บทที่ 146 วิญญาณยุทธ์มังกรดำ
จากบรรดาทาสเก้าสิบคนขั้นนักยุทธ์ที่ถูกมองเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ ตอนนี้พวกเขาเหล่านั้นเป็นถึงวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์ แม้ดูแล้วมีไม่มากนัก แต่ก็ยังคงเป็นกองกำลังที่ไม่ธรรมดาสำหรับเขา
หากเทียบกับหมู่บ้านเฮยเฟิงแห่งเมืองซิงเยว่แล้ว พวกเขาก็มีวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์ทั้งหมู่บ้านเพียงสิบสี่คนเท่านั้น
กระนั้นแล้ว หมู่บ้านเฮยเฟิงก็ยังเป็นที่โจษขาน ว่าเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่แข็งแกร่งมาก ยากจะโค่นลงได้ง่ายๆ
แต่ตอนนี้ หยางเสี่ยวเทียนมีวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์ใต้บังคับบัญชามากถึงเก้าสิบคน ก็คงจะพอรู้ว่ากองกำลังของเขานั้นน่าเกรงขามขนาดไหน
หยางเสี่ยวเทียนได้แบ่งกองกำลังของทาสเหล่านี้ ออกเป็นกลุ่มละสิบคน โดยเลือกให้เก้าคนเป็นผู้นำกลุ่ม ส่วนเก้าคนที่ถูกเลือกมานี้ให้อยู่ภายใต้บัญชาของอัตและอาลี่อีกทอดหนึ่ง
ด้วยวิธีจัดกองกำลังเช่นนี้ จะทำให้อัตและอาลี่ง่ายต่อการควบคุมดูแลทุกคนอย่างทั่วถึง อีกทั้งพวกเขาจะได้มีเวลาฝึกฝนตนเองมากขึ้น
แนวทางควบคุมเหล่านี้ หยางเสี่ยวเทียนได้ขอให้หลัวชิงกับเลี่ยวคุน คอยให้คำชี้แนะเพิ่มเติมแก่ อัต อาลี่พร้อมทั้งเก้าคนนั้น เพื่อให้พวกเขามีอิสระในการจัดการแลมีวิธีคิดเป็นของตนเองด้วย
ถึงแม้ อัตและอาลี่จะมีสายเลือดของเผ่าเทพหิรัณย์ แต่รากฐานการฝึกฝนของพวกเขายังอ่อนแอเกินไป จำต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากขึ้น
กลางคืนมาเยือน
หยางเสี่ยวเทียนนั่งขัดสมาธินิ่งบนเตียงหยกเย็น หลังกลืนธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์แล้ว เขาก็เริ่มบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่ม
เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นผลของธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์หรือเพราะเหตุใด แต่วิญญาณยุทธ์เสวียนอู่และวิญญาณยุทธ์อสรพิษนิลกาฬ ได้มีความเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก
วิญญาณยุทธ์เสวียนอู่ไม่เพียงมีขนาดใหญ่โตเท่านั้น แต่บนกระดองมัน ยังมีลวดลายลึกลับคล้ายอักขระเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนวิญญาณยุทธ์อสรพิษนิลกาฬ มันก็มีขนาดตัวใหญ่ขึ้น พร้อมกับสองเขาที่งอกออกมาจากหน้าผาก และใต้ท้องของมันตอนนี้ มีสี่ขางอกออกมาอย่างสมบูรณ์
เมื่อดูการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณยุทธ์อสรพิษนิลกาฬ หยางเสี่ยวเทียนกลับรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตอนนี้มันไม่ใช่อสรพิษอีกต่อไป
จากนี้ไป วิญญาณยุทธ์อสรพิษนิลกาฬ คงไม่อาจเรียกว่าเป็นอสรพิษได้อีกแล้ว แต่เป็นวิญญาณยุทธ์มังกรดำ
ไม่เพียงเท่านั้น หยางเสี่ยวเทียนยังพบว่าวิญญาณยุทธ์มังกรดำมีความน่าพิศวงไม่น้อย เนื่องจากเกล็ดของมันมีลวดลายลึกลับปรากฏอยู่ ซึ่งแตกต่างจากมังกรดำทั่วไป
ด้วยลวดลายเหล่านี้บนเกล็ดของมัน ทำให้หยางเสี่ยวเทียนมาดมั่นมากขึ้นว่า วิญญาณยุทธ์มังกรดำของเขา ต้องมิใช่มังกรดำธรรมดาแน่นอน
“ข้าสงสัยนักว่า มันเป็นมังกรดำชนิดไหน” หยางเสี่ยวเทียนขบคิดกับตนเองอย่างเงียบๆ
หากวันใดพอมีเวลาว่าง เขาอาจต้องรุดหน้าไปยังหอคัมภีร์ เพื่อตรวจสอบให้ถี่ถ้วนว่า ในโลกนี้มีมังกรดำอยู่กี่ชนิดกันแน่
เช้าวันรุ่งขึ้น หยางเสี่ยวเทียนก็ออกจากจวนของตน มุ่งหน้าไปยังจัตุรัสร้อยกระบี่ ทันทีที่ไปถึงเขาก็เริ่มนั่งสมาธิหน้าศิลากระบี่เล่มที่แปดสิบเอ็ด
หลินหยงและเฉินหยวนมองไปยังหยางเสี่ยวเทียน ที่กำลังหยั่งรู้ศิลากระบี่ใกล้ครบร้อยเล่มเข้าไปทุกวัน ด้วยความรู้สึกคละเคล้าทั้งกังวลและตื่นเต้น
ในทุกๆ วันนี้ บรรดาอาจารย์และศิษย์สำนักต้องมาที่จัตุรัสร้อยกระบี่ ราวกับว่าการมองดูหยางเสี่ยวเทียนหยั่งรู้ศิลา กลายเป็นกิจวัตรของพวกเขาไปแล้ว
หลังจากหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้เพียงสี่เล่ม หยางเสี่ยวเทียนก็พบว่าเป็นเวลาพลบค่ำ จึงต้องหยุดไว้เท่านี้แล้วอำลาทุกคนอย่างสุภาพ ก่อนออกจากจัตุรัสร้อยกระบี่ไป
ทว่าเมื่อเขากลับถึงจวน อัตและอาลี่ก็เข้ามารายงานอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่พอใจ ทั้งสองบอกว่าได้จ่ายเงินให้คนของสมาคมผังเมืองไปแล้ว แต่ยังคงถูกขัดขวาง โดยข้ออ้างที่ว่าพวกเขามีกันตั้งเจ็ดคน ก็ต้องจ่ายให้แต่ละคนหนึ่งร้อยเหรียญทองครบทั้งเจ็ด
“หนึ่งร้อยเหรียญทองต่อคนงั้นรึ?” ใบหน้าของหยางเสี่ยวเทียนเคร่งขรึมขึ้นทันที หลังได้ยินสิ่งนี้
เงินที่พวกเขาได้จากสมาคมผังเมือง ต่อเดือนได้เพียงคนละไม่กี่เหรียญทองเท่านั้น ไฉนให้ไปถึงร้อยเหรียญทองยังไม่พอใจอีก
หรือว่าหนึ่งร้อยเหรียญทองที่เขาเสนอให้นั้น มันยังน้อยเกินไปสำหรับคนเหล่านี้
หนึ่งปากมีค่าเท่ากับร้อยเหรียญทอง แต่เมื่อมีเจ็ดปากก็จะเท่ากับเจ็ดร้อยเหรียญทองเช่นนั้นหรือ
ช่างเป็นสิงโตที่อ้าปากกว้างจริงๆ โลภมากไม่รู้จักพอ ได้คืบจะเอาศอก
ด้วยเงินจำนวนเจ็ดร้อยเหรียญทองสำหรับชาวบ้านตาดำๆ มันสามารถซื้อเรือนในเมืองเล็กๆ ได้ตั้งหลังหนึ่งเลยทีเดียว
“เช่นนั้นก็มอบให้พวกเขาเสีย!” หยางเสี่ยวเทียนระงับโทสะที่กำลังปะทุในใจตนลง แล้วกล่าวกับอัตและอาลี่
เนื่องจากสิ่งที่เขาต้องทำนั้นมีมากล้นพ้นตัว เขาจำเป็นต้องหยั่งรู้ศิลากระบี่และหลอมโอสถ จึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องเหล่านี้ และทำได้เพียงให้มันจบๆ ไป
อีกทั้งในตอนนี้ เงินเจ็ดร้อยเหรียญทอง มันเป็นเพียงเศษเงินสำหรับเขาด้วยซ้ำ จึงไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญมากนัก แม้จะรู้ตัวดีว่าถูกคนเหล่านั้นเอาเปรียบ
ครั้นถึงเวลาย่ำค่ำ หยางเสี่ยวเทียนก็เริ่มหลอมโอสถและบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่ม เฉกเช่นที่เคยทำอยู่ทุกวัน
พอรุ่งสางเข้ามาเยือน เขาก็ไปยังจัตุรัสเพื่อหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่แปดสิบห้าต่อ
ทว่า เมื่อเขากลับมาหลังจากหยั่งรู้ศิลากระบี่สี่เล่ม อัตและอาลี่ก็เข้ามารายงานว่าคนจากสมาคมผังเมืองได้รับเงินแล้ว แต่ยังคงยืนกรานปฏิเสธไม่ให้พวกเขากระทำการใดๆ
โดยครั้งนี้ พวกเขาอ้างเหตุผลว่าคนของสมาคมผังเมืองมีทั้งหมดยี่สิบเอ็ดคน
และแต่ละคน ล้วนต้องได้รับคนละหนึ่งร้อยเหรียญทอง
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำสมาคมผังเมืองของพวกเขา จะต้องได้รับหนึ่งพันเหรียญทอง
“หนึ่งร้อยเหรียญทองต่อคน! อีกทั้งผู้นำสมาคมผังเมือง ยังต้องการมากถึงหนึ่งพันเหรียญทองงั้นรึ” เมื่อหยางเสี่ยวเทียนได้ยินสิ่งนี้ ความโกรธเขาก็ปะทุขึ้นทันที
ยี่สิบเอ็ดคนเท่ากับสองพันหนึ่งร้อยเหรียญทอง เมื่อนำมารวมกับผู้นำสมาคมผังเมืองอีกพันเหรียญทอง ก็จะกลายเป็นสามพันหนึ่งร้อยเหรียญทอง!
สมาคมผังเมืองพวกนี้ คิดว่าเขาเป็นคนโง่หรืออย่างไรกัน
“ผู้นำสมาคมผังเมืองมีนามว่าอะไร” หยางเสี่ยวเทียนเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชา
“นามเขาหลินชาง” อัตกล่าวอย่างรวดเร็ว “แต่ เขาเป็นน้องชายของหลินหยาง ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ประจำเมือง”
“น้องชายหลินหยาง ผู้บัญชาการเหล่าองครักษ์ประจำเมืองเสินเจี้ยนงั้นรึ” น้ำเสียงเนิบนาบขณะพึมพำอย่างเยือกเย็น “เขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของหลินหยางหรือไม่”
“ขอรับนายน้อย!”