บทที่ 9 ภรรยาและบุตรี
"ในช่วง 12 ปีที่ท่านพ่อปิดตัวฝึกตน แม่ได้ออกจากภูเขาไปครั้งหนึ่ง
แล้วก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีข่าวคราวใดๆ จนถึงปัจจุบัน ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่"
หลี่เจาเกอเป็นภรรยาคู่ชีวิตของลู่ผิง นางอ่อนกว่าเขาสิบหกปี เป็นนักพรตเร่ร่อนมาก่อน
ทั้งสองพบรักกันตั้งแต่ยากจนข้นแค้น สนับสนุนซึ่งกันและกัน
จนสร้างนิกายชิงซานได้สำเร็จ
เมื่อเปรียบกับลู่ผิง พรสวรรค์ของหลี่เจาเกอดีกว่ามาก
นางมีรากวิญญาณสวรรค์
ตอนที่พบกับลู่ผิงครั้งแรกนั้น ทั้งสองมีพลังยุทธ์อยู่ในขั้นฝึกปราณเหมือนกัน
พลังของนางไม่ได้ด้อยกว่าลู่ผิงมากนัก
สำหรับหลี่เจาเกอ ลู่ผิงเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างมาก
ยอมสละอาวุธวิญญาณและยาวิเศษไว้ให้นางใช้ก่อน
หลี่เจาเกอเองก็เป็นคนมีน้ำใจ เป็นคนที่อ่อนโยนจนถึงแก่นกระดูก
หลังให้กำเนิดบุตรธิดาสามคนแก่ลู่ผิง แม้จะถ่วงเวลาหลายสิบปี แต่พลังยุทธ์ของนางก็มาถึงขั้นควบแน่นช่วงปลาย
มีแนวโน้มจะสร้างแก่นทองคำในอนาคต
โดยคิดจากเวลาแล้ว หลี่เจาเกอยังมีอายุขัยเหลืออยู่อีกสามร้อยกว่าปี
หากไม่หายตัวไป คงจะสร้างแก่นทองคำในนิกายชิงซานได้แล้ว
ทำให้นิกายชิงซานมีปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ มีเซียนแก่นทองคำถึงสองคน
ถ้าจะพูดกันตามตรง นิกายชิงซานที่รุ่งเรืองเข้มแข็ง
ก็เพราะมีลู่ผิงและหลี่เจาเกอสองคนค้ำจุนไว้
แต่ตอนนี้ลู่ผิงตกต่ำจนเหลือเพียงวิญญาณอ่อนแอ หลี่เจาเกอก็หายตัวไปไม่รู้ที่ซึ่ง
นิกายชิงซานไม่เหลือแม้แต่เซียนขั้นควบแน่นเลยสักคน การที่นิกายฯ จะหมดสิ้นอำนาจ
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว
คิดดูแล้ว ในสภาพที่ตกต่ำถึงเพียงนี้ นิกายชิงซานคงลำบากไม่น้อย
"ภรรยาของข้ามีลูกแล้วจะหายตัวไปได้อย่างไร?"
ลู่ผิงก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก รู้สึกกังวลต่อการหายตัวไปของหลี่เจาเกอ
สถานการณ์ของนิกายชิงซานย่ำแย่พอแล้ว สุดท้ายหลี่เจาเกอยังหายตัวไปอีก
ทำให้นิกายชิงซานไม่เหลือเซียนขั้นควบแน่นแม้แต่คนเดียว
คิดไปก็น่าแปลกใจ อย่างน้อยๆ ในช่วงวิกฤตที่ลู่ซานล้มสลาย
หลี่เจาเกอก็ยังหลบหนีไปได้ ไม่ได้ตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งภัยพิบัตินั้น
ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว หลี่เจาเกอก็ยังไม่กลับมา ในใจหวั่นใจว่าโอกาสที่นางจะมีชีวิตอยู่คงมีน้อยแล้ว
ได้แต่ภาวนาให้นางปลอดภัย
แต่อย่างน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับการตกต่ำ การที่หลี่เจาเกอสูญหาย ก็ยังมีความหวังที่จะรอดชีวิตมากกว่า
ไม่ต้องตายในช่วงเวลาแห่งวิกฤตนั้น
"ลุกขึ้นเถอะ ตัวโตขนาดนี้แล้วยังจะร้องไห้งอแงอีก ไม่เห็นจะเป็นท่าเป็นทางประมุขนิกายเลย"
ลู่ผิงทนไม่ได้ที่เห็นลูกชายร้องไห้ตรงหน้า ทำให้รู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก
หลังจากถามถึงเรื่องราวของหลี่เจาเกอก่อนหายตัวไป รวมถึงการใช้ชีวิตในนิกายบางอย่างแล้ว
ลู่ผิงก็เปลี่ยนเรื่องคุย
"หยวนซาน ช่วงปีที่พ่อปิดตัวฝึกตนนี่ ลำบากเจ้ามากเลยนะ"
"นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้วขอรับ"
ลู่หยวนซานสงบสติอารมณ์ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
"หลังจากแม่หายตัวไปแล้ว นิกายก็ไม่ได้ฝึกฝนศิษย์ให้ขึ้นขั้นสร้างรากฐานอีกเลยหรือ?"
"ขาฝึกฝนโดยตลอด แต่ผลลัพธ์ไม่ค่อยดีเท่าไร"
"หลังจากพ่อปิดตัวฝึกตน นิกายต้องประสบเคราะห์กรรม วิกฤตมากมาย จนค่อยๆ อ่อนแอลง
โอกาสที่สามารถหายาสร้างรากฐานให้ศิษย์น้อยลงทุกทีๆ..."
เมื่อนิกายชิงซานอ่อนแอ นิกายขุนนางสิบเอ็ดนิกายที่สวามิภักดิ์ต่อนิกายชิงซานก่อนหน้านี้
ก็ค่อยๆ หลุดจากการควบคุมของนิกายชิงซานไปทีละนิกาย
ทำให้รายได้หลักอย่างหนึ่งของนิกายชิงซาน ซึ่งก็คือบรรณาการที่นิกายขุนนางทั้งสิบเอ็ดส่งมาให้ทุกปี
ก็ถูกตัดขาดไปด้วย
โดยประมาณคร่าวๆ เงินบรรณาการนี้
สามารถทำให้นิกายชิงซานมีรายได้ต่อปีกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันหินวิญญาณเลยทีเดียว
ซึ่งนี่ก็ถือเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้หลักของนิกายชิงซาน
เมื่อรายได้ของนิกายลดลงอย่างมาก ลู่หยวนซานจึงได้เริ่มตระหนักอย่างลึกซึ้งถึงความสำคัญของ
การที่นิกายจะต้องมีเซียนขั้นสร้างรากฐาน และนิกายก็จำเป็นต้องมีเซียนขั้นดังกล่าวมาประจำนิกาย
เพื่อยับยั้งไม่ให้พื้นที่อำนาจหดหายต่อไปอีก
ด้วยเหตุนี้ ลู่หยวนซานจึงเอ่ยถึงเรื่องยาสร้างรากฐาน
"หกปีก่อน ประมุขนิกายฉาวเทียนทะลุขั้นสร้างแก่นทองคำ
ประกาศตนเป็นศักดิ์ 'เซียนฉาวเทียน' กลายเป็นอาจารย์เฒ่าแก่นทองคำคนที่สี่ของแคว้นฉู่"
"ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีนั้น เซียนฉาวเทียนเคี่ยวยาสร้างรากฐานขึ้นหลายหม้อ
แล้วจัดประชุมเล็กๆ เพื่อแลกเปลี่ยนที่ตลาดชิงเหอ โดยนำยาสร้างรากฐานออกมาสามหม้อเพื่อการนี้
ซึ่งก็ดึงดูดนักพรตหลายกลุ่ม ต่างแย่งชิงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย"
"ข้ารู้ดีว่ายาสร้างรากฐานนั้นหายาก เป็นของวิเศษที่ไม่ค่อยได้พบได้เจอ
หากสามารถฝึกฝนศิษย์ในนิกายให้เป็นเซียนขั้นสร้างรากฐานขึ้นมาใหม่ได้
ก็จะสามารถพลิกฟื้นวิกฤตของนิกายได้"
"เพื่อที่จะประมูลยาสร้างรากฐานได้หนึ่งหม้อ
นิกายไม่ลังเลที่จะขายสมบัติ ขายวัตถุวิเศษและยาวิเศษที่พ่อทิ้งไว้ให้
สุดท้ายก็รวบรวมมาได้หินวิญญาณเพียงพอ ในราคาหนึ่งหมื่นหนึ่งพันก้อน
ก็ประมูลยาสร้างรากฐานได้หนึ่งหม้อ"
ลู่หยวนซานค่อยๆ เล่าเรื่องราวในอดีตไป
เพราะว่ามียาสร้างรากฐานแค่หม้อเดียว ในเรื่องการเลือกว่าจะให้ใครในนิกายได้รับยาสร้างรากฐานหม้อนี้
คนทั้งนิกายจึงต้องร่วมกันลงคะแนน ลงมติ
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ต้องการจะทะลุขั้นสร้างรากฐาน อายุควรไม่เกินหกสิบปีจะดีที่สุด
หากอายุเกินหกสิบปีไปแล้ว เพราะชี่และพลังชีพไม่เพียงพอ ร่างกายเสื่อมถอย
จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการสร้างรากฐาน โอกาสที่จะสำเร็จก็จะลดลงสองส่วน
หม้อยาสร้างรากฐานหม้อหนึ่ง จะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในการสร้างรากฐานได้ห้าส่วน
ในตอนนั้น คนในนิกายที่มีอายุและพลังยุทธ์ตรงตามเงื่อนไข มีเพียงแค่สองคนเท่านั้น
หนึ่งคือลู่หยวนซาน ผู้มีรากวิญญาณคู่ ติดอยู่ในขั้นฝึกปราณชั้นเก้ามานานกว่าสิบปี
ไม่กล้าสร้างรากฐานง่ายๆ
อีกคนหนึ่งคือบุตรสาวคนเล็กของลู่ผิง ลู่จือเวย
ลู่จือเวยอายุน้อยกว่าลู่หยวนซาน นางก็มีรากวิญญาณคู่เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น
ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญเครื่องมือวิญญาณชั้น 1 ระดับสูงอีกด้วย
หากเปรียบเทียบศักยภาพในอนาคต นางเหนือกว่าลู่หยวนซาน
ทั้งสองคนเมื่อผ่านการชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบกันแล้ว สุดท้ายลู่จือเวยก็ได้รับยาสร้างรากฐานไป
ในเรื่องนี้ ลู่หยวนซานเองก็ยอมรับและหวังให้น้องสาวได้ใช้ยาสร้างรากฐาน
นิกายก็หวังว่า เมื่อลู่จือเวยสร้างรากฐานสำเร็จแล้ว
จะสามารถใช้ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญเครื่องมือวิญญาณช่วยพลิกฟื้นวิกฤตของนิกายได้
เมื่อลู่จือเวยได้รับยาสร้างรากฐานแล้ว นางก็ปิดตัวฝึกตน ทะลุขั้นสร้างรากฐานทันที
"น้องสาวปิดตัวได้ครึ่งปีหลังจากได้ยาสร้างรากฐานไป
ทั้งนิกายต่างภาวนาให้นางสร้างรากฐานสำเร็จ กลายเป็นเซียนขั้นสร้างรากฐานคนใหม่ของนิกาย"
"แต่ผลลัพธ์กลับน่าผิดหวัง น้องสาวปิดตัวฝึกตนล้มเหลว ไม่สามารถสร้างรากฐานได้"
"เพราะความล้มเหลวในการสร้างรากฐานครั้งนี้ ทำให้น้องสาวได้รับผลกระทบอย่างหนัก
แต่ก่อนนางเป็นคนร่าเริงสดใส อารมณ์ดี หลังจากสร้างรากฐานไม่สำเร็จ
นางก็กลับกลายเป็นคนหมดอาลัยตายอยาก มึนชา สิ้นหวัง ไม่สู้ชีวิต"
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ลู่หยวนซานก็มีสีหน้าหม่นหมองเป็นอย่างยิ่ง
ลู่ผิงมองลู่หยวนซานอย่างเอาใจใส่ ในใจคิดถึงความหดหู่ของลู่หยวนซาน
ลู่ผิงเองก็เข้าใจว่าการสร้างรากฐานล้มเหลวครั้งนี้จะส่งผลกระทบหนักหนาสาหัสต่อลู่จือเวยเพียงใด
เพราะยาสร้างรากฐานหม้อนั้น เป็นสิ่งที่นิกายเสียเลือดเนื้อ เสียสะสมหลายปี
แม้กระทั่งขายสมบัติ เพื่อแลกมาให้ได้
ยาสร้างรากฐานที่นิกายทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ได้มา ก็มีเพียงแค่หม้อเดียวเท่านั้น
การสร้างรากฐานล้มเหลวในครั้งนี้ สำหรับนิกายที่ไม่ค่อยมีฐานะแล้ว จะเป็นผลกระทบอย่างรุนแรง
ในอีกหลายสิบปีข้างหน้า นิกายก็ไม่มีทางจะหายาสร้างรากฐานให้ศิษย์ได้อีกแล้ว
ยาสร้างรากฐานหม้อนึงสูญเปล่า ลู่จือเวยคงรู้สึกผิดต่อนิกายมากทีเดียว
อีกด้านหนึ่ง จิตใจนางก็คงหวั่นไหวอย่างหนัก ยากที่จะก้าวต่อไปบนเส้นทางการฝึกยุทธ์
การฝึกยุทธ์ชะงักไป ก็ช่างเถอะ ลู่ผิงไม่ได้สนใจมากนัก
ขอให้ไม่เป็นอะไรก็พอ
หากว่าลู่จือเวยซึมเศร้าเพราะเรื่องนี้ รังเกียจโลก นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ลู่ผิงอยากเห็นเลย
ไม่แปลกเลยที่ในระบบ สถานะของลู่จือเวยแสดงว่า [สูญเสียความปรารถนาในเต๋า มีภาวะซึมเศร้าระดับเบา]
ที่บุคลิกนิสัยของนางเปลี่ยนไปเป็นเงียบขรึม เก็บตัว เปราะบางอ่อนไหว
ก็เป็นเพราะการสร้างรากฐานล้มเหลวนี่แหละ
ลู่ผิงเจ็บแทนบุตรสาวคนนี้ยิ่งนัก
หลังจากพูดถึงเรื่องลู่จือเวยจบ พ่อลูกทั้งสองก็เงียบไปนาน
สุดท้าย ลู่หยวนซานเรียบเรียงความคิดเล็กน้อย แล้วสรุปสถานการณ์ของนิกายให้ลู่ผิงฟังอีกครั้ง
ลู่ผิงจึงเข้าใจได้อย่างกระจ่างชัด ว่าตอนนี้นิกายชิงซานขัดสนข้นแค้นมากเพียงใด