บทที่ 6 ร่วมแรงใจฝ่าฟันอุปสรรค
ต้นท้อวิเศษหนึ่งต้น สามารถแลกได้ด้วยยี่สิบห้าคะแนนชื่อเสียง
ลู่ผิงค่อนข้างสนใจในสิ่งนี้
ต้นท้อวิเศษออกผลปีละครั้ง ผลท้อวิเศษที่ได้นั้นเป็นของวิเศษสำหรับการฝึกฝนที่เทียบเท่ากับยาฝึกปราณ การปลูกต้นท้อวิเศษนั้นคุ้มค่ากว่าการทำนาเป็นไหนๆ
ต้นท้อวิเศษที่ระบบมอบให้นี้ จัดเป็นต้นไม้วิญญาณที่มีผลผลิตสูง หนึ่งต้นสามารถออกผลได้ประมาณหกสิบลูก ผลท้อวิเศษหนึ่งลูกมีมูลค่าสามก้อนหินวิญญาณ
ต้นท้อวิเศษสามต้น ในปีที่ออกผลดี สามารถให้ผลผลิตได้ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบลูกขึ้นไป คิดเป็นมูลค่าราวๆ ห้าร้อยสี่สิบก้อนหินวิญญาณ
นอกจากนี้ต้นท้อวิเศษยังดูแลรักษาง่าย เป็นพืชที่ปลูกครั้งเดียวแล้วสามารถเจริญเติบโตได้เองอีกหลายสิบปี หลายร้อยปี หรือแม้กระทั่งนานกว่านั้น โดยให้ผลผลิตได้ทุกปี
ในเวลานี้สำนักกำลังขาดแคลนหินวิญญาณอย่างหนัก หากปลูกต้นท้อวิเศษได้ เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มรายได้ให้สำนักได้มาก ช่วยให้สำนักก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากไปได้
การเก็บเกี่ยวดอกท้อจากต้นท้อวิเศษมาหมักเป็นสุรา ก็เป็นอีกวิธีในการหารายได้ที่ดี มีกำไรงาม
ในฐานะอาจารย์ใหญ่ ลู่ผิงย่อมไม่ยอมนั่งดูให้สำนักต้องเดือดร้อน ควรจะช่วยหารายได้ให้สำนัก
การปลูกต้นท้อวิเศษก็นับเป็นการช่วยหารายได้ให้สำนักอย่างหนึ่ง แม้จะแลกเปลี่ยนได้ แต่ลู่ผิงคิดแล้วว่ายังไม่ใช่ตอนนี้
เพราะมีเพียงห้าสิบคะแนนชื่อเสียง ราคาแพงมาก ต้องประหยัดไว้ใช้ก่อน
อีกทั้งตอนนี้ยังเช้าอยู่ ลูกศิษย์ทั้งหลายยังไม่ได้ลงคะแนนเสียงว่าจะเลือกขายคำสั่งสร้างสำนัก หรือจะงดจ่ายค่าตอบแทนเป็นเวลาสามปี ต้องรออีกสักหน่อย
ในขณะที่ลู่ผิงกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น การอภิปรายของทุกคนก็ได้ข้อสรุปแล้ว
มีหลายคนที่ออกจากแถวมายืนด้านซ้ายด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเลือกที่จะรับเงินเดือนเป็นเวลาสามปี
การกระทำนี้เรียกความสนใจจากทุกคนในทันที
"อืม ในเมื่อพี่ใหญ่ทั้งหลายยินดีที่จะเสียสละเพื่อสำนัก ข้าจะกล้าขัดใจพวกท่านได้อย่างไร"
"เวลาสามปี สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ก็เป็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น"
เมื่อเห็นว่ามีคนนำร่องไปก่อนแล้ว อีกหลายคนก็เดินไปยืนทางด้านซ้าย
"ค่าตอบแทนของข้าก็ไม่มากนัก งดจ่ายไปสามปีก็สามปีแล้วกัน"
พลางพูด พลางส่ายหน้า ก็ไม่รู้ว่าเป็นการบ่นว่าตัวเองมีวรยุทธ์ต่ำ เลยได้ค่าตอบแทนน้อย หรือตัดสินใจเลือกทางซ้ายแต่แรกอยู่แล้ว
เห็นว่ามีศิษย์ตัดสินใจแล้ว ยินดีที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับสำนัก สีหน้าของลู่หยวนซาน เผยแววชื่นชมออกมา
จริงๆแล้วศิษย์จำนวนมากตัดสินใจไว้แล้ว ผลจึงได้ออกมาเป็นแบบอย่างเช่นนี้
แน่นอนว่าก็มีศิษย์เลือกไปยืนทางขวา ตัดสินใจขายคำสั่งสร้างสำนัก การกระทำเช่นนี้ย่อมเรียกสายตาประหลาดใจจากคนอื่นๆ บ้าง แต่ก็เท่านั้น
สำนักเสื่อมโทรมลงมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่สามารถกลับมารุ่งเรืองได้อีก ศิษย์ที่สามารถจากไปได้ก็จากไปเสียหมดแล้ว ต่างหันไปเข้าร่วมสำนักอื่นๆ หาหนทางใหม่ของตัวเอง
ส่วนคนที่เต็มใจอยู่ในสำนักต่อไป ก็เป็นพวกที่มีพรสวรรค์และวรยุทธ์ต่ำ จนสำนักอื่นไม่ต้องการ หรือไม่ก็มีความผูกพันกับสำนักชิงซาน และไม่อยากจากไป
ทุกคนต่างรู้กันดี แต่ไม่พูดออกมา
เจ้าสำนักมอบทางเลือกสองทาง ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ผลสุดท้ายก็ไม่ต้องห่วงว่าจะทำให้เจ้าสำนักไม่พอใจ หรือทำให้สำนักผิดหวัง
...
เวลาหนึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงนี้ ลู่หยวนซานออกไปข้างนอกครู่หนึ่ง ตามทังจื้อเสียนไปเพื่อเปิดวงอาคมปกป้องสำนัก เปิดประตูให้ทังจื้อเสียนลงเขาและจากไป
ส่วนลู่ฉางเฟิง นั้นอยู่ในตำหนักไม่ได้ออกไปส่ง จะส่งอะไรกัน จอมทรยศขี้ขโมยนั่นน่ะ แค่ไม่เห็นหน้าก็สบายใจแล้ว
ตอนนี้ ผลลัพธ์สุดท้ายของการลงคะแนนเสียงในตำหนักได้ออกมาแล้ว
ลู่หยวนซานมองเปรียบเทียบจำนวนคนทางซ้ายและขวา แล้วกระแอมเบาๆ
"การลงคะแนนเสียงถึงที่นี่ก็จบลงแล้ว ผลลัพธ์เห็นได้ชัดว่า ด้วยความมุ่งมั่นของพวกเจ้า สำนักของเราจะสวนกระแสและก้าวผ่านช่วงเวลายากลำบากไปได้ในอีกสามปีข้างหน้าอย่างรวดเร็ว"
มีศิษย์ร่วมลงคะแนนเสียงทั้งหมด 24 คน ด้านซ้ายมี 16 คน ด้านขวา 8 คน เห็นได้ชัดว่าฝ่ายที่เลือกงดจ่ายค่าตอบแทนสามปีเป็นฝ่ายชนะ
ส่วนน้อยต้องเคารพการตัดสินใจของส่วนใหญ่ การประชุมครั้งนี้จบลงแล้ว
สำหรับผลการลงคะแนนครั้งนี้ ลู่หยวนซานค่อนข้างพอใจ เพราะสอดคล้องกับความต้องการของเขา
ถึงจะทำเผื่อกรณีที่แย่ที่สุด ก็มีโอกาสที่การลงทุนในธุรกิจจะล้มเหลวได้ กิจการของสำนักอาจไม่ดีขึ้น แต่คำสั่งสร้างสำนักก็ยังอยู่ในมือนี่นา
ถึงเวลานั้นหากไม่มีทางออกจริงๆ ก็ค่อยขายคำสั่งสร้างสำนักก็ได้ หินวิญญาณที่ได้มาก็เอาไปชดเชยค่าตอบแทนของลูกศิษย์ที่ขาดไปสามปี และให้รางวัลได้แบบไม่ต้องเสียดาย
แน่นอนว่า ลู่หยวนซานไม่หวังให้ถึงวันนั้นหรอก
และที่ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ยินดีเสียสละ ช่วยเหลือสำนักในยามยากลำบาก ลู่หยวนซานในใจรู้สึกซาบซึ้งใจมาก
เพราะสำนักไม่เหมือนตระกูล สมาชิกในตระกูลมีความเกี่ยวพันทางสายเลือด ย่อมที่จะช่วยเหลือกัน พลังยึดเหนี่ยวย่อมเข้มแข็งไม่ต้องพูดถึง
แต่สำนักชิงซานเป็นแค่สำนัก ไม่ใช่ตระกูล ลูกศิษย์มาจากทุกสารทิศ ง่ายที่จะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น
ข้อดีก็คือ หากไม่นับทังจื้อเสียนคนนั้น ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนักชิงซานก็ยังมีความสามัคคีกัน นี่ก็นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างคาดไม่ถึงเลย
เมื่อการประชุมจบลง ลู่หยวนซานจึงสั่งให้ลูกศิษย์ทั้งหลายแยกย้าย
ลูกศิษย์ทั้งหลายออกจากไปอย่างมีระเบียบ ในตำหนักจึงเงียบลงอย่างรวดเร็ว
ลู่หยวนซานเองก็ไม่ได้อยู่ต่อนาน มองลู่ฉางเฟิงและลู่จือเวย แล้วเอ่ยว่า
"น้องรอง น้องสาว ถึงแม้การประชุมวันนี้จะผ่านไปด้วยดี และอนาคตของสำนักก็มีทิศทางจะก้าวต่อไป แต่ในด้านเงินทุน สำนักยังค่อนข้างติดขัดอยู่"
"ตอนนี้สำนักอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก เหลือหินวิญญาณเก็บสำรองไว้เพียง 23 ก้อน แม้แต่หินวิญญาณจำนวนนี้ก็จะถูกใช้จนหมดในไม่ช้า"
"ดังนั้นในอีกสามปีข้างหน้า ค่าตอบแทนของพวกเจ้าทั้งสอง ตามที่ได้ปรึกษากันไว้ก่อนหน้า ก็จะต้องงดจ่ายไปก่อน หวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจ"
"พี่ชายพูดอะไรเช่นนี้ สำนักมีเหตุยากลำบาก ข้ายินดีที่จะช่วยเหลือสำนัก การงดรับค่าตอบแทนไปสามปี ก็ไม่เป็นไรหรอก"
ลู่ฉางเฟิงกวักมือ ท่าทางเหมือนไม่สนใจใยดี เขารู้ดีว่าสำนักลำบาก เมื่อถึงเวลาที่ควรช่วย ก็จะช่วยอยู่แล้ว จะไม่นั่งดูดายอย่างแน่นอน เพียงแต่การจากไปของทังจื้อเสียน ทำให้เขาอดถอนหายใจให้กับความเปลี่ยนแปลงของจิตใจคนไม่ได้
"ข้าจะฟังพวกท่านแล้วกัน"
ลู่จือเวยก็ตอบรับ
นางหยิบกระบี่เนื้อขาวเงินเล่มหนึ่งออกมา ส่งให้ลู่หยวนซาน "ดาบหมอกราตรีเล่มนี้ ก็เอาไว้ชดเชยให้สำนักละกันนะ"
เห็นการกระทำของลู่จือเวย สีหน้าลู่หยวนซานชะงักไป "น้องสาว เจ้านี่..."
ด้านข้างลู่ฉางเฟิงก็งงงัน ไม่ทันได้ตอบสนอง ไม่เข้าใจว่าลู่จือเวยกำลังทำอะไร
ทั้งสองยังไม่ทันจะถาม ลู่จือเวยก็กล่าวขึ้นมาก่อน "พี่ชายทั้งสอง ตามที่พวกท่านได้กล่าวไปแล้ว ตอนนี้สำนักอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก หินวิญญาณที่เก็บสำรองไว้เหลืออยู่น้อยมาก รายได้ของสำนักก็ไม่ค่อยมี จำเป็นต้องมีเงินทุนหมุนเวียน"
"ดาบหมอกราตรีเล่มนี้ ข้าเก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์ มูลค่าซื้อขายได้ราวๆ สามร้อยก้อนหินวิญญาณ เอาไปขายจะดีกว่า อย่างน้อยก็ยังแลกเปลี่ยนเป็นหินวิญญาณได้ จะได้เอาไปชดเชยให้สำนัก"
"ขายอาวุธวิญญาณของเจ้า..."
ลู่หยวนซานได้ยินดังนั้น รีบปฏิเสธทันที "เช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด!"
สามร้อยก้อนหินวิญญาณไม่ได้ถือว่ามากมาย แต่อาวุธวิญญาณเล่มนี้เป็นอาวุธวิญญาณชั้นสองระดับกลางเล่มเดียวที่อยู่ในมือลู่จือเวย เมื่อขายไปแล้ว พลังการต่อสู้ของลู่จือเวยจะลดลงอย่างน้อยสามส่วน การทำเช่นนี้ขาดทุนมากกว่าได้กำไร
ในฐานะผู้อาวุโสของสำนัก หลายปีมานี้ ผลประโยชน์ที่สำนักมอบให้ลู่จือเวยก็น้อยมากอยู่แล้ว ลู่หยวนซานรู้สึกเสียใจอยู่ตลอด
ตอนนี้จะเอาดาบหมอกราตรีของน้องสาวไปขาย แลกเป็นหินวิญญาณชดเชยให้สำนัก ลู่หยวนซานในใจขัดขืนอย่างยิ่ง
"ใช่แล้ว น้องสาว แม้สำนักจะลำบากขนาดไหน พวกเราก็ยังมีวิธีแก้ไขปัญหา"
"ดาบหมอกราตรีเล่มนี้ เป็นของขวัญวันเกิดที่ท่านพ่อมอบให้เจ้าตอนโตเป็นผู้ใหญ่ เจ้ามักจะถือมันเป็นของล้ำค่า ไฉนจะเอาไปขายเล่า?"
ลู่ฉางเฟิงเอ่ยปากเกลี้ยกล่อม "น้องสาว เจ้าเก็บมันไว้เถอะ"
"พวกท่านไม่ต้องพูดแล้ว ข้าตัดสินใจแล้ว"
เห็นพี่ชายทั้งสองไม่เห็นด้วย ลู่จือเวยจงใจแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเล็กน้อย
"ตอนนี้ข้าสิ้นหวังในการฝึกตนแล้ว ไม่มีใจมุ่งมั่นในการบำเพ็ญเพียรอีกต่อไป ดาบหมอกราตรีอยู่ในมือข้า ก็จะมัวหมองไร้ค่าไปวันๆ เอาไปชดเชยให้สำนักยังจะดีซะกว่า"
"น้องสาว..."
ลู่หยวนซานยังอยากจะพูดอะไรต่ออีก เพื่อเกลี้ยกล่อมลู่จือเวย แต่ลู่จือเวยก็รีบขัดคำพูดของเขาไปอีกครั้ง
"พวกท่านไม่ต้องเกลี้ยกล่อมอีกแล้ว วันนี้ถ้าพวกท่านไม่รับไว้ วันหลังข้าก็จะเอามันไปขายที่ตลาดอยู่ดี ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน!"
ทันทีที่พูดจบ ลู่จือเวยก็ไม่พูดอะไรอีก ยัดดาบหมอกราตรีใส่มือของลู่หยวนซานอย่างแรง แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเช่นนั้น มือที่ถือดาบหมอกราตรีของลู่หยวนซานก็สั่นเล็กน้อย รู้สึกจมูกแสบ
หากสำนักไม่ยากจนข้นแค้น สถานการณ์ไม่ยากลำบาก ใครเล่าจะอยากขายอาวุธวิญญาณของตัวเอง นี่ยังเป็นอาวุธวิญญาณชั้นสองเพียงชิ้นเดียวของสำนักด้วย
ขายออกไปแล้วง่าย แต่ต่อไปจะซื้อคืนมาได้หรือไม่ ก็ยังไม่แน่เลย
สองพี่น้องอ้าปากค้าง มองเห็นเงาโดดเดี่ยวของน้องสาวเดินจากไปไกล นึกถึงนิสัยที่เก็บตัวและอ่อนแอลงเรื่อยๆ ของน้องสาวในช่วงหลายปีมานี้ พลันรู้สึกเจ็บแปลบในใจ
ทั้งสองไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน
"ช่างเถอะ"
ในที่สุดลู่ฉางเฟิงก็ทำลายความเงียบ ถอนหายใจ "พี่ชาย ท่านก็ตามใจนางเถอะ นี่ก็เป็นความตั้งใจดีของน้องสาว"
ลู่หยวนซานพยักหน้า เก็บดาบหมอกราตรีอย่างทะนุถนอม สบตากับลู่ฉางเฟิงอีกครั้ง ก่อนที่สองพี่น้องจะออกจากตำหนักไป