ตอนที่แล้วบทที่ 83 มอดม้วย (ช่วงที่ 2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 85 มอดม้วย (จบ)

บทที่ 84 มอดม้วย (ช่วงที่ 3)


[ลงแบบราคาถูกโคตรในmy-novel(ลงช้ากว่าthai-novel100ตอน)กับthai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นนอกจากสองเว็บนี้คือไม่ใช่ผมนะ ถ้าเจอคนอ่านก็อปดันเยอะกว่าก็ท้อเป็นนะครับ]

[ถ้าแชร์กันอ่านหรืออะไรงี้ ผมไม่ว่าเลยครับ และต่อให้ไม่มีคนอ่าน ผมก็ยังจะแปลต่อจนจบด้วย แต่ถ้าจะจ่ายเงินให้เว็บหรือคนที่copyไปขายกันเป็นกลุ่มเหมาอีกที คุณโคตรแย่เลยครับ]

[หลังแปลจบจะมีการแก้คำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น ดังนั้นถ้าคุณอ่านแบบเถื่อน ก็เชิญเลยครับ เพราะมันไม่มีอัพเดทให้หรอก]

บทที่ 84 มอดม้วย (ช่วงที่ 3)

เครื่องยิงจรวดจากทางตะวันตกเฉียงเหนือได้ยิงต่อเนื่อง ใช้เวลาเจ็ดนาทีก่อนจะหยุดสนิท

เนื่องจากเขายังคงมีความพะวงเรื่องออลสปาร์คอยู่บ้าง ซุนเฉิงผู้ที่บินอยู่ใกล้ฐานจึงกลับมาและตกใจกับภาพความหายนะที่เกิดขึ้น

มีหลุมอุกกาบาตมากมายบนพื้นดิน รอยแตกและรอยร้าวที่เกิดจากการระเบิดบนถนนซีเมนต์มหาศาล เศษซากของรถฮัมวี่ รถภาคพื้นดิน และแม้กระทั่งรถถังยังคงมีร่องรอยลุกไหม้ ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย

เขาพบศพและแขนขา เศษเนื้อของทหารอเมริกันบางคนที่ไม่สามารถหนีออกมาได้ ส่วนใหญ่ถูกเผาไหม้เป็นก้อน และบางคนแทบจะแยกแยะรูปลักษณ์ของพวกเขาไม่ได้เลย ใบหน้าของพวกเขาดำเป็นตอตะโก มือเอื้อมไปยังลำคอ ทั้งหมดนี้บ่งบอกถึงความเจ็บปวดแสนทรมานที่พวกเขาพานพบเมื่อครู่

จากพลังของการระเบิดและความถี่ของการยิงกระสุนปืนก่อนหน้านี้ ซุนเฉิงคาดเดาว่าการโจมตีเหล่าน่าจะมาจากเครื่องยิงจรวด M270  หลายลำที่กองทัพสหรัฐติดตั้งไว้

นี่เป็นอาวุธที่ทรงพลังของกองทัพ แม้แต่ดีเซปติคอนและออโต้บอตส์ที่แข็งแกร่งก็ไม่อาจทนต่อการโจมตีอันรุนแรงเช่นนี้ได้

เมื่อซุนเฉิงเห็นว่ายังมีไซเบอร์ทรอนิกส์ที่รอดชีวิตยังคงอยู่ในฐาน ความคิดแรกของเขาคือดีใจที่ตนรีบกลับมายังที่นี่

เนื่องจากห่าฝนกระสุนจรวด พอซุนเฉิงกลับไปยังฐานที่ถูกทำลาย ฐานทั้งหมดที่ถูกทำลายล้างด้วยปืนใหญ่จึงไม่มีอาคารหรือสิ่งอำนวยความใด ๆ ที่สามารถรักษาไว้ได้เลย ทุกที่ดูโล่งเตียนและว่างเปล่า

เขามองไปรอบ ๆ นอกเหนือไปจากไซเบอร์ทรอนิกส์สองเผ่าพันธุ์อย่าง ดีเซปติคอนและออโต้บอตส์ที่ต่อสู้กันมาหลายปี ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตตนใดรอดชีวิตอยู่เลย

ตอนเขากลับมา เขาเห็นออนสลอตดึงปืนแม่เหล็กไฟฟ้าสองลำกล้องสองกระบอกที่ด้านหลังของเขากลับเข้าไป อีกฝ่ายเปลี่ยนร่างจากรถบรรทุกหนักพิเศษของเขาเป็นร่างหุ่นยนต์

ฮีโร่ผู้หยุดฝนกระสุนจรวดคือ ออนสลอต เขายิงออกไปหลายสิบนัดใส่ตำแหน่งของเครื่องยิงจรวด M270 ของกองทัพสหรัฐในเวลาเพียงไม่กี่นาที แม้ว่าจะเป็นการรีบโต้ตอบอย่างเร่งรีบโดยอาศัยปืนแม่เหล็กไฟฟ้าสองลำกล้องของตนเอง แต่ออนสลอตก็สามารถหยุดฝนกระสุนจรวดได้

แต่ถึงจะหยุดได้สักพักหนึ่ง ทางกองทัพสหรัฐกลับยังคงยิงจรวดอย่างน้อยหกหรือเจ็ดร้อยลูกไปยังฐานนั้นต่อ

ถึงแม้มิสไซล์อย่างไซด์วินเดอร์จะยิงใส่ออนสลอต แต่มันก็สามารถทำได้เพียงแค่สร้างรอยสีขาวบนร่างกายหุ่นยนต์ของเขาเท่านั้น ทว่ายามนี้ทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยรอยร้าวที่น่าสะพรึงหลายแห่ง หลังจากถูกจรวดโจมตีด้วยความถี่นั้น เห็นได้ชัดว่ากระทั่งออนสลอตก็ไม่สามารถทนได้

เมื่อเห็นเขา ออนสลอตไม่คิดที่จะพูดทักทายอะไรทั้งนั้น เขาไล่ตามออกนอกฐานทัพไปโดยตรง วิ่งและสะดุดจนเศษโลหะมากมายหล่นลงมาจากร่างกายจักรกลของเขา

แบล็คเอาท์แย่ยิ่งกว่าออนสลอตเสียอีก ร่างกายหุ่นยนต์ของเขาที่ไม่แข็งแรงเท่าออนสลอต ดูก็รู้ว่าเขาถูกจรวดโจมตีหลายลูกในการโจมตีก่อนหน้านี้ และไม่มีจุดใดบนร่างกายหุ่นยนต์ของเขาที่ไร้รอยขีดข่วนอยู่เลย

ไม่สิ มันแย่กว่านั้นเสียอีก ซุนเฉิงเห็นร่องรอยของปืนใหญ่ที่หน้าอกของเขา จุดนั้นมีสปาร์คของเขาอยู่ ซึ่งมันควรจะได้รับการปกป้องโดยเกราะหน้าอก แต่ยามนี้มันกลับถูกเปิดออก แสงไฟภายในสปาร์คของเขาริบหรี่ลงมา เขาอาจจะอยู่ได้ไม่นานนัก

ส่วนสภาพของเมกะทรอนนั้นดีกว่าพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด

ความแข็งแกร่งร่างกายหุ่นยนต์ของเขานั้นดีกว่าของออนสลอตมาก แม้ว่าเขาเพิ่งจะผ่านฝนกระสุนจรวดมา แต่ร่างกายหุ่นยนต์ที่ทรงพลังของเขากลับรอยร้าวเพียงสิบรอยและรอยบุ๋มบางส่วน

เมื่อซุนเฉิงมาถึง การต่อสู้ในฐานทัพนี้ก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว

บัมเบิ้ลบีนอนนิ่งอยู่ในหลุมกระสุน ส่วนแร็ตเชตที่เต็มไปด้วยบาดแผลกำลังนอนอยู่ข้าง ๆ เขา ถ้าไม่ใช่เพราะอาการชักกระตุกเป็นครั้งคราว ซุนเฉิงคงคิดว่าพวกเขาน่าจะเดินตามรอยแจ๊ซและตายไปแล้ว

ส่วนไอรอนไฮด์นั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซุนเฉิงไม่คิดว่าเขาจะถูกทำลายเพราะฝนกระสุนจรวดหรอก

ดังนั้นจึงเหลือคำอธิบายเพียงข้อเดียว นั่นคือเขาได้รับคำสั่งจากออฟติมัสไพร์มให้ไปปกป้องออลสปาร์คและหนีไป

ที่ใจกลางฐานทัพ การต่อสู้ระหว่างกองทัพดิเซปติคอนจากดาวเคราะห์ไซเบอร์ตรอน  กับ  ผู้นำออโต้บอตส์ก็ใกล้จะจบลงแล้วเช่นกัน

"...เมกะทรอน ตอนนี้รู้สึกยังไงที่ได้รับบาดเจ็บจากมนุษย์ที่เจ้าดูถูกล่ะ?"  เสียงพูดที่ค่อนข้างเย้ยหยันดังมาจากออฟติมัสไพร์ม ถ้าซุนเฉิงไม่ได้เห็นภาพตรงหน้า เขาอาจคิดว่าอีกฝ่ายได้รับชัยชนะไปแล้ว

ส่วนสถานการณ์ที่แท้จริงคือ ออฟติมัสไพร์มกำลังถูกเมกะทรอนตรึงไว้ โดยแขนข้างหนึ่งหักไปแล้ว และเกราะนอกบางส่วนของเขาถูกถอดออกจากศีรษะ มันดูน่าสะพรึงเป็นอย่างมาก

ดูเหมือนว่า ผู้นำของออโต้บอตส์อาจต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากมากมายเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเมกะทรอนผู้แสนโหดเหี้ยม

"หุบปากของเจ้าซะ..."

ใบหน้าของเมกะทรอนเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด แม้ว่าเขาจะเป็นเผด็จการที่เห็นแก่ตัวเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการสูญเสียแบล็คเอาท์ สหายรักของเขา  ซึ่งมันได้ส่งผลต่อความโกรธแค้นที่กำลังเดือดพล่านอยู่ภายในตัวเขาให้มากยิ่งขึ้น

จากนั้นเขาจึงเยาะเย้ยออฟติมัสไพร์ม "พวกมนุษย์ มันเป็นแค่สัตว์น่ารังเกียจที่เจ้าพยายามปกป้อง เจ้าเลือกที่จะตายที่นี่โดยไม่ลังเล เจ้าทำให้ข้าผิดหวังนัก ออฟติมัสไพร์ม ความขี้ขลาดของเจ้านำไปสู่การล่มสลายของออโต้บอตส์ ถ้าเซนติเนลไพร์มยังมีชีวิตอยู่ เขาคงจะผิดหวังในตัวเจ้ามากยิ่งกว่าข้า"

เมื่อพูดถึงเซนติเนลไพร์ม ดวงตาของออฟติมัสไพร์มก็หรี่ลง แม้แต่ซุนเฉิงที่เพิ่งมาถึงก็มีใบหน้าที่เปลี่ยนไป

เซนติเนลไพร์มเป็นผู้นำของออโต้บอตส์ก่อนออฟติมัสไพร์ม ตามตำนาน เขาเป็นลูกหลานของผู้อาวุโสในสมัยโบราณ และเป็นนักรบที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ

ในความทรงจำดั้งเดิมของเฟรนซี่ เซนติเนลไพร์มเป็นผู้นำที่เด็ดขาดและโหดร้าย โหดเหี้ยมต่อดีเซปติคอนไม่ต่างจากเมกะทรอน นักรบดีเซปติคอนจำนวนมากได้ถูกทรมานจนตายภายใต้น้ำมือของเขา

เมื่อหลายพันปีก่อน เมื่อดีเซปติคอนและออโต้บอตส์ ฟื้นขึ้นมาจากยุคแห่งความโกลาหล เซนติเนลไพร์มได้นำออโต้บอตส์เข้าต่อสู้กับดีเซปติคอนอย่างไม่หวั่นเกรง ในสงครามกลางเมืองครั้งใหม่ที่กินเวลานานหลายพันปี เขาทำเช่นนี้จนได้รางวัลมากมายและยึดครองดาวเคราะห์ไซเบอร์ตรอนได้อีกครั้ง

ตามตำนานเล่าขานว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยส่งทีมนักรบออโต้บอตส์ชั้นยอดไปขโมยออลสปาร์คจากกองทัพดีเซปติคอน ว่ากันว่าเขาขโมยมันมาจากห้องสปาร์คด้วยตนเอง และเขายังโน้มน้าวดีเซปติคอนระดับสูงให้มอบมันให้เขาด้วยซ้ำ

โดยสรุปแล้ว ชื่อของเซนติเนลไพร์มปรากฏในแทบทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับออลสปาร์คบนดาวไซเบอร์ตรอน เขาเป็นผู้นำออโต้บอตส์  ซึ่งได้สูญเสียพลังไปอย่างมากหลังจากศึกสงครามกลางเมืองครั้งก่อน ที่เกิดต่อสู้กับกองทัพดีเซปติคอน นำโดยเมกะทรอนและช็อคเวฟที่กินเวลามาเป็นเวลาหลายพันปี

แต่อาจกล่าวได้เลยว่า หากออโต้บอตส์ไม่เปลี่ยนผู้นำอย่างกะทันหันเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว  ในช่วงการศึกครั้งสุดท้ายอันยิ่งใหญ่ และเซนติเนลไพร์มไม่หายตัวไปอย่างน่าพิศวง มันก็ยากที่จะบอกได้ว่า สงครามกลางเมืองไซเบอร์ทรอนจะกินเวลานานอีกกี่ปี

เซนติเนลไพร์มเป็นอาจารย์ของออฟติมัสไพร์ม พอเมื่อกล่าวถึงชื่อของเขา ปฏิกิริยาของ  ออฟติมัสไพร์มจึงรุนแรงยิ่ง

"ท่านอาจารย์ของข้าแสวงหาสันติภาพ เขาถึงขั้นเพ้อฝันที่จะเจรจากับพวกเจ้าดีเซปติคอน  เพื่อสันติภาพ แต่เจ้า เมกะทรอน ความโหดร้ายและการปล้นสะดมที่ไร้ขอบเขตของเจ้าจะทำลายไซเบอร์ตรอนไปจนหมดสิ้น..."

ออฟติมัสไพร์มออกแรงทันที ใช้แขนที่เหลืออยู่ส่งเมกะทรอนกระเด็นไป เขาลุกขึ้นทันที  โดยใช้มือข้างเดียวแตะพื้น

หลังจากกระเด็นห่างออกไปหลายเมตร เมกะทรอนก็เห็นซุนเฉิง ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ  "ออลสปาร์คที่ข้าต้องการอยู่ที่ไหน?"

"ท่านออนสลอตตามไปแล้วครับ!" ซุนเฉิงตอบอย่างระมัดระวัง จากดวงตาของเมกะทรอน เขาสัมผัสได้เลยถึงเจตนาฆ่า

"ไร้ค่า!"

เมกะตรอนแค่นเสียง และทันใดนั้นก็ชักอาวุธของเขาออกมาเล็งไปที่ออฟติมัสไพร์ม ก่อนจะยิงไปนัดหนึ่งจนทำให้อีกฝ่ายล้มลงอีกครั้ง

ในขณะที่เขากำลังจะโจมตีคู่ปรับเก่าของเขาอีกรอบ คลื่นพลังงานพิเศษจากออลสปาร์คก็ปะทุขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เมกะทรอนหยุดการกระทำเขา สายตาของเขาจับจ้องไปที่ ออฟติมัสไพร์มและซุนเฉิงครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะยิงใส่่ออฟติมัสไพร์มอีกสองนัดและแปลงร่างกลับเป็นร่างเครื่องบินของเขา มุ่งหน้าไปยังทิศทางของคลื่นพลังงาน

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay , ลงแบบราคาถูกแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับ หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิก กระซิก ;-;

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด