บทที่ 7 ข้าคือพ่อเจ้า
เมื่อทั้งสามพี่น้องออกไปแล้ว ภายในหอใหญ่เหลือเพียงความเงียบสงบ ไม่มีผู้ใด นอกจากลู่ผิงที่ตอนนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นคนเสียแล้ว
ในฐานะวิญญาณ เขาทำได้เพียงล่องลอยไปมามองดูโดยรอบ หรือหันไปศึกษาทักษะวิเศษต่อ
หลังจากได้ฟังบทสนทนาของลูกๆ ลู่ผิงรู้สึกหนักใจ คิดว่าตอนนี้สำนักต้องเผชิญกับวิกฤตและความยากลำบากเต็มที
ภายใต้สถานการณ์บีบคั้น แม้แต่ลู่จือเวยยังยอมสละกระบี่หมอกราตรี เพื่อแลกมาเป็นหินวิญญาณช่วยเหลือสำนัก เทียบกับทังจื้อเสียน การเสียสละครั้งนี้ของลู่จือเวยทำให้ลู่ผิงปลื้มใจ แต่ก็รู้สึกขมขื่นไม่น้อย
ต้องรีบช่วยเหลือสำนักโดยเร็ว ห้ามนิ่งเฉยอีกต่อไป
ที่เรียกว่าสำนักชิงซาน ก็เพราะตอนสร้างสำนัก ลู่ผิงได้ตั้งชื่อตามความหมายที่ว่า 'ขุนเขาเขียวไม่เคยเปลี่ยน สายน้ำยังคงไหลเรื่อยไป' หวังว่าสำนักจะคงอยู่ชั่วกาลนาน
แต่ไม่คิดว่าสำนักชิงซานจะต้องล่มสลายเร็วขนาดนี้
ครุ่นคิดถึงสภาพของสำนัก แล้วก็มีทางเลือกจำกัด จึงหันไปศึกษาระบบจำลองสำนักอีกครั้ง
ลู่ผิงเคยดูร้านค้ามาก่อน เลยเปิดดูฟังก์ชันพื้นฐานทั้งสี่อย่าง
[สื่อสาร] [ปิดตัวฝึกตน] [ผจญภัย] [งานนอกสำนัก]
[สื่อสาร] นั้นง่ายมาก ไม่ต้องใช้แต้มชื่อเสียง สามารถเลือกสนทนาส่วนตัวกับสมาชิกสำนักคนใดคนหนึ่ง หรือเลือกสนทนากลุ่มกับหลายคนก็ได้
แต่คู่สนทนาต้องเป็นสมาชิกในสำนักเท่านั้น คนนอกไม่ได้
[ปิดตัวฝึกตน] คือหนึ่งในวิธีเพิ่มแต้มชื่อเสียง ปิดตัวฝึกตนหนึ่งเดือนจะได้หนึ่งแต้ม ปิดตัวฝึกตนหนึ่งปีได้สิบสองแต้ม
แต่ต้องระวัง พอเริ่มปิดตัวฝึกตนจะสูญเสียสติั่วคราว ตกอยู่ในภวังค์หลับใหล ไม่สามารถควบคุมหน้าจอระบบได้
หากระหว่างปิดตัวฝึกตน สำนักต้องเผชิญศัตรูภายนอก ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ลู่ผิงจะไม่มีทางช่วยเหลือได้ เผลอๆ 'ตื่น’ ขึ้นมาอีกที อาจพบว่าสำนักตกต่ำข้นแค้นยิ่งขึ้น หรือไม่ก็สูญสิ้นไปจากโลกเซียนเสียแล้ว
[ผจญภัย] ก็เข้าใจง่าย สามารถสั่งศิษย์หนึ่งคนหรือหลายคนลงจากเขาไปผจญภัย ท่องไปในโลกมนุษย์
ศิษย์ที่ออกผจญภัย อาจจะเจอเหตุการณ์สุ่มบางอย่าง นำของพิเศษเฉพาะถิ่นกลับมา ทำความดีเพิ่มชื่อเสียงให้สำนัก หรือผูกสัมพันธ์กับคู่ครอง สืบข่าวเกี่ยวกับสำนักอื่น ได้รับความชื่นชอบจากศิษย์สำนักอื่น เป็นต้น
ระบบนี้ไม่ต้องใช้แต้มชื่อเสียง และยังมีโอกาสได้รับแต้มชื่อเสียงด้วย
สุดท้าย [งานนอกสำนัก] ต้องใช้ควบคู่กับแผนที่ในระบบ
เลือกพื้นที่ในแผนที่ส่วนใดส่วนหนึ่งเพื่อสำรวจว่า ในบริเวณนั้นมีงานนอกสำนักให้ศิษย์ไปทำหรือไม่
ทำงานนอกสำนักสำเร็จ จะได้รับแต้มชื่อเสียงและรางวัลจากระบบ
ใช้เวลาสักพัก ลู่ผิงก็เข้าใจทั้งสี่ฟังก์ชันอย่างถ่องแท้ จากนั้นก็ไปดูหมวดข้อมูลสมาชิกสำนัก
[ชื่อ-สกุล: ลู่หยวนซาน]
[สถานะ: ประมุขสำนักชิงซาน]
[อายุ: 53]
[ลักษณะนิสัย: มั่นคง สุขุมเยือกเย็น ถ่อมตน อ่อนโยน]
[สภาวะ: แข็งแรง]
[ขั้นพลังยุทธ์: ขั้นฝึกปราณชั้น 9]
[พรสวรรค์: รากวิญญาณดิน-ไม้คู่]
[ตำแหน่ง: ภูเขาชิงเหลียน]
...
[ชื่อ-สกุล: ลู่ฉางเฟิง]
[สถานะ: ผู้อาวุโสสำนักชิงซาน]
[อายุ: 45]
[ลักษณะนิสัย: อารมณ์ร้อน ชอบใจร้อนทำอะไรวู่วาม]
[สภาวะ: แข็งแรง]
[ขั้นพลังยุทธ์: ขั้นฝึกปราณชั้น 8]
[พรสวรรค์: รากวิญญาณไฟ-ไม้-ทองสาม]
[ตำแหน่ง: ภูเขาชิงเหลียน]
...
[ชื่อ-สกุล: ลู่จือเวย]
[สถานะ: ผู้อาวุโสสำนัก, ผู้เชี่ยวชาญเครื่องมือวิญญาณชั้น 1 ระดับสูง]
[อายุ: 41]
[ลักษณะนิสัย: เงียบขรึม เก็บตัว เปราะบางอ่อนไหว]
[สภาวะ: สูญเสียความปรารถนาในเต๋า มีภาวะซึมเศร้าระดับเบา]
[ขั้นพลังยุทธ์: ขั้นฝึกปราณชั้น 9]
[พรสวรรค์: รากวิญญาณทอง-ไม้คู่]
[ตำแหน่ง: ภูเขาชิงเหลียน]
...
จากข้อมูลทั้งหมด ลู่ผิงต้องยอมรับว่าพรสวรรค์ของลูกๆ ก็ธรรมดา ลูกสองคนมีรากวิญญาณคู่ ลูกชายคนหนึ่งมีรากวิญญาณสาม
เซียนนั้นจำแนกระดับรากวิญญาณได้ง่าย ดีที่สุดก็คือรากวิญญาณสวรรค์ เช่น เหล็ก ไม้ น้ำ ไฟ ดิน หรือรากวิญญาณเดี่ยวชนิดใดก็ได้ ในขณะที่รากวิญญาณเดี่ยวหายาก เช่น ลม ฟ้า น้ำแข็ง จะนับว่าเป็นรากวิญญาณวิเศษ
รากวิญญาณสวรรค์เท่ากับรากวิญญาณวิเศษ พรสวรรค์ยอดเยี่ยม เป็นขวัญใจของวงการเซียน เป้าหมายที่สำนักใหญ่น้อยแย่งชิงกันอยู่เสมอ
แต่ถัดมาคือรากวิญญาณคู่ สาม สี่ ถึงขั้นห้า ยิ่งมีรากวิญญาณหลายชนิด ยิ่งแปลว่าพรสวรรค์การฝึกฝนแย่
มาตรฐานการรับศิษย์ของสำนักทั่วไปจะเริ่มต้นที่พวกรากวิญญาณสามลงไป
พรสวรรค์ของลู่ผิงเองก็พอใช้ เป็นรากวิญญาณทอง-ไม้-ไฟสาม ด้วยบุญกรรมและความมานะ บวกกับใจที่ผ่านชีวิตมาสองภพ ถึงได้บำเพ็ญเพียรเลื่อนขั้นสร้างรากฐาน ควบแน่น และแก่นทองคำมาได้ตามลำดับ
ด้านความเร็วในการบำเพ็ญ เขาเทียบเท่าเซียนรากวิญญาณคู่เลย
ด้วยสายเลือดของลู่ผิง ลูกๆ ของเขาโชคดีมาก เกิดมาก็มีพรสวรรค์บำเพ็ญเพียร มีรากวิญญาณติดตัว และก็ไม่ธรรมดา ลูกสาวอย่างลู่จือเวยยังมีรากวิญญาณคู่เลย
ตอนนี้ ลูกทั้งสามคนมีพลังยุทธ์อยู่ในชั้นฝึกปราณ 8-9 ยังไม่ได้สร้างรากฐาน ลู่ผิงเลยค่อนข้างแปลกใจ
ก่อนเขาเข้าเก็บตัวฝึกตน ลูกๆ ก็ฝึกปราณมาถึงช่วงท้ายแล้ว ผ่านการฝึกฝนมาอีก 30 ปี น่าจะได้รับยาสร้างรากฐานแล้วสร้างรากฐานเป็นปกติ
แต่ 30 ปีผ่านไป กลับไม่มีใครสร้างรากฐานเลย นี่เป็นเพราะความเร็วในการบำเพ็ญต่ำไป หรือว่าสำนักไม่มียาสร้างรากฐานกันแน่
อย่างที่ทังจื้อเสียนเคยพูดไว้ ภายในสำนักชิงซานไม่มีเซียนขั้นสร้างรากฐาน ลู่ผิงก็ได้ยินจุดนี้
แต่ที่ทำให้ลู่ผิงรู้สึกแปลกใจกว่าก็คือ ในข้อมูลลักษณะนิสัยของลู่จือเวยระบุว่า [เงียบขรึม เก็บตัว เปราะบางอ่อนไหว] นี่มันหมายความว่ายังไง
คำบรรยายนี้ไม่น่าจะถูกต้องนะ
จากความทรงจำ ลู่จือเวยเป็นคนละเอียดอ่อน มองโลกในแง่ดี กระตือรือร้น แล้วทำไมกลายเป็นเงียบขรึม เก็บตัว เปราะบางอ่อนไหวไปได้
ส่วนในหัวข้อสภาวะที่ระบุว่า [สูญเสียความปรารถนาในเต๋า มีภาวะซึมเศร้าระดับเบา] ก็ทำให้ลู่ผิงงงไปหมด
"เอาเรื่องที่ลู่หยวนซานยังไม่ได้สร้างรากฐานไว้ก่อน ตอนนี้สภาพของลู่จือเวยกลับมีจุดน่าสงสัยซะแล้ว"
ลู่ผิงครุ่นคิดสักพัก "บันทึกของระบบน่าจะไม่ผิดแน่ๆ บางทีช่วงที่ข้าปิดตัวฝึกตน ลู่จือเวยอาจจะได้พบเจอเรื่องบางอย่างจนเปลี่ยนนิสัยไปก็เป็นได้"
ดูเหมือนระหว่าง 30 ปีที่เขาปิดตัวฝึกตน เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในสำนักคงจะไม่น้อย ไม่เพียงนำไปสู่ความเสื่อมของสำนัก ยังทำให้บุคลิกนิสัยของสมาชิกบางคนได้รับผลกระทบด้วย
สถานการณ์ของสำนัก รวมถึงความผิดปกติของลู่จือเวยด้วย ต้องหาคนถามให้ชัดเจน ถึงจะรู้ว่าควรแก้ปัญหายังไง
คิดแล้วคิดอีก ลู่ผิงจึงใช้ระบบ [สื่อสาร] ครั้งแรก เลือกสนทนาส่วนตัวกับลู่หยวนซาน
"หยวนซาน"
เสียงของลู่ผิงดังขึ้น ส่งผ่านไปยังจิตใจของประมุขรุ่นสองแห่งสำนักชิงซานอย่างรวดเร็ว
"ใคร?"
ได้ยินเสียงที่ดังขึ้นกะทันหันในสมอง ลู่หยวนซานที่อยู่บนยอดเขาชิงเหลียนถึงกับตกใจจนเกือบกระโดด
"ใครพูด?"
"ข้าคือพ่อของเจ้า"
"พ่อ?"
ได้ยินคำตอบนี้ ลู่หยวนซานงงไปชั่วขณะ
ผู้ที่ส่งเสียงคือพ่อของตัวเอง?
พ่อไม่ได้ปิดตัวฝึกตนไป 30 ปีแล้วหรือไง ต่อให้ออกจากการปิดตนแล้ว ก็ควรมาพบกันต่อหน้าสิ ทำไมจึงส่งเสียงคุยกันเล่นแบบนี้ นี่คิดว่าตัวเองกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำใช่ไหม
ดังนั้น ลู่หยวนซานจึงเริ่มระแวดระวังตัวขึ้นมา มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นมีคนอื่น จึงได้แต่ถามตอบผ่านการส่งเสียงว่า "ท่านเป็นผู้ใดกันแน่?"
เอาล่ะ ปวดหัวหน่อย
ปัญหาคือไม่สามารถปรากฏกายได้ ไม่อาจไปยืนตรงหน้าลู่หยวนซานแล้วบอกตรงๆ ว่าข้าคือพ่อแท้ๆ ของเจ้า ไม่เชื่อก็มองให้ดีๆ
แต่มันเป็นไปไม่ได้ อย่างที่ลู่ผิงทำไม่ได้
ได้แต่จนใจและอธิบายต่อไปอีก
"ลู่หยวนซาน ข้าคือลู่ผิง เป็นตำนานผู้ก่อตั้งสำนักชิงซาน"
"ลู่ผิง..." ลู่หยวนซานพึมพำชื่อบิดาตนเอง
พลางระลึกถึงเสียงที่ดังอยู่ในสมองเมื่อครู่ ค่อยๆ รู้สึกได้ว่ามันคุ้นหูอย่างยิ่ง เหมือนกับศิษย์พ่อผู้นั้นที่ปิดตัวฝึกตน 30 ปีก่อนจริงๆ
"พ่อ นี่พ่อจริงๆ ใช่ไหม?"
พูดมาก ถ้าไม่ใช่พ่อเจ้าแล้ว ข้าจะมาเสียเวลาสนใจเจ้าทำไม!
"ใช่ ข้านี่แหละ"
ลู่ผิงขมวดคิ้ว แต่ก็ยังคงตอบไป
ไม่ได้ฟังผิด เสียงนี้นี่เอง!
ในที่สุด ลู่หยวนซานก็ไม่สงสัยอีก
ปิดตัวฝึกตนไป 30 ปี พ่อของตนไม่ได้ตายไป!
สวรรค์เห็นใจสำนักของเรา!
ในใจมีความสุขอย่างล้นเหลือ รีบถามทันทีผ่านการส่งเสียง
"ท่านพ่อ ท่านพ่อออกจากการปิดตนแล้วหรือ?"
ง่ายๆ แค่ประโยคเดียว ทำเอาลู่หยวนซานเครียดตัวแข็ง
"ข้ายังไม่ออกจากการปิดตน"
เสียงลู่ผิงดังขึ้น
"พ่อ พ่ออยู่ถ้ำหลังเขาใช่ไหม ข้าจะไปเยี่ยมพ่อตอนนี้ได้ไหม?"
ลู่ผิงเต็มไปด้วยจินตนาการในหัว ลู่หยวนซานจะมีใจไหนไปทำเรื่องอื่น อยากจะรีบไปพบลู่ผิงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
พ่อออกจากการปิดตัวฝึกตน นั่นคือปีศาจระดับแก่นทองคำตนหนึ่งแล้ว ไม่สิ อาจจะต้องเรียกว่าปีศาจเฒ่าขั้นวิญญาณแรกเกิดก็ได้ ถ้ามีผู้ทรงพลังขั้นยอดเยี่ยมเยี่ยงนี้ปกป้องสำนักชิงซาน จะมีอุปสรรคไหนที่ผ่านไปไม่ได้อีก
แม้แต่การสร้างสำนักใหม่อีกแห่งก็ไม่ใช่ปัญหา