าเอ่ยปากบอกว่าสามารถช่วยนาคาวารีทมิฬของนางทะลวงการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่! จะเป็นการลากถ่วงเวลาเพื่อดึงความสนใจของนาง หรือว่ามีเจตนาอื่นกันแน่?
พบเห็นอีกฝ่ายยังแสดงความลังเล จี้เตี๋ยรู้สึกประหนึ่งมีดอันคมกริบกำลังจ่อคอตนเอง เวลานี้จึงกัดฟันพูดออกมา
“ห้าวัน ขอศิษย์พี่หญิงเจียงรอเพียงห้าวัน หากข้าทำให้สำเร็จในระยะเวลาห้าวันนี้ไม่ได้ ถึงตอนนั้นหากศิษย์พี่หญิงเจียงต้องการทำอะไรก็ทำขอรับ!”
“ห้าวัน…” เจียงโม่หลีไม่อาจทราบ ว่าอีกฝ่ายไปเอาความมั่นใจนี้มาจากที่ใด
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากโป้ปดข้าแล้วจะต้องเจอกับอะไร?” เจียงโม่หลีเอนกายพิงขอบประตูคอกขณะจ้องมองมาด้วยรอยยิ้มอันเย็นเยือก
นาคาวารีทมิฬของนางติดชะงักที่การกลั่นลมปราณขั้นที่สามมายาวนาน มันไม่อาจไล่ตามความแข็งแกร่งของนางได้ทัน ดังนั้นยามใดออกไปทำภารกิจที่สำนักมอบหมายหรือออกไปฝึกฝน นางจึงแทบไม่ได้นำมันร่วมทางไปด้วย
แต่หากว่ามันสามารถทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ มันก็จะแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่ห้า
จี้เตี๋ยพยายามสงบใจก่อนจะตอบคำ
“ข้าไม่ทราบขอรับ แต่ขอศิษย์พี่หญิงเจียงให้โอกาสสักครั้งขอรับ”
เจียงโม่หลีสำรวจมองเด็กหนุ่มไปชั่วขณะ สุดท้ายจึงขยับริมฝีปากแดงอวบอิ่มเอ่ยคำ
“ตกลง ข้าจะให้เวลาเจ้าห้าวัน หากเจ้าทำให้มันทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ได้ ข้าจะถือว่าอะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป”
“ขอรับ…” จี้เตี๋ยไม่กล้าเอ่ยคำอื่นใดอีก และเวลานี้เขารู้สึกเพียงแค่โล่งอก
แต่ก็ถือว่าแผนการของสำเร็จแล้ว
แผนการของเขาคือการเดิมพัน ว่าเจียงโม่หลีจะยอมแลกการให้อภัยกับการทำให้สัตว์อสูรของนางทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่สี่หรือไม่ มันคือแผนที่เขาคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก!
“คารวะศิษย์พี่หญิงเจียงขอรับ”
ภายหลังออกมาจากโรงนา จี้เตี๋ยจึงโค้งกายส่งหญิงสาวด้วยความนอบน้อม
เพียงแต่เจียงโม่หลีไม่ได้หันกลับมาตอบรับใด นางเพียงแค่เดินจากไปด้วยท่าทีอันเรียบเฉย
“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ศิษย์พี่หญิงเจียงไม่ระบายโทสะใส่ไอ้หนูนี่งั้นหรือ?” ศิษย์รอบด้านแทบจะมองมาด้วยดวงตาถลนออกจากเบ้า เพราะพวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าจะพบเห็นจี้เตี๋ยออกมาโดยมีชีวิตรอดไร้รอยขีดข่วน
มันไม่สมเหตุสมผล!
“ศิษย์พี่หญิงเจียง ท่านอย่าได้ถูกไอ้วายร้ายนี่หลอกลวงเอาได้นะขอรับ!” เฮ่อซงที่ไม่คิดปล่อยจี้เตี๋ยรอดพ้นโดยง่าย ยามพบเห็นเจียงโม่หลีกำลังเดินกลับ เขาจึงเร่งก้าวออกมาพูดด้วยความร้อนรน
ผลลัพธ์นั้น บังเอิญว่ารีบร้อนรวมกับมีก้อนหินอยู่บนพื้นพอดี เขาจึงสะดุดล้มลงหน้าทิ่มกับพื้นจนเรียกเสียงหัวเราะจากผู้คน
เฮ่อซงไม่คิดสนใจ เวลานี้ยังพยายามตะเกียกตะกายมาหยุดตรงหน้าเท้าของเจียงโม่หลี กระทั่งคว้าชายกระโปรงของนางเอาไว้ “ไอ้เด็กนี่มันกล้าทำร้ายสัตว์เลี้ยงของศิษย์พี่ การกระทำของมันบ่งบอกว่าไม่เห็นท่านในสายตา ท่านจะปล่อยมันไปโดยง่ายเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ!”
“เจ้ากำลังชี้นิ้วสั่งข้าหรือ?!” พบเห็นเศษดินจากมืออีกฝ่ายเปื้อนชายกระโปรงของตนเอง ประกายสายตาเย็นเยือกพลันทอเจิดจ้าจากดวงตาของเจียงโม่หลี นาคาอัคคีตัวน้อยพลันพุ่งทะยานออกจากปลายนิ้วของนาง มันแผดเผาเฮ่อซงจนต้องเร่งร้อนกลิ้งตัวหลบหนีออกมา
“สมควร” อู๋ฮั่นเย้ยหยัน
“บัดซบ…” เฮ่อซงกระอักเลือดขณะพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับสายตาที่เปี่ยมล้นด้วยความเกลียดชัง
เพียงแต่ยามสบกับสายตาเย็นเยือกของเจียงโม่หลี ความหวาดกลัวกลับเข้าแทนที่ความเกลียดชัง กระทั่งไม่กล้าเอื้อนเอ่ยส่งเสียงใดออกมาอีก
เจียงโม่หลีเพียงแค่เปรยสายตามองและเมินเฉย สุดท้ายจึงหันกลับไปมองจี้เตี๋ย
“จดจำเอาไว้ เจ้ามีเวลาเพียงแค่ห้าวัน” เสียงนี้เป็นการย้ำเตือน
“ขอรับ ข้าจะทำให้ศิษย์พี่หญิงเจียงพึงพอใจอย่างแน่นอนขอรับ” จี้เตี๋ยประสานมือโค้งกายตอบรับด้วยความนอบน้อม