บทที่ 3 วางแผนช่วยนิกายหาทางออก
"ในตลาดชิงเหอ นิกายมีเพียงร้านเดียว รายได้จากร้านนี้น้อยนิด ผลกำไรที่เกิดขึ้นในแต่ละปี ไม่ถึงหกสิบหินวิญญาณด้วยซ้ำ"
"รวมรายได้จากไร่ปลูกพืชวิญญาณ ไร่ยา อีกทั้งรายรับรวมของนิกายต่อปี ราวเจ็ดร้อยสามสิบหินวิญญาณ"
ลู่หยวนซานพูดตรงไปตรงมา คำนวณรายได้ของนิกายออกมาชัดเจน ท่าทีกระวนกระวายใจก็เห็นได้ชัดเช่นกัน
ในฐานะผู้นำสูงสุดมาหลายปี เขาทุ่มเทกำลังทั้งกายและใจเพื่อการพัฒนานิกายอย่างไม่ลดละ พยายามสุดกำลังที่จะรักษาการดำเนินงานของนิกายชิงซานต่อไป ไม่กล้าปล่อยให้หย่อนยานแม้แต่น้อย
เมื่อลู่หยวนซานพูดจบ บรรดาศิษย์ก็พากันพูดคุยจอแจ ตระหนักว่านิกายกำลังเผชิญความยากลำบากอย่างที่สุดแล้ว
สภาพเศรษฐกิจของนิกายอยู่ในภาวะย่ำแย่ รายรับลดน้อยถอยลงกว่าอดีตมาก
รายได้รวมจากร้านค้าในตลาด สวนยา และไร่ปลูกพืชวิญญาณ รวมกันในแต่ละปีไม่ถึงแปดร้อยหินวิญญาณด้วยซ้ำ รายรับเพียงเท่านี้สำหรับนิกายหนึ่ง ต้องบอกว่าน้อยเหลือเกิน
สมาชิกนิกายหนึ่งคน เงินเดือนประจำปีจะแบ่งตามระดับพลัง อยู่ระหว่างสิบถึงยี่สิบหินวิญญาณ
ศิษย์ยี่สิบแปดคน ในปีที่ผ่านมา เงินเดือนที่แจกจ่ายให้พวกเขารวมกันแล้วมากกว่าสี่ร้อยหินวิญญาณ
บวกกับเงินเดือนของเซียนเฒ่าผู้อาวุโสทั้งสาม แต่ละคนหนึ่งร้อยหินวิญญาณ เพียงแค่ส่วนเงินเดือนของสมาชิกนิกาย ตามการคำนวณ ก็กินเงินไปมากกว่าเจ็ดร้อยหินวิญญาณแล้ว ปีนี้ก็ยังคงรักษาจำนวนนี้ไว้เช่นเดิม
การดำเนินงานของนิกายเอง ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อยาลูกกลอน การเพาะปลูกยาและข้าววิญญาณ การรักษาวงจรอาคมป้องกันภูเขา ก็เป็นค่าใช้จ่ายมหาศาล คิดเป็นเงินประมาณห้าร้อยหินวิญญาณต่อปี
สิ่งเหล่านี้ศิษย์ทุกคนคำนวณออกได้ทั้งนั้น มีความเข้าใจคร่าวๆ
"สรุปแล้ว รายได้จากกิจการของนิกาย เมื่อรวมกันแล้ว ต่อปีมีเพียงเจ็ดร้อยกว่าหินวิญญาณเท่านั้น ในขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมมากกว่าหนึ่งพันสองร้อยหินวิญญาณ"
"เมื่อเปรียบเทียบรายรับและรายจ่ายของนิกายแล้ว เห็นได้ชัดว่ารายจ่ายมากกว่ารายรับ"
"สถานะทางการเงินของนิกายตกอยู่ในภาวะย่ำแย่ ทุกปีขาดทุนอย่างหนัก แถมยังมีแนวโน้มจะแย่ลงเรื่อยๆ หากไม่คิดหาวิธีการใหม่ๆ กลัวว่านิกายจะอยู่ต่อไม่ได้ และคงไม่มีทางฟื้นตัว"
ลู่หยวนซานแสดงออกถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
บรรดาศิษย์มองหน้ากันไปมา เริ่มตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์
ยากจะจินตนาการได้ว่านิกายประคับประคองมาได้อย่างไรในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินกิจการ ตระกูล นิกาย หรือแม้แต่อาณาจักร เงินหินวิญญาณคือพื้นฐานของการดำรงอยู่ หากขาดเงินก็คงยากที่จะก้าวต่อไปได้
แม้แต่ผู้ฝึกตนเร่ร่อนผู้ยากไร้ ไร้ที่พึ่งพิงอาศัย ก็ยังต้องดิ้นรนทำงานเพื่อแลกกับเงินไม่กี่หินวิญญาณ ตลอดทั้งชีวิต
นี่คือความทุกข์ยากของการบริหารนิกาย
ในสายตาผู้ฝึกตนเร่ร่อน การดำเนินงานนิกายคงจะสุขสบาย ทรัพยากรมากมาย มีพลังกำลังช่วยเหลือกันทำสิ่งใหญ่โตได้
ทุกๆ สองสามปี ยังสามารถปรุงยาสร้างรากฐานช่วยศิษย์ได้อีกมากมาย
แต่ใครจะรู้บ้างว่าการบริหารนิกายทำได้ยากเย็นเพียงใด
นิกายชิงซานในตอนนี้ตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจซบเซา เผชิญหน้ากับวิกฤตการขาดทุน เรื่องดำเนินการต่อไปกลายเป็นปัญหาแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงการปรุงตำหรับยาสร้างรากฐานเลย แม้แต่การจัดหายาก้อนเดียวยังทำไม่ได้ ต่อให้สุดกำลังทั้งนิกายแล้ว คงเป็นไปไม่ได้ในอีกสิบปีข้างหน้า นอกจากจะเกิดปาฏิหาริย์
หากไม่มียาสร้างรากฐาน ก็ไม่มีผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานคอยปกป้องคุ้มครอง อาณาเขตอิทธิพลของนิกายจะลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ นิกายชิงซานอาจจะตกต่ำจนสิ้นซาก หายไปจากยุทธภพ
เมื่อลู่หยวนซานนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ บรรยากาศในศาลาเริ่มอึดอัด
ทุกคนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ใจคิดว่านี่หรือจะเตรียมยุบนิกายแล้ว?
จนกระทั่งศิษย์บางคนก็แสดงสีหน้าเครียด ครุ่นคิดว่าหากนิกายสลายตัวจริงๆ ตัวเองควรไปที่ไหน จะต้องไปเป็นผู้ฝึกตนเร่ร่อนโดดเดี่ยวเชียวหรือนี่
ชีวิตของผู้ฝึกตนเร่ร่อนนั้นลำบากยากเข็ญเหลือเกิน ไม่ต้องพูดถึงความยากแค้น ยังปราศจากที่พึ่งพิงอาศัย วันๆ มีแต่ความไม่มั่นคง
ลู่ผิงที่ลอยอยู่ด้านข้าง แม้จะประหลาดใจที่นิกายตกต่ำลงมาก แต่ในเวลาเดียวกันก็สงสัยใคร่รู้ต่อการพัฒนาการของนิกายในช่วงสามสิบปีนี้
เขายิ่งอยากรู้ว่าในช่วงสามสิบปีที่เขาปิดตนบำเพ็ญเพียรนี้ นิกายชิงซานได้เผชิญอะไรมาบ้าง ปัญหามาจากภายในหรือมีศัตรูจากภายนอกบุกรุก
แม้ในใจสงสัยมากมาย แต่ลู่ผิงยังไม่ได้ทำสิ่งใด
เขาเฝ้าสังเกต ตัดสินใจจะฟังให้จบการประชุมก่อน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของลู่หยวนซานก็ดังขึ้นอีกครั้ง
"ทุกบ้านย่อมมีปัญหา ไม่มีใครเป็นยกเว้น"
"ตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องหาวิธีช่วยนิกายลดภาระหรือเพิ่มรายได้ ก่อนอื่นต้องแก้ปัญหาการขาดทุนของนิกายให้ได้"
พูดถึงตรงนี้ ลู่หยวนซานนึกถึงฉู่เหม่งหยวนที่ยังคงประจำการอยู่ที่อำเภอกว้างเต๋อ แล้วก็หันไปหาลู่ฉางเฟิงกับลู่จือเวย
"หลังจากปรึกษาหารือกับสามเซียนเฒ่าแล้ว ข้ามีทางออกสองทางให้พวกเจ้าเลือก ครั้งนี้ทิศทางอนาคตของนิกาย จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเจ้า"
ศิษย์ทั้งหลายเมื่อได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจโล่งอก
โชคดีที่ยังมีทางออกให้เลือก นิกายไม่ถึงขั้นยุบเลิกทันที ตราบใดที่ยังมีวิธีแก้ไขก็ยังคงดี
"ทางแรก คือการลดรายจ่าย ซึ่งนิกายมีค่าใช้จ่ายมากที่สุดในส่วนของเงินเดือน"
ลู่หยวนซานเปิดเผยทางรอดทางแรก
"ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ในอีกสามปีข้างหน้า ข้าจะพักการแจกจ่ายเงินเดือนให้พวกเจ้าชั่วคราว และนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนกับกิจการสามอย่างของนิกาย ขยายไร่ปลูกพืชวิญญาณ สวนยา และร้านในตลาด เพื่อเพิ่มรายได้"
"ทั้งนี้ เงินเดือนของเซียนเฒ่าทั้งสามในอีกสามปีข้างหน้าจะหยุดการแจกจ่ายเช่นเดียวกัน พวกข้าจะร่วมแบกรับกับพวกเจ้าไปด้วยกัน"
"หลังจากผ่านไปสามปี นิกายจะจ่ายเงินเดือนที่หยุดจ่ายไว้ให้แก่พวกเจ้า พร้อมทั้งให้เงินเดือนอีกหนึ่งปีเป็นดอกเบี้ยรางวัลสำหรับพวกเจ้า"
สิ่งนี้ก็เป็นทางออกที่จำใจแล้ว ลู่หยวนซานไม่ได้ไม่คิดที่จะลดเงินเดือนของสมาชิกลง ให้จ่ายเพียงครึ่งเดียวในอีกสามปีข้างหน้า เพื่อเก็บเงินที่ประหยัดได้นำไปลงทุนใน ไร่ปลูกพืชวิญญาณ สวนยา และร้านในตลาด
แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว แนวทางนี้คงใช้ไม่ได้
หากต้องการลงทุนในกิจการทั้งสามนี้ ขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น หากใช้เงินลงทุนไปเพียงหนึ่งสองร้อยหินวิญญาณก็น้อยเกินไป
นิกายเองก็ต้องใช้หินวิญญาณในการดำเนินงาน
ในฐานะผู้นำ หินวิญญาณที่ลู่หยวนซานเก็บสะสมมาหลายปีนี้ก็น้อยนิด
เพื่อให้แจกจ่ายเงินเดือนได้ทันเวลา รักษาการดำเนินงานของนิกายไว้ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธวิญญาณ ทรัพย์สมบัติ ที่ขายได้ก็ขายหมดแล้ว ในมือแทบไม่เหลือหินวิญญาณเลย
บางครั้งเขาก็กลุ้มใจ เคยคิดจะยุบนิกาย แต่พอนึกถึงว่านี่คือมรดกตกทอดที่พ่อเขาทิ้งไว้ ก็ยังดันทุรังสู้ต่อไป หวังว่านิกายจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง
แต่จนถึงปีนี้ ชีวิตยิ่งยากลำบาก เขารับภาระเงินเดือนของศิษย์ทั้งหลายไม่ไหวแล้วจริงๆ
ด้วยกำไรจากไร่ปลูกพืชวิญญาณ
สวนยา และร้านค้าในตลาด เพียงเท่านี้ก็ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายเงินเดือนแล้ว จำเป็นต้องหาวิธีเปลี่ยนแปลง แก้ไขสถานการณ์ของนิกายให้ได้
"ท่านผู้นำ"
ศิษย์ผู้หนึ่งที่มีประสบการณ์มากมายอดไม่ไหวพูดออกมา "หลายปีมานี้ชีวิตข้าก็ลำบากมาตลอด ตระหนี่หินวิญญาณมาโดยตลอด อยากจะซื้ออาวุธวิญญาณสักชิ้น อีกปีเดียวก็จะเก็บเงินได้ครบแล้ว"
"แต่ตอนนี้หากหยุดจ่ายเงินเดือนอีกสามปี ข้าต้องรออีกสามปีเช่นนั้นหรือขอรับ?"
พอพูดจบ เขาก็รู้สึกว่าการซื้ออาวุธวิญญาณในตอนนี้ไม่ค่อยเหมาะสม เลยก้มหน้าลงอย่างเก้อเขิน
เขาชื่อจางเนี่ยนชวน ตั้งแต่หกปีก่อน หลังจากอาวุธวิญญาณชิ้นเดียวของเขาแตกสลายในการต่อสู้กับผู้ฝึกตนอธรรม ก็ใช้ชีวิตอย่างประหยัดเพื่อเก็บสะสมหินวิญญาณ หวังจะซื้ออาวุธใหม่ พอเห็นนิกายจะหยุดแจกจ่ายเงินเดือน จึงเป็นคนแรกที่ออกมาโอดครวญ
ไม่ใช่แค่เขาหรอก เมื่อได้ยินเรื่องหยุดจ่ายเงินเดือนในอีกสามปีข้างหน้า ในบรรดาศิษย์ ก็มีอีกหลายคนที่ไม่เต็มใจยอมรับ เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาตรงๆ
เมื่อเห็นจางเนี่ยนชวนออกมาบ่น ลู่หยวนซานก็รู้อยู่แล้ว เผยสีหน้าอมทุกข์ออกมา
"ข้ารู้ว่าพวกเจ้ายากลำบาก ต้องการหินวิญญาณเพื่อดำรงชีวิต ซื้ออาวุธวิญญาณ ดังนั้นจึงไม่ฝืนใจพวกเจ้า"
"แต่นิกายของเรากำลังเผชิญสถานการณ์วิกฤต ถึงเวลาคับขันแล้ว ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหาวิธีแก้ปัญหา นิกายหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเจ้าจะช่วยเหลือ ฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน"
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนต่างมีความคิดของตัวเอง เข้าใจดีว่านิกายเผชิญภาวะยากลำบากทางการเงิน จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง
สวนยา ร้านค้าในตลาด และไร่ปลูกพืชวิญญาณ เป็นกิจการหลักสามประการของนิกาย เป็นแหล่งรายได้หลัก
การขยายการลงทุนในสวนยาและไร่ปลูกพืชวิญญาณน่าจะทำได้จริง
กิจการสองอย่างนี้นิกายมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการมาหลายปีแล้ว
ส่วนร้านค้าในตลาดก็ควรขยายขนาดเพิ่มอีกสักหนึ่งสองร้าน น่าจะช่วยเพิ่มรายรับได้
ยาและข้าววิญญาณที่นิกายผลิตได้ ก็สามารถขายผ่านร้านค้านี้สู่ภายนอกได้
การลงทุนในร้านค้านี้ก็มีความจำเป็นมาก
เมื่อคิดถึงข้อดีข้อเสียแล้ว ทุกคนก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก แต่ก็อยากรู้ว่าทางที่สองจะเป็นอย่างไร จะดีกว่าทางแรกรึเปล่า
จางเนี่ยนชวนจึงเอ่ยปากถาม
"ท่านผู้นำ งั้นทางที่สองล่ะ?"