ตอนที่ 112: ส่วนประกอบที่สมบูรณ์แบบ!
“แม้แต่บุตรสาวก็ทำไม่สำเร็จ ทำไมการทำให้เขาเข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะมันยากเหลือเกิน?”
ตงหวงจื่อโหยวรู้สึกทำอะไรไม่ถูก ช่วยไม่ได้ แม้แต่โอกาสแบบนี้.
มันทำให้นางพูดไม่รู้จะพูดอะไรออกมาจริง ๆ
จะต้องให้นางทำอย่างไร เวลานี้นางก้าวสู่เส้นทางเซียนปิศาจ แม้แต่ใกล้จะก้าวสู่ขอบเขตมหาปราชญ์แล้ว.
แต่มันกลับไม่ง่ายเลยที่จะทำให้อีกฝ่ายก้าวสู่เส้นทางบ่มเพาะ เวลานี้นางจึงทำได้แค่ต้องเลิกล้มความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไป.
ยิ่งนางกระตือรือร้นมาเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ยิ่งต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น.
นางควรจะรอเวลาให้ทุกอย่างสุกงอมซะก่อนค่อยเอ่ยอีกที.
เมื่อคิดได้ดังนั้น อารมณ์ของนางก็ดีขึ้น และนางก็ก้าวไปข้างหน้าและมองไปที่ หลินซวนเอ่ยอย่างแผ่วเบา:
“วันนี้ข้าได้จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองในวังเสวียนปิง เจ้าและลูก ๆ ต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงกับข้าด้วย”
“เมื่องานเลี้ยงจบลง ข้าจะพาเด็ก ๆ ไปชมละครเวทีต่อ”
หลินซวน พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ: "ตกลง"
เมื่อรู้ว่าหลินซวนจะไปที่วังเสวียนปิง เด็กหญิงตัวน้อยต่างก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก.
“นี่เป็นครั้งแรกที่เสด็จพ่อจะไปที่วังเสวียนปิง ข้าจะเป็นผู้นำทางให้เสด็จพ่อ!”
"ข้าก็เหมือนกัน! มีเรื่องน่าสนุกมากมายในวังเสวียนปิง!"
“งั้นพวกเรามาเป็นผู้นำทางให้เสด็จพ่อด้วยกันเถอะ!”
“ไป ไปเถอะ ข้ารอไม่ไหวแล้ว!”
สาวน้อยรีบดึงหลินซวนออกมา แล้วดึงมือตงหวงจื่อโหยวไปที่ประตู
หลังจากออกจากพระราชวังหยกแล้ว
ตงหวงจื่อโหยว โบกมือเรียกราชรถหยกของนาง นำหลินซวนและคนอื่น ๆ ไปที่พระราชวังเสวียนปิง
เมื่อมาถึง หลินซวนเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าพระราชวังเสวียนปิง ดูโอ่อ่าอลังการ ดูน่าเกรงขามทรงพลังมากจริง ๆ
ประตูพระราชวังที่สร้างจากน้ำแข็งสีน้ำเงินเข้ม สูงตระหง่ายราวกับจะเจาะทะลุท้องฟ้า
รอบ ๆ เสาที่สูงขึ้นไปนั้น พื้นที่รอบ ๆ มีเมฆสีขาวที่สะท้อนตัดกับแสงตะวัน เป็นประกายระยิบระยับ.
กำแพงวังที่สูงใหญ่ราวกับไม่มีที่จุดสิ้นสุด
มันถูกแกะสลักด้วยมังกรเหินและฟีนิกซ์ร่ายรำที่วิจิตรงดงามอย่างยิ่ง สีสันสดใสและสง่างาม
รอบ ๆ พื้นที่เหนือพระราชวังเสวียนปิง มีฟีนิกซ์น้ำแข็งสองสามตัวบินไปรอบ ๆ อย่างแผ่วเบา
ท่ามกลางการร่ายรำของฟินิกซ์ และมังกรเหิน ปราณน้ำแข็งลึกล้ำที่ฟุ้งกระจายไปทั่วพื้นที่ราวกับที่นี่คือแดนสวรรค์.
“เสด็จพ่อ พระราชวังเสวียนปิงของเสด็จแม่ใหญ่มั้ย?” เสวียนซีถาม
"ใหญ่." หลินซวนพยักหน้าเล็กน้อย
ตงหวงจื่อโหยว เหลือบมองหลินซวนอย่างไร้อารมณ์.
พระราชวังเสวียนปิง คือสัญลักษณ์แห่งอำนาจของจักรพรรดิเป่ยเสวียนเทียน.
ไม่ว่าจะเป็นบุรุษคนใด ก็ล้วนแต่ต้องการได้รับอำนาจนี้ไป.
นางหวังว่าครั้งนี้ไม่เพียงแค่พาหลินซวนมารับประทานอาหารเย็นเท่านั้น แต่ก็เพื่อกระตุ้นความปรารถนาของ หลินซวน ที่มีต่อโลกอีกด้วย
"ไปกันเถอะ."
นางเอ่ยเบา ๆ และเดินเข้าไปในประตูพระราชวังพร้อมกับ หลินซวน และบุตรสาวของนาง
ในไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงห้องโถงหลักของพระราชวังเสวียนปิง
ในห้องโถงอันกว้างใหญ่ ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยเหล่าขุนนาง ข้าราชการ และนายพลทหารรอคอยอยู่แล้ว
และบนแท่นที่สูงที่สุด เป็นที่นั่งของฟีนิกซ์น้ำแข็งที่เป็นดูสง่างามแผ่ปราณอมตะฟุ้งกระจายออกมา
เมื่อเห็น หลินซวน และ ตงหวงจื่อโหยว เดินเข้ามาในภายในห้องโถงพระราชวัง ทุกคนก็ยืนขึ้นและทำความเคารพ
“ทรงพระเจริญองค์จักรพรรดินิ!”
“ทรงพระเจริญตี้ฟู่หวง!”
“ทรงพระเจริญ องค์หญิง!”
ตงหวงจื่อโหยว ยกมือหยกของนางขึ้นเบา ๆ : "ไม่ต้องพิธีรีตอง!"
หลังจากเอ่ยจบ นางก็พาหลินซวนและบุตรสาวของนางขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์เทพฟินิกซ์เหมันตร์.
ครอบครัวหกคนนั่งเรียงกันเป็นแถว ทั้งบุรุษและหญิงแสนสวย เด็กน่ารัก ได้มาร่วมงานเลี้ยงทุกคนแล้ว.
ภายใต้คำแนะนำของตงหวงจื่อโหยว งานเฉลิมฉลองได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
ตงหวงจื่อโหยวเห็นว่าหลินซวนกำลังคีบผักและปอกกุ้งให้บุตรสาวของเขา หรือไม่ก็เช็ดปากของพวกนางเป็นครั้งคราว
เมื่อเห็นภาพดังกล่าวหัวใจของตงหวงจื่อโหยวก็สั่นไหวเล็กน้อย รู้สึกอ่อนโยนและละเอียดอ่อน
“กลายเป็นว่าเมื่อบุรุษผู้นี้ดูอบอุ่นและน่าซาบซึ้งมาก”
ทว่าอีกฝ่ายกับไม่มองมายังตัวนางเลย มุมปากของนางที่งอโค้งเล็กน้อย.
ขณะที่ทุกคนได้สติ เหล่าราชวงศ์และรัฐมนตรีทุกคนก็ถือแก้วเข้ามาฉลองคนแล้วคนเล่า.
แน่นอน เนื่องจากตงหวงจื่อหยูไม่ได้ดื่ม พวกเขาจึงได้แสดงความเคารพต่อหลินซวนแทน.
เมื่อเห็นหลินซวน ไม่ปฏิเสธแก้วสุราของคนอื่น ตงหวงจื่อโหยว ก็ส่ายหน้าเล็กน้อย
ถ้ามนุษย์ดื่มแบบนี้ ย่อมทำร้ายตับได้
นางยกมือขึ้นปิดปาก และไอเบา ๆ
เหล่าพระญาติและรัฐมนตรีสังเกตุเห็นการแสดงออกของตงหวงจื่อโหยวได้ทันที และหลังจากดื่มสุราไปหนึ่งแก้ว พวกเขาทั้งหมดก็ถอยกลับไปที่โต๊ะโดยสมัครใจ ไม่กล้าชักชวนหลินซวนดื่มเพิ่ม
แม้ว่าพวกเขาจะได้ยินมาว่าหลินซวนเป็นบุรุษดื่มพันแก้วไม่เมามาก็ตามที.
แต่เมื่อพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว ฝ่าบาททรงเกรงว่าสามีจะเจ็บป่วยจากการดื่มสุรามากเกินไป
ในฐานะข้าราชบริพาร พวกเขาย่อมไม่กล้ากระตุ้นความกังวลขององค์จักรพรรดินิโดยธรรมชาติ
ในเวลาเดียวกัน ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
แม้ว่าฝ่าพระบาทจะแข็งแกร่งและเย็นชา แต่นางก็เป็นห่วงสวามีของนางมาก
คู่รักคู่นี้มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและลึกซึ้งมาก!
เพียงไม่นานงานเลี้ยงก็สิ้นสุดลง.
หลินซวน และ ตงหวงจื่อโหยว รวมตัวกันและพาเด็ก ๆ ก็เดินทางไปที่โรงละครเพื่อดูการแสดง
ระหว่างทาง มู่โหย่วชิง ตงหวงเห่าหยู และกลุ่มเด็กในราชวงศ์ต่างมารวมตัวกัน
“ถางเจี่ย!” มู่โหยวชิงกล่าวทักทายตงหวงจื่อโหยวด้วยความสุภาพ
ตงหวงจื่อโหยวเหลือบมองมู่โหยวชิง และเอ่ยเบา ๆ “ทักษะของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อเดือนที่แล้วมาก”
มู่โหยวชิงเผยยิ้มอย่างเขินอาย: "ข้ามีความก้าวหน้าไปบ้างแล้ว แต่เมื่อเทียบกับถางเจี่ยก็ยังตามหลังอยู่มาก"
นางคิดกับตัวเองว่า คงเป็นเพราะถางเจี่ยได้ยินเกี่ยวกับการประเมินของนางในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้น ดังนั้นนางจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับการฝึกฝนของนาง
แม้ว่านางจะได้รับการแนะนำจากเจี่ยฟู่ ทำให้นางสามารถทะลุเข้าสู่อาณาจักรที่สามของวิถีกระบี่ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับถางเหม่ยก็ยังตามหลังอยู่เช่นเดิม.
ดังนั้นเมื่อตงหวงจื่อโหยวกล่าวยกย่องนาง นางจึงเขินอายเล็กน้อย
ตงหวงจื่อโหยวเผยยิ้มเล็กน้อย มู่โหย่วชิงเป็นคนที่มีความสามารถมากที่สุดในบรรดาราชวงศ์ รู้สึกเหมือนกับเป็นตัวนางในตอนนั้น
นางสามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายนั้นฝึกฝนหนักมากสำหรับการประเมิน ด้วยเหตุนี้จึงมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก.
มู่โหย่วชิงเอ่ยกับหลินซวนว่า: "ถางตี้เห่าหยูและคนอื่น ๆ กำลังจะไปที่ภูเขาเทียนเจียนเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมกระบี่ผู้เยาว์ ท่านอยากจะพาเสวียนจู่และคนอื่น ๆ ไปด้วยกันไหม?"
"ได้." หลินซวน รู้สึกว่าเสวียนจู่ และคนอื่น ๆ เก่งเรื่องกระบี่อยู่แล้ว
และการฝึกฝนการใช้กระบี่เพื่อต่อสู้ก็เป็นหนึ่งในการพัฒนาเช่นกัน.
ในบางโอกาสเช่นการชุมชุมวิถีกระบี่ การฝึกกับเหล่ายอดฝีมือรุ่นเดียวกัน ย่อมสามารถขัดเกลาฝึกฝนวิถีกระบี่ของบุตรสาวได้.
ตงหวงจื่อโหยวก็พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ
การฝึกกระบี่ต้องควบคู่ไปกับการต่อสู้จริง เพื่อสะสมประสบการณ์และปรับปรุงความแข็งแกร่ง.
และ "วิชากระบี่เทียนเจา" ที่นางสอนเด็ก ๆ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องผ่านต่อสู้กับยอดฝีมือหลาย ๆ คน.
งานชุมนุมวิถีกระบี่สำหรับผู้เยาว์ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะใช้ฝึกฝนเด็ก ๆ
อย่างไรก็ตาม ตามที่เด็ก ๆ เอ่ยเมื่อครั้งที่แล้ว หลินซวน ได้กระตุ้นให้พวกนางฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง
นางจึงรู้สึกว่าเด็ก ๆ อาจจะทำผลงานได้ดี
ขณะพวกเขาพูดคุยกัน ก็มาถึงหน้าเวทีการแสดงแล้ว.
หลินซวน และ ตงหวงจื่อโหยว นั่งอยู่ตรงกลางแถวหน้า
ทั้งสองอุ้มเด็กสตรีตัวเล็ก ๆ สองคนไว้ในอ้อมแขน โดยมีจานผลไม้และของว่างที่จัดวางอย่างประณีต วางไว้ที่ด้านหน้า.
การแสดงละครครั้งนี้น่าสนใจมาก ทำให้หลินซวนและเด็ก หัวเราะอย่างมีความสุข.
ทว่าตงหวงจื่อโหยวกับยังคงสงบอยู่ตลอดเวลา เพื่อรักษาภาพพจน์ของจักรพรรดินิ.
ทำให้รัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ด้านหลัง ไม่กล้าหัวเราะดัง เพราะกลัวว่าพระนางจะขุ่นเคือง.
ดังนั้นทั่วทั้งโรงละครจึงมีเพียงหลินซวนและเด็ก ๆ เท่านั้นที่หัวเราะบ้างเป็นครั้งคราว
ทุกคนไม่ได้รู้สึกผิดปรกติ แต่กลับรู้สึกว่ามันเป็นธรรมชาติ หลินซวนที่ไม่ถูกจำกัด กับช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งที่เย็นยะเยือบของจักรพรรดินิที่เย็นชาได้อย่างสมบูรณ์แบบ.
เมื่อละครการแสดงดำเนินต่อไป เด็กหญิงตัวเล็กไม่ต้องการขาดช่วงขาดตอน ขณะอยู่ในอ้อมแขนหลินซวนและตงหวงจื่อโหยวก็เอ่ยออกมาว่า.
“เสด็จพ่อ ข้าอยากกินเค้กอวิ๋นซู!”
“เสด็จแม่ ข้าก็อยากกินเค้กอวิ๋นซูเหมือนกัน!”
แน่นอนว่า หลินซวน และ ตงหวงจื่อโหยว ต้องตอบสนองความต้องการของบุตรสาวโดยเร็ว
ตงหวงจื่อโหยว ยื่นมือออกมาอย่างสง่างามและคว้าไปยังเค้กอวิ๋นซูชิ้นหนึ่ง.
ทว่าขณะกำลังจะยกขึ้น ก็พบว่ามีมือที่ทรงพลังข้างหนึ่งได้วางไปบนหลังมือของนางแล้ว.
หลินซวน กำลังเล่นกับเสวียนซี ขณะที่เอื้อมมือไปหยิบเค้กอวิ๋นซูพร้อม ๆ กัน.
โดยไม่คาดคิด ฝ่ามือของเขาคว้าบางสิ่งที่อ่อนนุ่ม ราวกับผืนผ้าฝ้าย
เมื่อหันศีรษะไปมอง เขาก็ได้จับมือเล็ก ๆ ที่งดงามราวกับหยกสลัก อ่อนนุ่มนวลราวกับก้อนเมฆแล้ว.
เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาเห็นดวงตาสีม่วงเข้มของตงหวง จ้องมองมาที่เขา