บทที่ 150 ค่ายกลร้อยกระบี่
หลังจากที่หลินหยางตบสั่งสอนหลินชางน้องชายตนให้รู้สำนึก เขาก็หันมายกมือประสานหมัด ขอโทษหยางเสี่ยวเทียนด้วยท่าทีตื่นตระหนกรู้สึกผิด ขณะเอ่ยพูดอย่างเกรงกลัว
“คุณชายหยาง น้องชายข้าช่างตาบอดนัก ไม่ต้องกังวล ข้าจะลงโทษเขาให้สาสมที่กล้าล่วงเกิน พร้อมรายงานให้คุณชายทราบทุกอย่าง”
กล่าวให้ถูกคือ แม้เขาจะเป็นถึงผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ประจำเมืองเสินเจี้ยน แต่ก็เป็นเพียงบริวารคนหนึ่ง ที่อยู่ภายใต้บัญชาของเจ้าเมืองอย่างเผิงจื้อกัง ดั่งลูกไก่ในกำมือ
หากเจ้าเมืองเผิงจื้อกังทราบเรื่องนี้ ว่าน้องชายเขากำลังหาประโยชน์จากหยางเสี่ยวเทียน เขาและน้องชายคงได้ถูกถลกหนังเป็นแน่
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรายงานให้ข้าฟัง” หยางเสี่ยวเทียนส่ายศีรษะพร้อมเดินจากไปกับอัตและอาลี่ทันที
หลินหยางและหลินชางรีบเดินตามส่งหยางเสี่ยวเทียนออกจากสมาคมผังเมือง ด้วยท่าทีคอยประคับประคอง
ขณะมองตามเบื้องหลังของหยางเสี่ยวเทียนผู้กำลังเดินจากไป ทันใดนั้น หลินหยางก็เงยหน้าขึ้นพร้อมร้องไห้โฮ่ออกมา
“มันจบแล้ว ข้าอุตส่าห์ทำงานหนักมาตลอดหลายปี ครานี้ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว!”
เมื่อหลินชางเห็นสีหน้าเลื่อนลอยขณะท่าทีสิ้นหวังของหลินหยางประจักษ์ชัดเป็นครั้งแรก เขาก็เอ่ยถามผู้เป็นพี่ชายน้ำเสียงสั่นเครือด้วยหวาดกลัว
“ไม่นะพี่ใหญ่ มันจะร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือ”
หลินหยางระเบิดเสียงหัวเราะลั่นราวกับคนบ้าทันที เมื่อได้ยินคำถามโง่เขลาของน้องชายตน
“มันจะไม่ร้ายแรงขนาดนั้นงั้นรึ! คำถามราวไร้สมองคิดเช่นนี้ เจ้ากลับถามออกมาได้ ท่านเจ้าเมืองให้ความสำคัญกับหยางเสี่ยวเทียนมากเพียงใดเจ้ารู้หรือไม่ หากท่านเจ้าเมืองทราบเรื่องนี้เข้า ซึ่งเขาต้องทราบแน่ๆ เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“ท่านเจ้าเมืองเชื่อในตัวหยางเสี่ยวเทียน ว่าเขาจะต้องเป็นวิญญาจารย์อันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรเสินไห่เรา ในอีกสิบปีได้แน่นอน”
“หากเขารู้ ว่าเจ้ากล้าเอาเปรียบหยางเสี่ยวเทียน เจ้าคิดว่าเขาจะทำอย่างไรกับเจ้ากัน เรื่องเพียงแค่นี้กลับคิดไม่ได้ ข้ามันช่างอาภัพที่มีน้องชายโง่เขลาเช่นนี้”
“บางที ความผิดนี้อาจจะผ่อนหนักเป็นเบา หากเจ้าถอนตัวออกจากผู้นำสมาคมไปเสีย”
“หากเขาคิดว่าข้ามีส่วนรู้เห็นกับเจ้าในเรื่องนี้ เขาอาจจะถลกหนังข้าออกทีละชั้น หรือแย่กว่านั้นอาจสับข้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น”
หลังได้ฟังวาจาของผู้เป็นพี่ชาย หลินชางถึงกับเข่าอ่อนทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความหวาดหวั่นอย่างหาที่สุดมิได้
ครั้นหยางเสี่ยวเทียนกลับถึงจวน ก็ถ่ายทอดคำสั่งให้เลี่ยวคุนและจางจิงหรง ออกหาซื้อสมุนไพรสำหรับหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการอีกจำนวนมาก
พร้อมทั้งกำชับให้ทั้งห้าคน ซื้อบรรดาทาสที่อยู่ในขั้นนักยุทธ์ระดับสิบขั้นปลายกลับมาอีกร้อยสิบคน
นอกจากนี้ เขายังสั่งให้อัตและอาลี่เร่งงานก่อสร้างผสานจวนสามหลังให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
หลังถ่ายทอดคำสั่งจนแน่ใจว่ามิมีสิ่งใดติดขัด หยางเสี่ยวเทียนก็มายังจัตุรัสร้อยกระบี่ เพื่อหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มต่อไป
เมื่ออาจารย์และเหล่าศิษย์ที่อยู่โดยรอบจัตุรัสร้อยกระบี่เห็นหยางเสี่ยวเทียนมาถึง พวกเขาก็เริ่มส่งเสียงร้องตะโกนประหนึ่งเป็นสัญญาณต่อไปทอดๆ กระทั่งรวมเป็นเสียงเดียวกัน
“หยางเสิน!”
คลื่นเสียงแห่งความตื่นเต้น ก็ก้องกังวานอีกครั้ง
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา คราใดที่หยางเสี่ยวเทียนมายังจัตุรัสร้อยกระบี่ ศิษย์กลุ่มนี้จะตะโกนเรียกนามเขา "หยางเสิน" บ่อยครั้งจนกลายเป็นนิสัย
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้าให้ทุกคนด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินเข้าหาศิลากระบี่เล่มที่แปดสิบเก้าและเริ่มหยั่งรู้ในทันที
เป็นเช่นนี้มาตลอด ไม่ช้าก็เข้าสู่วันที่สาม
เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีย่ำสนธยา หยางเสี่ยวเทียนก็ยืนหยั่งรู้อยู่หน้าศิลากระบี่เล่มที่หนึ่งร้อย
ทันใดนั้น ปราณกระบี่จากศิลาเล่มสุดท้ายก็ถูกปลดปล่อยออกมา ก่อนตามด้วยลำแสงจากปราณกระบี่ของศิลาอื่นๆ ที่อยู่ในจัตุรัส พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภาอันมืดมิดยามค่ำในเวลาเดียวกัน
แสงอันเจิดจรัสจากปราณกระบี่นับร้อยเล่ม พลันสว่างไสวเหนือเมืองเสินเจี้ยน ให้ผู้คนได้ประจักษ์เห็นความงดงามกันถ้วนทั่ว
เหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ของปราณกระบี่นับร้อยเล่ม ที่พุ่งทะลวงเมฆาขึ้นสู่นภากาศในคราเดียว พานให้เหล่าอาจารย์และศิษย์ทุกคนในสำนัก กระทั่งบรรดาประชากรของเมืองเสินเจี้ยนต่างตกตะลึงด้วยความรู้สึกเดียวกัน
แม้พวกเขาจะเคยเห็นปราณกระบี่จากศิลากระบี่มาก่อน แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นปรากฏการณ์ของกระบี่นับร้อย พร้อมกันทะลวงขึ้นสู่ฟากฟ้าจนสว่างเจิดจ้าราวกับเป็นกลางวันเช่นนี้
เพราะไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้มาก่อน ว่าหลังจากหยั่งรู้ศิลากระบี่ครบร้อยเล่มแล้ว ปรานกระบี่ทั้งหมดจะส่องแสงขึ้นไปบนฟากฟ้าพร้อมกัน
อีกทั้ง ไม่เคยมีเรื่องเล่าขาน หรือบันทึกใดกล่าวไว้ถึงเหตุการณ์เฉกเช่นนี้
หยางเสี่ยวเทียนผู้กำลังยืนอยู่หน้าศิลากระบี่เล่มสุดท้ายยามนี้ จมอยู่ในห้วงพิภพศิลากระบี่โดยสมบูรณ์ พร้อมรู้สึกถึงปราณกระบี่นับร้อยซึมซับเข้าสู้จิตใจ กระทั่งสามารถแตกฉานมันได้ทั้งหมด
ศิลากระบี่หนึ่งเล่มประกอบด้วยหนึ่งเพลงกระบี่ ซึ่งเพลงกระบี่นับร้อยมีทักษะที่แตกต่างกัน แต่ล้วนเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด
ด้วยเพลงกระบี่นับร้อยชุด มันสามารถสร้างเป็นค่ายกลได้ทั้งหมดร้อยรูปแบบ
แต่หากรวมทั้งร้อยรูปแบบเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งค่ายกล ก็จะเป็นค่ายกลกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งสำนักเสินเจี้ยน
ซึ่งค่ายกลร้อยกระบี่นี้ คือหนึ่งในมรดกของตำหนักกระบี่
ครั้นมองไปยังปราณกระบี่ทั้งหมดที่กำลังระเบิดแสงออกมา ปกคลุมทั่วกายหยางเสี่ยวเทียนผู้ยืนอยู่ท่ามกลางปราณอันสว่างไสวเหล่านั้น หลินหยงและเฉินหยวนก็ได้แต่จดจ้องภาพที่ตราตรึงนี้ ด้วยความประทับใจแลตื่นเต้นอย่างสุดจะบรรยาย
“ในที่สุดเขาก็แตกฉานมันทั้งหมด ในที่สุด เสี่ยวเทียนก็แตกฉานศิลากระบี่ทั้งร้อยเล่มได้สำเร็จ!”
โดยเฉพาะเฉินหยวนเพลานี้ ที่รู้สึกตื่นเต้นพร้อมมีความสุขยิ่งกว่าใคร เขาโชคดีจริงๆ ที่พาหยางเสี่ยนเทียนกลับมาและเต็มใจยืนหยัดเคียงข้างเขา ให้ได้อยู่ในสำนักเสินเจี้ยนต่อ
ขณะผู้คนยังจัตุรัสกำลังเหม่อมองความอัศจรรย์นี้อย่างหลงใหล ทันใดนั้น ร่างคนทั้งห้าก็ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า ประจักษ์แก่สายตาทุกคู่ว่าพวกเขาคือผู้อาวุโสทั้งห้าของตำหนักกระบี่ เฉินฉางชิง เหอเล่อ เริ่นเฟยเสวี่ยและอีกสองคน
ทั้งห้าคนไม่เคยออกจากตำหนักกระบี่มาชั่วนาตาปี แต่ในเวลานี้ พวกเขาทั้งหมดพร้อมใจกันมาที่จัตุรัสร้อยกระบี่ เพื่อต้อนรับหยางเสี่ยวเทียน เจ้าตำหนักกระบี่คนแรกแห่งสำนักเสินเจี้ยน