บทที่ 2 หน้าหินครุ่นคิดชีวิต
ที่เรียกว่าหินถามฟ้า ก็คือแท่งหินประหลาดตรงกลางเวทีนั่น
ของเล่นชิ้นนี้สูงสามฟุต สีครึ่งเขียวครึ่งเหลือง ดูเหมือนจะเป็นหยกเนื้อดี แท้จริงแล้วเป็น "วัตถุวิเศษ" ที่ถูกชำระแล้ว
เด็กๆ ต่างเดินขึ้นเวทีต่อเนื่องกัน ด้านข้างก็เป็นบรรดาผู้ปกครองที่รอคอยอย่างกระวนกระวาย
หากเด็กๆ พวกนี้สามารถเข้าสำนักเซียนบำเพ็ญตนได้ นอกจากตัวเองจะหลุดพ้นจากโลกธรรมดา กลายเป็นเหล่าเทพเซียนที่ใครๆ ต่างอิจฉา เพิ่มบุญเพิ่มอายุแล้ว ยังอาจคุ้มครองคนในครอบครัว อำนวยพรให้กับเพื่อนบ้านข้างเคียงได้ด้วย
แต่วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร แสงที่พุ่งออกมาจากหินถามฟ้าแม้สูงที่สุดก็แค่สามสี่นิ้ว แถมยังเป็นสีเขียวครามเขียวคราม
ด้านหลังเวทีวางเก้าอี้หินหกตัว ตรงกลางเป็นชายชราผมขาวดั่งหิมะสองคน ซ้ายขวามีชายหญิงวัยกลางคนอีกสองคู่ ทุกคนมัดผมทรงเต๋า สวมชุดยาวเรียบง่ายสีขาว
พวกเขาคือคนของสำนักเซียน
หลี่ผิงอันยืนเข้าแถวอย่างสุภาพเรียบร้อย
หลี่ต้าจื่อสั่งให้คนยกเก้าอี้ไม้มาวางตรงหน้าฝูงชนแล้ว นั่งอย่างสบายอารมณ์ ด้านหลังคือชายกำยำหลายคนสวมเสื้อคอตั้งสีเขียวสั้น พวกเขาคือผู้พิทักษ์ตระกูลหลี่
เวลาผ่านไปประมาณสองชั่วยาม เด็กที่ยืนอยู่ข้างหน้าหลี่ผิงอันก็ลองไปหมดแล้ว
ไม่มีสักคนที่สามารถทำให้หินถามฟ้าส่องแสงได้หนึ่งฟุต
เหล่าผู้มาจากสำนักเซียนมีท่าทีเคยชินกับสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ได้แสดงอาการใดๆ
แล้วก็ได้ยินเด็กวัดบนเวทีร้องประกาศ:
"หลี่ผิงอัน เชิญก้าวไปข้างหน้า"
หลี่ผิงอันสูดหายใจลึก ก้าวขาเดินไปข้างหน้า โค้งคำนับให้เด็กวัด ชายชุดคลุมไหมสีฟ้าจันทร์ ยกชายกระโปรงก้าวขึ้นบันได
ขึ้นมาบนเวที หลี่ผิงอันโค้งกายคำนับ ก่อนอื่นคารวะต่อชายชราเซียนสองท่านตรงกลาง จากนั้นก็คารวะเหล่านักพรตซ้ายขวา
เขาเป็นผู้ใหญ่ จึงย่อมไม่เหมือนเด็กๆ ควรให้ความเคารพเพิ่มอีกหน่อยไม่ผิดแน่
ชายชราทั้งสองสบตากัน แต่ละคนเผยรอยยิ้มออกมา
เด็กวัดเตือนข้างๆ: "หลี่ผิงอัน เพียงแค่วางมือลงบนหินถามฟ้า"
หลี่ผิงอันผงกศีรษะเบาๆ กดมือลงบนด้านหน้าหินประหลาด เก็บสมาธิสงบจิต ตรวจสอบความรู้สึกอย่างละเอียด
หลี่ต้าจื่อที่อยู่ด้านล่างเวทีนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว ลุกขึ้นยืนมองอย่างขมวดคิ้ว
ถึงแม้ในใจหลี่ต้าจื่อจะรู้ชัด ท่านเฉินเต้าจ่างองค์นั้นใช้เส้นสายให้กับลูกชายไว้แล้ว แต่พอถึงเวลาสำคัญขนาดนี้ หลี่ต้าจื่อก็อดตึงเครียดไม่ได้
หินถามฟ้าปรากฏแสงสีม่วงวาบขึ้นมาทันที!
แสงสีม่วงลอยเด่นขึ้น สูงถึงสิบกว่าฟุต แล้วยังเห็นเงาเลือนรางของต้นไม้สีเขียวฟ้าปรากฏขึ้นเหนือแสงสีม่วง
ชายชราทั้งสองแสดงสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ต่างก็เผยความเสียดายออกมา
ผู้คนรอบๆ พากันเปล่งเสียงชื่นชมไม่ขาดสาย แม้จะไม่รู้ว่าแสงสีม่วงและต้นไม้สีเขียวฟ้านี้หมายถึงอะไร แต่พวกเขามองออกว่าหนุ่มตระกูลหลี่คนนี้ไม่ธรรมดาเลย
คนที่เคยพูดจาเสียดสีหลี่ผิงอันก่อนหน้า หน้าซีดเผือดไปหลายคน
"ท่านเต๋า เอามือลงได้แล้ว" เด็กวัดเอ่ยเสียงเบา
หลี่ผิงอันชักมือกลับ เม้มปากขมวดคิ้ว มองชายชราสองท่านนั้นเงียบๆ
ชายชราหนวดขาวคิ้วขาวด้านซ้ายเอ่ยอย่างเนิบช้า: "ไม่เลว พรสวรรค์ชั้นเลิศเหมาะแก่การเข้าสำนักข้าจริงๆ แต่...หลี่ผิงอันใช่ไหม?"
หลี่ผิงอันก้มตัวคำนับสงบนิ่ง: "ขอคำชี้แนะด้วย"
ชายชราถอนใจ:
"น่าเสียดายที่สำนักข้าไม่ได้ค้นพบเจ้าตั้งแต่วัยเด็ก เสียโอกาสบรรลุเซียนอย่างน่าเสียดาย
โอกาสหรือโชคชะตา
รากฐานธาตุห้าของเจ้าเด่นที่ไม้ แต่ขาดธาตุดิน มีลักษณะของรากฐานลอยไม่มั่นคง...นี่ไม่ใช่รูปแบบที่ดีในการบำเพ็ญเลย
เจ้าตอนนี้อายุมากแล้ว ลมปราณกำเนิดเดิมที่เจ้าพกมาตั้งแต่ในท้องก็สลายไปหมด เห็นว่าหน้าผากเจ้ากระจัดกระจาย คิดว่าความซื่อใสไร้เดียงสาคงจะเสียไปแล้ว ถ้าเจ้าอยากบำเพ็ญก็ได้ แต่ความยากลำบากค่อนข้างมาก และต้องใช้ความพยายามเป็นสองเท่า
ยิ่งไปกว่านั้น ชะตาชีวิตของเจ้าก็แค่ปานกลางเท่านั้น แม้จะโชคดีไม่น้อย แต่ก็ไม่อาจชดเชยความเสียเปรียบในตอนนี้ได้
เจ้าลองคิดดูดีๆ เอง ในสำนักมีกฏระเบียบอยู่ ถ้าเจ้าเข้ามาแล้วไม่สามารถประสบความสำเร็จ ก็ไม่สามารถลงจากเขาไปได้อีก ถ้าพ่อแม่ของเจ้ายังอยู่ การอยู่ในโลกมนุษย์ทำหน้าที่ลูกก็ดีไม่น้อย รอให้พ่อแม่จากไปก็ค่อยขึ้นไปบำเพ็ญ ถึงตอนนั้นจะแตกต่างจากตอนนี้ไม่มาก"
หลี่ผิงอันขมวดคิ้วเล็กน้อย ใจคิดหนัก หันหน้ากลับไปมองด้านล่างเวที
"ไปสิ ไปบำเพ็ญเซียน!"
หลี่ต้าจื่อโบกมืออย่างร้อนใจ
"กิจการที่พ่อลูกเรากอบโกยมาก็ใหญ่ขนาดนี้แล้ว พ่อยังจะไปทนลำบากอะไรอีก?"
หลี่ผิงอันหันกลับมาถอนหายใจ: "ลูกศิษย์...ลูกศิษย์จะทุ่มเทจิตใจสู่เต๋า!"
"ดี" สองชายชราพยักหน้าพร้อมกัน "มาทางนี้"
หลี่ผิงอันหันไปมองพ่อ จมูกรู้สึกเสียวซ่าน ตรงหน้าลอยภาพพ่อที่พาตนเข้าเรียนหลายครั้ง
ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ ล้วนเหมือนกัน
ลูกผู้ชายไม่ควรมีท่าทีอ่อนไหวมากเกินไปหรอก
เขาควรตั้งใจบำเพ็ญ กำหนดเป้าหมายภายในสิบห้าปี ถ้าเขาไม่มีแววบำเพ็ญเซียนจริงๆ เขาจะตัดสินใจเด็ดขาด ขอเป็นศิษย์สำนักประจำโลกมนุษย์ จากนั้นกลับไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อจนถึงบั้นปลายชีวิต
หลี่ผิงอันก้มหัวคำนับพ่อทีลึก
"ไอ้เด็กเวร ทำท่าประหลาดๆ อะไรของแก ทำพ่อเศร้าซะอีก"
หลี่ต้าจื่อยกมือขึ้นมาบีบจมูก
"บำเพ็ญเซียนได้ก็ไปสิ บำเพ็ญเซียนดีออก บินไปบินมาได้ อายุยืนอีกต่างหาก"
ผู้คนรอบข้างก้มกายแสดงความยินดี
เด็กวัดก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง ประกาศ: "หลี่ต้าจื่อ กรุณาก้าวไปข้างหน้า"
"ข้าก็ต้องสอบด้วยเหรอ?"
หลี่ต้าจื่อลุกขึ้นยืน หัวเราะอย่างซื่อบื้อ
"ท่านดูข้านี่ ข้าก็แค่มาสมัครเป็นเพื่อนกับลูกชายน่ะ กลัวเขาจะเกร็งเกินไป ข้าปีนี้ห้าสิบกว่าแล้ว"
เด็กวัดเอ่ยอย่างจริงจัง: "ท่านดูแคลนสำนักพวกเราหรือ?"
"ไม่กล้าๆ ไม่กล้าหรอก! ทุกท่าน วันนี้ข้าจะขึ้นไปอายหน้าให้ดูแล้วนะ!"
หลี่ต้าจื่อรีบโค้งคำนับ ขอบคุณทุกคนรอบข้าง หัวเราะร่าเดินปีนขึ้นบันไดไปถึงบนเวที
ท่าทางเขาอวบอ้วน ปกติไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ท่วงท่าจึงดูตลกขบขันไปบ้าง
แต่ผู้คนรอบๆ ไม่กล้าพูดหัวเราะกันง่ายๆ แล้ว
คุณชายตระกูลหลี่เข้าสำนักเซียนบำเพ็ญตน ต่อไปตระกูลหลี่ในเมืองว่านอันนี้จะมั่นคงยิ่งนัก แม้แต่ขุนนางราชสำนักเซียนในท้องถิ่นยังต้องให้เกียรติสามส่วน
หลี่ต้าจื่อคารวะไปทั่วทุกที่ เดินวนไปรอบหนึ่ง นักพรตสองคนวัยกลางคนต่างมองมาด้วยสายตาไม่สบอารมณ์
พ่อค้าในโลกมนุษย์มักจะเจ้าเล่ห์ หน้าตาอย่างนี้เห็นที่ไหนก็ขัดใจไม่น้อย
เด็กวัดเร่งเร้า: "กรุณาวางมือ"
"ได้เลย" หลี่ต้าจื่อหัวเราะแล้ววางมือซ้ายลงบนหินถามฟ้า
หินถามฟ้านิ่งสงบ
"ก็แค่นี้เองหรือ?" หลี่ต้าจื่อสงสัย "ข้าแม้แต่แสงสักนิดยังไม่มีเลยเหรอ?"
เด็กวัดเผยสีหน้างุนงงในทันที ชายชราสองคนด้านข้างต่างมองมาอย่างประหลาดใจ
"พ่อ" หลี่ผิงอันเอ่ยเสียงเบา "พ่อวางมือผิดที่หรือเปล่า?"
"เอาเถอะ แบบนี้ก็ถือว่าข้าได้สอบแล้ว"
หลี่ต้าจื่อหัวเราะแล้วชักมือกลับ
เขาหันกลับมามองลูกชาย พูดทุกสิ่งที่อยากพูดออกมาในประโยคเดียว:
"หลี่ผิงอัน ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ อย่าไปหาเรื่องชิงดีชิงเด่นกับคนอื่น เจออะไรก็ใจเย็นๆ อดทนหน่อย ลำบากบ้างก็ไม่เป็นไร มีความสุขแน่นอน ต้องเป็นเด็กดีให้ได้นะ"
หลี่ผิงอันมีแววตาไม่อยากจาก แต่ก็ไม่ยอมแสดงสีหน้าอ่อนแอใดๆ ออกมา
"อื้ม พ่อ ผมจำได้หมดแล้ว"
"ถ้างั้นก็ดี พ่อกลับก่อนนะ..."
กึก!
มีเสียงแตกร้าวดังมาจากด้านหลังหลี่ต้าจื่อ
หลี่ผิงอันตาโตขึ้นมาทันที!
เสียงอะไรน่ะ?
หลี่ต้าจื่อหันไปมอง อดสั่นเทิ้มไม่ได้
ปรากฏรอยแตกมากมายตั้งแต่บนลงล่างบนหินถามฟ้า ในรอยแตกนั้นมีแสงสีทองเข้มข้นราวกับจะพุ่งทะลักออกมา!
อีกชั่วพริบตา!
แสงทองในหินแตก!
ชั้นนอกของหินถามฟ้าสลายออกทันที ลำแสงสีทองพุ่งตรงขึ้นฟ้า!
ไม่ว่าจะในเมืองหรือนอกเมือง ทหารยามบนกำแพง คนแบกของบนทาง แม่นางอรชรหรือเด็กน้อยหัวไม่สวมเสื้อ ต่างเงยหน้ามองดู!
บนพื้นดินใต้เมฆา เต๋าในฝ่ายหยาง เต๋าในฝ่ายหยิน เต๋าแห่งการสลับหยางเปลี่ยนหยิน ต่างส่งสติจิตค้นหา!
แสงสีทองทำให้เมฆขาวกลายเป็นสีทอง เมฆขาวกลับแปรเปลี่ยนอย่างเชื่องช้าและคลี่คลายออก กลายเป็นรูปลักษณ์ของดอกเห็ดหลินจือ
ชายชราทั้งสองจากสำนักผุดลุกขึ้นยืน!
สี่ศิษย์ในสำนักตาค้างปากอ้า พูดไม่ออก!
"เมฆมงคล! รูปลักษณ์ของเมฆมงคล! รูปลักษณ์เมฆมงคลของมนษย์! นี่คือชะตาชีวิตระดับสุดยอด นี่ช่างเป็นชะตาชีวิตระดับสุดยอดเสียจริง!"
"แสงทองพุ่งทะลัก! ธาตุทั้งห้าครบถ้วน! วาสนาทองล้านดวง! นี่! นี่คือพรสวรรค์ระดับเทียนเซียนเชียวนะ! ไม่สิ นี่อาจเป็นพรสวรรค์ระดับจินเซียนเลยก็ได้!"
"ห๊ะ?"
หลี่ต้าจื่อหลุดคำสบถออกไป มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ
ทว่า ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไร ชายชราทั้งสองร่างกลับมุ่งหน้ามาทันที ทั้งซ้ายและขวาต่างกดไหล่ของเขาไว้
"รีบไป! รีบพาเด็กคนนี้กลับไปที่สำนัก!"
เด็กวัดกางแขนทั้งสองพุ่งขึ้นฟ้า กลายเป็นนกกระเรียนขาวปีกกว้างสิบฟุต ชายชราทั้งสองและนักพรตวัยกลางคนสี่คน ปรูดปราดลงไปบนหลังนกกระเรียนขาว ปีกทั้งสองของนกขาวโบกพัดจนเกิดลมแรง พัดให้ผู้คนด้านล่างโอนเอนไปมา
รอจนกว่าลมแรงจะจางหาย จะเห็นเงาของนกกระเรียนขาวได้ที่ไหนกัน?
เดี๋ยวก่อนสิ เหล่าเซียนลืมอะไรไปหรือเปล่า...
หลี่ผิงอันยืนขมวดคิ้วอยู่มุมเวที มองไปที่ขอบฟ้า แล้วก็ก้มหน้ามองที่เท้าตัวเอง
เขากระโดดเบาๆ สองสามที แล้วยกมือขึ้นหยิกหลังมือตัวเอง
พ่อเป็นคนมีชะตาชีวิตระดับสูงสุด พรสวรรค์ที่เลิศล้ำ? อย่างนี้พ่อก็มีความหวังบรรลุเป็นเซียนมากกว่าเขาสินะ
ในใจหลี่ผิงอันรู้สึกดีใจขึ้นมาก่อน จากนั้นก็เริ่มกระทืบเท้าเสียใจ
ไม่ใช่สิ!
เขายังไม่ได้ขึ้นหลังนกกระเรียน!
เขายังไม่ได้ขึ้นหลังนกกระเรียนเลยนะ!
โชคดีที่ขอบฟ้าปรากฏแสงสีเขียวอีกครั้ง นักพรตหญิงวัยกลางคนขี่ดาบกลับมา ดึงแขนของหลี่ผิงอัน นำเขาทะลุอากาศไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
เสียงลมเสียดหู ความเร็วมากเกินไป หลี่ผิงอันรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ตาพร่ามัวแล้วก็สลบไป
...