บทที่ 154 เจ้าส่งเติ้งอี้มาใช่หรือไม่
เนื่องจากหยางเสี่ยวเทียนในตอนนี้ ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าตำหนักกระบี่ เฉินฉางชิงจึงกังวลต่อความปลอดภัยหยางเสี่ยวเทียน
“ยังไม่จำเป็น” หยางเสี่ยวเทียนโบกมือพลางส่ายศีรษะ
เพราะหลัวชิงในตอนนี้ ได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นบรรพจารย์ยุทธ์แล้ว และผู้ที่คอยปกป้องเขานั้นล้วนมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา
แน่นอนว่า ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน หากมีผู้ใดคิดจะลอบสังหารก็หาใช่เรื่องง่ายไม่
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฉินฉางชิงก็ไม่กล้าบังคับหยางเสี่ยวเทียน และกล่าวว่า “นับแต่นี้ ให้เราคอยติดตามท่านเจ้าตำหนักดีหรือไม่ หากมีอะไรเกิดขึ้นจึงจะสามารถปกป้องท่านได้”
“ไว้ก่อน ตอนนี้ พวกท่านทำตัวตามสบายเถิด” หยางเสี่ยวเทียนยิ้ม
แม้เขาจะไม่รับรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของผู้อาวุโสทั้งห้า แต่ในฐานะผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่ พวกเขาต้องมีฝีมือไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลาเผชิญหน้ากับสำนักถัวหลัว มีความเป็นไปได้ที่เขาจะต้องขอให้ผู้อาวุโสทั้งห้าช่วยลงมือ
ทันใดนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็พลันเอ่ยถามเฉินฉางชิง “ผู้อาวุโสเฉิน ท่านพอทราบตำแหน่งของไฟประหลาดชนิดอื่นอีกหรือไม่”
โดยปกติแล้ว ไฟประหลาดและไฟศักดิ์สิทธิ์มิควรอยู่รวมกันมากเกินไป เพราะยิ่งมากพวกมันจะยิ่งต่อต้านกันเอง
เพราะเฉินฉางชิงศึกษาเกี่ยวกับเปลวไฟแห่งสวรรค์และโลก ดังนั้นมีความเป็นไปได้ที่เขาอาจจะรู้ตำแหน่งของไฟประหลาดอื่นๆ ด้วย
เฉินฉางชิงสะดุ้งทันทีหลังได้ยินคำถามเช่นนี้ เขาพลันตอบว่า “ข้ารู้ ข้ารู้ แต่เจ้าตำหนัก หากท่านครอบครองไฟประหลาดมากกว่าหนึ่งชนิด พวกมันจะต่อต้านกัน ซึ่งแทบไม่มีใครสามารถควบคุมไฟประหลาดทั้งสองประเภทพร้อมกันได้เลย”
ไฟประหลาดแต่ละประเภทมีพลังที่แตกต่างกันและไร้ซึ่งความเกี่ยวโยง มันจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งหากนำไฟประหลาดสองประเภทหลอมรวมอยู่ในร่างคนๆ เดียว
เมื่อไฟประหลาดสองชนิดระเบิดพร้อมกัน ร่างของคนผู้นั้นจะถูกพลังย้อนกลับ จนทำให้เส้นลมปราณจะถูกทำลาย ตันเถียนเสียหาย และเลวร้ายที่สุดคือ มันจะนำไปสู่ความตาย
หยางเสี่ยวเทียนยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล หากข้าควบคุมมันไม่ได้ ข้าจะไม่ฝืนตนเองแน่นอน”
แม้นหยางเสี่ยวเทียนจะมีทั้งไฟศักดิ์สิทธิ์และไฟประหลาดอย่างละประเภท แต่สำหรับเขาแล้วยิ่งมากชนิดก็ยิ่งดี
เฉินฉางชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งจนที่สุด ก็บอกถึงตำแหน่งไฟประหลาดอีกสามประเภท ให้หยางเสี่ยวเทียนรับรู้
หยางเสี่ยวเทียนมีความยินดียิ่ง เมื่อได้ทราบถึงตำแหน่งของไฟประหลาดทั้งสามชนิด
เป็นเรื่องยากสำหรับผู้อื่น ที่จะสามารถควบคุมไฟประหลาดให้หลอมรวมอยู่ในกายตนเองได้ถึงสองประเภท แต่เขามีอาจารย์ติง ปราณแท้มังกร และทักษะควบคุมไฟ ดังนั้น เขาจึงไม่กังวลเกี่ยวกับปัญหานี้
ไม่ช้า หยางเสี่ยวเทียนก็ออกจากโถงตำหนักกระบี่และกลับมายังลานด้านนอก ซึ่งระหว่างเดินทางกลับ เขาได้พบกับหูซิง เฉิงเป้ยเป้ย และหยางจง ยืนจับกลุ่มคุยกันสามคน
“หยางเสี่ยวเทียน!” ทันทีที่เฉิงเป้ยเป้ยเห็นหยางเสี่ยวเทียนอีกครั้ง ริมฝีปากบางของนางก็ขบเม้มแน่นพร้อมกัดฟันกรอด ดวงตาอันงดงามก็พลันลุกโชนด้วยความแค้น
เนื่องจากลูกเตะของหยางเสี่ยวเทียนในงานเลี้ยงฉลองวันนั้น ทำให้นางต้องนอนเจ็บปวดอยู่บนเตียงหลายวัน มันจึงตราตรึงฝังลึกในใจนางเป็นที่สุด
แต่หูซิงและหยางจงกลับมีอากัปกิริยาแตกต่างกันเมื่อเห็นหยางเสี่ยวเทียน หูซิงเต็มไปด้วยความริษยาและอาฆาตแค้น ในขณะที่หยางจงกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หยางเสี่ยวเทียนเหลือบมองไปยังเฉิงเป้ยเป้ยผู้กำลังยืนในสีหน้าโกรธเกลียดเขา “ตอนนี้ข้าเป็นเจ้าตำหนักกระบี่ ตามกฎของสำนัก เจ้าต้องคำนับเมื่อเห็นข้ามิใช่หรือ ไฉนกลับยืนแข็งทื่อราวกับไก่ไม้ ประหนึ่งไม่มีผู้ใดเสี้ยมสอนมารยาทให้”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าสั่งให้ข้าคำนับเจ้างั้นรึ! เจ้ากำลังท้าทายข้าหรืออย่างไร” เฉิงเป้ยเป้ยตะโกนแแผดเสียงแหลมอย่างเกรี้ยวกราดประหนึ่งลูกแมวถูกเหยียบหาง
ขณะนางกำลังเดือนพล่าน หูซิงผู้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กลับโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “น้อมคารวะท่านเจ้าตำหนัก”
“น้อมคารวะท่านเจ้าตำหนัก” สุ้มเสียงหยางจงสั่นเทา
เฉิงเป้ยเป้ยยังคงจ้องหยางเสี่ยวเทียนเขม็งด้วยดวงตาลุกโชน โดยไม่ลดสายตาลงแม้แต่น้อย
ด้วยนางเป็นถึงองค์หญิงผู้สง่างามของอาณาจักร จึงมิมีทางเชื่อ ว่าหยางเสี่ยวเทียนจะไม่สามารถทำอะไรผู้มีอำนาจเช่นนางได้
“อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วหรือ” หยางเสี่ยวเทียนเหลือบมองยังคนร่างเล็กที่กำลังสั่นเทาด้วยความโกรธ
เมื่อเฉิงเป้ยเป้ยได้ยินหยางเสี่ยวเทียนถามถึงอาการบาดเจ็บราวกับเป็นการซ้ำเติม ภาพที่หยางเสี่ยวเทียนเตะนางกระเด็นในวันนั้น ก็พลันผุดขึ้นมาในหัวอีกหน ทำเฉิงเป้ยเป้ยเดือดดาลด้วยโกรธแค้นพร้อมจะชักกระบี่ยังมือออกมา
หูซิงที่เห็นนางกำลังจะชักกระบี่ ก็พลันยื่นมือเข้าไปคว้าจับด้ามกระบี่ของเฉิงเป้ยเป้ยเอาไว้อย่างรวดเร็ว ไม่ให้นางทันชักออกจากฝัก
เนื่องจาก ครั้งแรกที่เฉิงเป้ยเป้ยใช้กระบี่ของนางกับหยางเสี่ยวเทียน นางก็ถูกเตะจนร่างกระเด็นราวกับใบไม้ และลูกเตะของหยางเสี่ยวเทียนครั้งที่สองนั้น ก็หนักหน่วงกว่าทุกครั้งมาก
หากเฉิงเป้ยเป้ยยังดึงดันจะใช้กระบี่ในครั้งนี้ เกรงจะถูกทำร้ายกระทั่งบาดเจ็บกว่าครั้งไหนๆ เป็นแน่
เมื่อเห็นหูซิงพุ่งปราดเข้ามาคว้าด้ามกระบี่ของเฉิงเป้ยเป้ย หยางเสี่ยวเทียนจึงแสร้งเอ่ยขึ้น “หูซิง”
“เจ้าส่งเติ้งอี้มาใช่หรือไม่” ทั้งแววตาและน้ำเสียงของหยางเสี่ยวเทียนล้วนเย็นเยียบขณะเอ่ยถาม
เมื่อหูซิงได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเขาก็ฉายแววตื่นตระหนกพร้อมกล่าวอย่างเสแสร้ง
“ท่านเจ้าตำหนัก ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดถึงเรื่องอะไร”
หยางเสี่ยวเทียนไม่ได้กล่าวอะไรต่อและจากไปทันที แต่ระหว่างเฉียดผ่านหยางจง เขาก็กล่าวว่า
“เจ้าเองก็ทำตัวดีๆ ล่ะ”
หยางจงไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง ขณะหยางเสี่ยวเทียนเดินผ่าน
หลังหยางเสี่ยวเทียนเดินพ้นไป เฉิงเป้ยเป้ยก็ยังคงจับจ้องมองตามเขาและกล่าวขึ้นด้วยความเจ็บแค้น
“ในอีกไม่กี่วัน ข้าจะกลับไปเมืองหลวง แล้วรายงานเรื่องนี้ต่อเสด็จพ่อ ให้เขาสั่งประหารเจ้าลูกหมาหยางเสี่ยวเทียน!”