ตอนที่แล้วบทที่ 151 น้อมคารวะท่านเจ้าตำหนัก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 153 สุสานกระบี่มรณะ

บทที่ 152 ตาเฒ่าเช่นข้าช่างน่าเวทนา


“นี่” เฉินฉางชิงและอีกห้าคนลังเล

แม้นหยางเสี่ยวเทียนจะกล่าวเช่นนั้น แต่ก็หาลบความกังวลในใจของพวกเขาได้ไม่

“พวกท่านออกไปรอข้างนอกกันก่อนเถิด หากมีสิ่งไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น ข้าจะรีบออกไปทันที” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวกับพวกเขาทั้งห้าคน ด้วยเห็นว่ายังลังเลมิกล้าปล่อยเขาอยู่โดยลำพัง

หลังผู้อาวุโสทั้งห้า ได้ฟังน้ำเสียงหนักแน่นเช่นนั้น ก็รับรู้ในทันทีว่ามิอาจห้ามปรามเขาไว้ได้อีก สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือหันหลังกลับแล้วออกไปรอเขาข้างนอก

ครั้นทั้งห้าท่านจากไปหมดแล้ว แววตาของหยางเสี่ยวเทียนก็จับจ้องไปยังเปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณที่อยู่เหนือจัตุรัส

เขาสูดหายใจลึก แล้วตัดสินใจย่างกรายเข้าสู่จัตุรัส

เมื่อเปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณสัมผัสได้ว่าหยางเสี่ยวเทียนลุกล้ำเข้ามายังจัตุรัสพื้นที่ของมัน มันก็ไม่รอช้า พลันสยายปีกสีทองพร้อมแผดเสียงร้องแหลมสูง แล้วโผเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณกำลังโฉบ ดวงเพลิงก็แผดเผาไปทั่วจัตุรัสราวกับเกลียวคลื่นมหาสมุทรที่โหมกระหน่ำยามมรสุม

หากเพลิงนี้โดนกระทบร่าง มาตรว่าเขาต้องกลายเป็นธุลีอย่างแน่นอน

ขณะที่คลื่นความร้อนกำลังจะแผดเผาหยางเสี่ยวเทียนให้กลายเป็นเถ้าถ่าน ทันใดนั้นม่านแสงก็ปรากฏออกมาปกคลุมร่างกายของเขา

แม้นเปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณจะโถมกระหน่ำเพลิงใส่หยางเสี่ยวเทียน แต่ก็มิอาจทะลวงม่านพลังเข้าไปได้

ม่านแสงอันทรงพลังนี้ถูกปลดปล่อยออกมาจากเตาหลอมโอสถ หรือก็คือเป็นฝีมือของเหยาติงนั่นเอง

หยางเสี่ยวเทียน ยิ้มให้เหยาติงแล้วกล่าวว่า “ในช่วงเวลาวิกฤติ อาจารย์ติงคือผู้ที่ไว้วางใจได้มากที่สุดแล้ว”

แต่เหยาติงกลับทอดถอนใจพลางกล่าวว่า “ชีวิตตาเฒ่าเช่นข้าช่างน่าเวทนา ตั้งแต่โลกถือกำเนิดจนถึงตอนนี้ ข้าก็ได้แต่ช่วยเหลือผู้อื่นมาโดยตลอด”

ตั้งแต่โลกถือกำเนิดจนถึงตอนนี้งั้นหรือ!

หยางเสี่ยวเทียนถึงกับสำลัก ไม่คิดว่าอาจารย์ติงจะกล่าววาจาอันน่าหดหู่เช่นนี้ ทั้งที่เขาอุตส่าห์เอ่ยชื่นชมด้วยความนับถือแท้ๆ

“รีบโคจรปราณมังกรแรกเริ่ม แล้วปลดปล่อยปราณแท้มังกรออกไปควบคุมมัน เร็วเข้า” เหยาติงกล่าว

ด้วยเสียงก้องดังในหู ทำให้หยางเสี่ยวเทียนกลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง เขารีบยื่นมือทั้งสองไปข้างหน้า ปลดปล่อยปราณแท้มังกรทั้งสิบสี่ตัวพุ่งออกไป

มังกรสิบสี่ตัวโผเข้าหาเปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณ รายล้อมรอบตัวมันเพื่อควบคุมเอาไว้อย่างแนบแน่น

ทำให้เปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณที่พยายามโฉบตัวพุ่งเข้ามาอย่างดุเดือดเมื่อครู่ ต้องหยุดชะงักลง เพราะร่างของมันยามนี้ถูกรัดเกี่ยวด้วยมังกรทั้งสิบสี่ตัวของหยางเสี่ยวเทียน

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ หยางเสี่ยวเทียนก็เคยใช้มังกรจับไฟศักดิ์สิทธิ์อย่างเปลวไฟอัสนีแห่งทัณฑ์สวรรค์ และมันก็ไม่สามารถดิ้นหลุดได้ สำมะหาอะไรกับเพียงแค่ไฟประหลาดอย่างเปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณ

หลังผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ในที่สุด เปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณก็สิ้นฤทธิ์แล้วคลายสงบลง

หยางเสี่ยวเทียนเริ่มใช้ทักษะควบคุมไฟ โดยสร้างอักษรรูนสะกดไฟทีละตัว โจมเข้ากับเปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณผสานรวมเป็นหนึ่ง

เพิ่งผ่านไปครึ่งชั่วยาม เฉินฉางชิง เหอเล่อ และเริ่นเฟยเสวี่ยที่รออยู่ข้างนอก ก็ต่างพากันเป็นพะวง ครั้นเห็นว่าผ่านไปเนิ่นนานแล้ว แต่หยางเสี่ยวเทียนยังไม่กลับออกมา ยิ่งพานให้พวกเขาเริ่มกังวลใจเอามากๆ

ทั้งห้าขณะนี้ มิมีใครสามารถยืนนิ่งอยู่กับที่ได้ ต่างเดินสวนเฉียดกายกันไปมาแทบหัวชนก็มี

“นี่ก็ผ่านไปนานแล้ว เจ้าตำหนักยังไม่กลับออกมาสักที เราควรเข้าไปดูดีหรือไม่?” เริ่นเฟยเสวี่ยมิอาจสงบใจลงได้

“แต่เจ้าตำหนักกำชับให้เรารออยู่ข้างนอก ถึงกระนั้นข้าก็ไม่สบายใจอยู่ดี” นางเดินวกไปวนมาพลางกล่าวอย่างลังเล

“ตอนนี้ผ่านไปกี่ชั่วยามแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าตำหนักจริง ข้าจะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษได้อย่างไร” เฉินฉางชิงกล่าวอย่างครุ่นคิด

“เข้าไปดูกันเถอะ” เขาตัดสินใจชักชวนผู้อาวุโสที่เหลือ ซึ่งก็ไม่มีใครปฏิเสธ

ครั้นผู้อาวุโสทั้งห้ากำลังเดินเข้าไป พวกเขาก็เห็นหยางเสี่ยวเทียนเดินกลับออกมาพอดี

เฉินฉางชิงและอีกสี่คนรู้สึกโล่งใจคลายความกังวลเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าหยางเสี่ยวเทียนกลับออกมาอย่างปลอดภัย

“เป็นเรื่องดีจริงๆ ที่เจ้าตำหนักปลอดภัยกลับมา พวกเรากำลังจะเข้าไปแล้วเชียว” เฉินฉางชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าตำหนักไม่จำเป็นต้องท้อแท้ ด้วยความสามารถของเจ้า ไม่เกินสิบปีเจ้าจะสามารถพิชิตมันได้แน่” เฉิงฉางชิงเสริมให้กำลังใจเขา

“ใช่ ใช่ ภายภาคหน้า เจ้าตำหนักสามารถพิชิตเปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณได้แน่นอน” เหอเล่อกล่าว

หยางเสี่ยวเทียนเผยยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ข้าต้องการเข้าไปยังลานชั้นในเพื่อสำรวจสิ่งอื่นๆ ต่อ เชิญพวกท่านทำตัวตามสบายเถิด อย่าได้รอข้าเลย”

ตำหนักกระบี่แบ่งออกเป็นลานชั้นนอกและลานชั้นใน แต่มีเพียงหยางเสี่ยวเทียนผู้เป็นเจ้าตำหนักเท่านั้น ที่สามารถเข้าถึงลานชั้นใน ซึ่งมีมรดกต่างๆ เก็บไว้สำหรับบุคคลที่เป็นผู้สืบทอดอย่างเขา

เฉินฉางชิงและคนทั้งสี่เพียงยืนยิ้มส่งเขา เมื่อรู้ว่าหยางเสี่ยวเทียนมิได้รู้สึกผิดหวังกับการพิชิตไฟประหลาด เท่านี้ ทั้งห้าก็สบายใจขึ้นแล้ว

หยางเสี่ยวเทียนหันหลัง พร้อมสืบเท้าเดินไปยังลานชั้นในทันที ครั้นเห็นสีหน้าพวกเขาคลายพะวงได้

หลังหยางเสี่ยวเทียนเดินพ้นสายตาทั้งห้าไป เฉินฉางชิงและอีกสี่คนก็รีบปรี่หาจัตุรัสที่มีเปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณถูกกักขังอยู่ อย่างไรก็ตาม เมื่อทั้งห้าคนมาถึงพร้อมหรี่ตามองยังทิศทางของจัตุรัสที่ว่างเปล่า ดวงตาก็พลันเบิกกว้างทันใด

“เอ้า! เปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณหายไปไหนแล้วล่ะ” เริ่นเฟยเสวี่ยอุทานด้วยความสังสัย นางกวาดสายตามองหาอย่างถ้วนทั่วก็มิอาจพบแม้เงา หรือแสงสีทองอันน่าพรั่นพรึงใดก่อนหน้านั้นเลย

แต่เมื่อนางหันกลับมาหมายจะถามไถ่ทั้งสี่ ก็เห็นว่าเฉินฉางชิงและคนอื่นๆ นิ่งเงียบผิดปกติ ราวกับกำลังใคร่ครวญบางอย่าง

เหอเล่อครุ่นคิดอะไรได้แล้วกล่าวขึ้น “หรือว่า มันจะอยู่กับท่านเจ้าตำหนัก!”

“อืม ข้าคิดว่าท่านเจ้าตำหนักพิชิตมันสำเร็จแล้ว!” เฉินฉางชิงกล่าวหลังเงียบอยู่พักหนึ่ง

เปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณ นับว่าแข็งแกร่งในลำดับเก้าของไฟประหลาดทั้งมวล ขนาดผู้แข็งแกร่งขั้นจักรพรรดิยุทธ์ยังมิอาจพิชิตมันได้ แต่กลับถูกครอบครองโดยเจ้าตำหนักของพวกเขา ซึ่งเป็นเด็กอายุเพียงแปดขวบ!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด