บทที่ 10 ตั้งเป้าสิบปี
สถานการณ์ปัจจุบันของนิกาย ยากลำบากอย่างมาก
การขาดแคลนหินวิญญาณเป็นปัญหาใหญ่ ถึงแม้ว่าในการประชุมก่อนหน้านี้ จะมีการตัดสินใจให้ระงับเงินเดือนของศิษย์นิกายเป็นเวลาสามปี เพื่อให้ศิษย์ประหยัดอดออมในการดำรงชีพ
แต่หินวิญญาณที่ประหยัดได้ก็ไม่มาก เมื่อต้องนำไปลงทุนในสามอุตสาหกรรมหลัก ก็จะไม่สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อแสวงหาผลกำไรได้ นิกายยังคงต้องผ่านวันคืนอย่างยากลำบาก
อีกปัญหาใหญ่ ก็คือพลังของนิกาย
เซียนขั้นฝึกปราณ เซียนขั้นสร้างรากฐาน เซียนขั้นควบแน่น เซียนขั้นแก่นทองคำ เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิด ยิ่งขั้นสูงขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งท้าทายยิ่งขึ้นเท่านั้น
เซียนแก่นทองคำ ถือเป็นกำลังหลักสูงสุดในแคว้นชู แม้แต่เช่นนั้น เซียนแก่นทองคำในแคว้นชูก็มีจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่จะไปยังทวีปอื่นๆ ที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์กว่า
เซียนแก่นทองคำที่เหลืออยู่ในแคว้นชู ส่วนใหญ่เป็นประมุขนิกายหรือไม่ก็ไม่ต้องการจากไป ลู่ผิงต้องจำกัดตัวเองด้วยความผูกพันในนิกาย จึงจัดอยู่ในกลุ่มแรก
ย้อนกลับไปดูสภาพพลังของนิกายชิงซานในตอนนี้ ไม่มีเซียนขั้นสร้างรากฐานและขั้นควบแน่นสักคน เซียนที่มีขั้นสูงสุดเป็นเพียงเซียนฝึกปราณชั้น 9 เท่านั้น
พลังเล็กน้อยนี้ มิพูดถึงภายในแคว้นชู แม้แต่ถ้าจำกัดขอบเขตให้แคบลงมาเพียงภายในเขตหลูซาน นิกายชิงซานก็ไม่น่าจะได้รับการเหลียวแล
ถ้าไม่ได้การคุ้มครองจากสำนักเทียนชู นิกายก็คงถูกกลืนกินโดยกลุ่มอิทธิพลอื่นไปนานแล้ว
ลู่หยวนซานคำนวณในใจ ในขณะที่นิกายเร่งสร้างรายได้ ในอีกสิบปีข้างหน้า หรืออย่างน้อยก่อนการคุ้มครองร้อยปีจะสิ้นสุดลง ต้องฝึกฝนเซียนขั้นสร้างรากฐานสักคนให้ได้
เมื่อเปรียบเทียบกับขั้นควบแน่น การฝึกฝนเซียนสร้างรากฐานนั้นเป็นจริงได้มากกว่า และง่ายกว่าด้วย
การมีเซียนสร้างรากฐาน เป็นรากฐานที่ทำให้นิกายชิงซานตั้งมั่นอยู่ในเขตหลูซานได้ เพื่อที่เมื่อการคุ้มครองร้อยปีสิ้นสุดลง และเสียสิทธิ์การคุ้มครองจากสำนักเทียนชู นิกายก็ยังคงมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองอยู่ได้
แต่สิ่งที่ลู่หยวนซานให้ความสนใจยิ่งกว่า กลับไม่ใช่เพียงแค่จุดนี้
เขานึกถึงอีกเรื่องที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับนิกาย
สำนักที่ได้รับการคุ้มครองจากสำนักเทียนชูผ่านคำสั่งเปิดนิกายนั้น เมื่อใกล้ครบหนึ่งร้อยปี มักจะถูกสำนักเทียนชูเรียกตัวไปปฏิบัติภารกิจ
เนื้อหาของการเรียกตัว อาจจะเป็นการต่อต้านเหล่ามาร หรือการกำจัดฐานที่มั่นของนิกายมาร ซึ่งล้วนมีความยากลำบากไม่น้อย
ครั้งสุดท้ายที่สำนักเทียนชูเรียกนิกายไปทำภารกิจ นั่นเป็นเพราะเกิดเหตุการณ์ที่มารทะเลหลุดพ้นเข้าบุกรุกชายฝั่งของแคว้นชิงหลี เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ประชาชนและเหล่าเซียนตกเป็นเหยื่อมากมาย
ในปีนั้น ลู่หยวนซานได้เห็นกับตาว่า นิกายใหญ่สองสามแห่งในแคว้นหลิงซีถูกเรียกตัว รวมพลังเข้าไปในเขตสามแคว้นชายฝั่งทะเล เพื่อต้านทานการบุกรุกของมารทะเล เกิดเป็นศึกใหญ่ที่เลวร้ายยิ่ง เซียนขั้นสร้างรากฐานหลายคนพลีชีพ เซียนขั้นฝึกปราณเสียชีวิตไปกว่าครึ่ง
ขบวนการต่อต้านเหล่ามารนั้นยากเย็นแสนเข็ญ
บัดนี้ห่างจากระยะเวลาคุ้มครองร้อยปีเหลืออีกเพียงสิบปี ไม่รู้ว่าสิบปีต่อจากนี้ สำนักเทียนชูจะเรียกนิกายชิงซานไปทำภารกิจอะไร และถึงเวลานั้น นิกายจะผ่านไปได้หรือไม่
ภารกิจเรียกตัวในอีกสิบปี ทำให้ลู่หยวนซานกังวลใจอย่างมาก หวั่นใจว่านิกายอาจจะรับมือไม่ไหว หากมีการบุกรุกของมารทะเลครั้งใหม่ นิกายชิงซานคงจะไม่สามารถต้านทานไหวแน่
มองในแง่นี้ การฟื้นฟูพลังของนิกายจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
แต่ก็ไม่อาจรีบร้อนได้ พลังของศิษย์จะต้องค่อยๆ พัฒนาไปอย่างมั่นคง ทีละขั้นตอน
ตอนนี้คงต้องแก้ไขเรื่องเศรษฐกิจของนิกายก่อน ไม่อาจกินเนื้ออ้วนจนอ้วนได้ในทีเดียว
"ท่านพ่อ วันนี้ลูกเรียกศิษย์มาประชุม ตัดสินใจทิศทางของนิกายในอนาคต ลูกจะเล่าให้ท่านฟัง..."
พูดมาแทบจะครบแล้ว ลู่หยวนซานเอ่ยถึงเรื่องการประชุมด้วยตัวเอง และเล่าสถานการณ์ให้ฟังครั้งหนึ่ง
แม้ลู่ผิงจะเห็นทุกอย่างกับตาตั้งแต่ต้น แต่ก็ไม่ได้ขัดจังหวะ เพียงแต่ฟังจนจบ ก่อนจะพูด
"ทางที่ศิษย์เลือก ก็ให้เดินไปตามทางนั้น นิกายก็ยังคงต้องพึ่งพาการคุ้มครองของสำนักเทียนชูอยู่ ถึงเวลาที่ต้องถ่อมตัวเก็บตน"
อยู่กับลู่ผิงมานานกว่ายี่สิบปี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลู่หยวนซานได้ยินคำว่า "ต้องรู้จักถ่อมตน"
นอกจากนี้ เขายังเคยได้ยินคำอย่าง "ออกหน้า", "ฝืนเกินตัว", "โอ้อวดความรํ่ารวย" และอื่นๆ อีกมากมาย
เมื่อคุ้นหู เขาก็พอจะเข้าใจว่า “ถ่อมตัวถ่อมตน” นั้นหมายถึงอะไร
ลู่ผิงไม่ได้กล่าวถึงเรื่องในที่ประชุมอย่างละเอียด เพียงปลอบโยนเบาๆ ว่า "ดีแล้ว ในเมื่อข้ามาปรากฏกายแล้ว ต่อจากนี้ข้าจะไม่เพิกเฉยต่อการพัฒนาของนิกายอีก"
"ข้าจะช่วยชี้แนะพวกเจ้า แก้ไขปัญหา แนะนำทางออกในยามยากลำบาก"
ในเมื่อมีระบบอยู่ การพัฒนานิกายชิงซานในอนาคตคงไม่ยากนัก การหายาสร้างรากฐานก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
เขามั่นใจว่า เขาจะช่วยให้นิกายชิงซานกลับมารุ่งเรืองได้ กลับไปสู่ความรุ่งโรจน์ในวันวาน จะยกระดับนิกายชิงซานให้เป็นนิกายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เพียงแค่ให้เวลาเขา แม้แต่การก้าวล้ำเลยสำนักเทียนชูก็เป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เขายังอยู่ นิกายชิงซานก็ยังอยู่
แน่นอนว่า ความคิดเหล่านี้ ลู่ผิงเพียงแต่คิดไว้ในใจ ไม่ได้เอ่ยออกมา
พ่อตื่นขึ้นมา สามารถชี้นำทางเดินให้นิกาย ลู่หยวนซานรู้สึกแบ่งเบาภาระไปได้เยอะ แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
"คำสั่งของพ่อทั้งนิกายน้อมรับปฏิบัติตาม"
"อือ"
ลู่ผิงพยักหน้ารับ แล้วไปเปิดเมนูพิเศษในระบบ ก่อนเอ่ยถึงเรื่องอื่นอีก
"ข้ามีกล้าไม้วิเศษอยู่บ้าง แม้จะเป็นแค่ขั้นที่ 1 แต่หากปลูกเมื่อไหร่ ก็จะสามารถสร้างรายได้เข้านิกายได้บ้าง"
ลู่หยวนซานได้ยินแล้วตาสว่างวาบขึ้นมาทันที
หลายปีมานี้เขาพยายามหาหนทางให้นิกายตลอด หาวิธีเพิ่มรายได้ หากสามารถปลูกต้นท้อวิเศษได้ นิกายก็จะมีรายได้อีกช่องทางแล้ว
รายได้เพิ่มขึ้นอีกช่องทาง ความกดดันด้านเงินทุนของนิกายก็จะผ่อนคลายลงบ้าง
ตรงๆ เลย การเอาค่าตอบแทนของศิษย์สามปีไปลงทุนในสามอุตสาหกรรมหลัก ลู่หยวนซานก็กดดันในใจไม่น้อย กังวลว่าจะไม่คุ้มทุน
คราวนี้มีต้นท้อวิเศษ เหมือนสวรรค์มาโปรด
กำลังคิดอยู่ว่าจะรอพ่อปลดผนึกเข้าไปเอาในถ้ำดีไหม หรือให้พ่อหยิบออกมา ในชั่วขณะต่อมา ตรงหน้าก็ปรากฏวัตถุชิ้นหนึ่งขึ้นมา
วัตถุนั้นเปลี่ยนจากเลือนรางเป็นเป็นจริงขึ้นมา จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบบนพื้น
ลู่หยวนซานเพ่งมองดูชัดๆ มันก็คือต้นท้อวิเศษนี่เอง
รวมทั้งหมดสามต้น เป็นต้นกล้า สูงราวๆ หนึ่งคนเศษ เขียวขจีสดใส รากยังติดดินอยู่ ราวกับเพิ่งขุดออกมาจากดิน ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก
"เรื่องปลูกต้นท้อวิเศษนี่ก็มอบให้เจ้าจัดการเถอะ"
ลู่ผิงเอ่ยขึ้น "หวังว่ามันจะเพิ่มรายได้ สร้างธุรกิจใหม่ให้นิกาย"
ต้นท้อวิเศษที่ปรากฏออกมานั้น แน่นอนว่าเป็นฝีมือของลู่ผิง
กระบวนการทั้งหมดง่ายมาก เขาเพียงแค่ออกมาที่หน้าถ้ำ นำต้นท้อวิเศษออกมาเป็นของจริง บรรลุผลที่คล้ายกับการหยิบของจากถุงเก็บของ ไม่ถือว่าแปลกประหลาดอะไร
"ขอรับ ท่านพ่อ"
ลู่หยวนซานตอบรับ ก่อนจะระมัดระวังเก็บต้นท้อวิเศษทั้งสามต้นลงในถุงเก็บของ
ราคาสูงมาก น่าจะทำกำไรได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
จากนั้นพอสั่งให้ปลูกต้นท้อวิเศษเรียบร้อยแล้ว ลู่ผิงก็ย้ำอีกประโยคว่า
"เจ้าในฐานะประมุข ยังต้องแบกรับภาระให้มากขึ้น แต่อย่าได้กดดันตัวเองเกินไป อย่าละเลยการฝึกตนของตัวเจ้าเองล่ะ"
ตอนนี้ ลู่หยวนซานมีพลังอยู่ในขั้นฝึกปราณชั้นเก้า หากลับคมตัวเองอย่างดี ก็มีหวังจะไปถึงขั้นสร้างรากฐานได้
แน่นอนว่าต้องมียาสร้างรากฐานด้วย ลู่ผิงไม่หวังให้ลู่หยวนซานเสี่ยงสร้างรากฐานแบบไม่มียา ความเสี่ยงสูงเกินไป ไม่คุ้มค่าที่จะลอง
"ท่านพ่อ ในหลายๆ นิกายชั้นนำของแคว้นฉู่ ณ เวลานี้ นิกายชิงซานของเรามีกำลังอ่อนแอที่สุด"
"ลูกอยากจะพยายามแต่สิ่งจำเป็นในนิกายยังขาดแคลนอยู่มาก คงเติมเต็มให้ทันไม่ได้ในเวลาอันสั้น..."
ลู่หยวนซานรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง
ตอนที่พ่อมอบนิกายให้ตน นิกายชิงซานยังคงความอุดมสมบูรณ์ ถือเป็นสุดยอดในเขตหลูซาน ถึงขนาดเมื่อมองดูทั้งแคว้นฉู่ นิกายชิงซานย่อมมีสิทธิ์มีเสียงที่สุด
แต่มาวันนี้...ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว
"พอๆ ไม่ต้องพูดต่อแล้ว"
ลู่ผิงขัดคำพูดของลู่หยวนซาน
"ทุกสิ่งทุกอย่างมีข้าอยู่ นิกายต้องค่อยๆ เดินทีละก้าวไป ตราบใดที่ยังก้าวหน้าขึ้นก็พอแล้ว"
พูดจบ ความคิดของลู่ผิงก็วนกลับมาหาลู่จือเวย
"จือเวยอยู่ในนิกายหรือไม่"
ในข้อมูลสมาชิกของนิกาย ลู่ผิงสามารถเห็นตำแหน่งของลู่จือเวย แสดงเป็น "ภูเขาชิงเหลียน" เพื่อกลบเกลื่อนระบบ เขาจึงถามออกไป
"น้องสาวอยู่ในนิกายตลอด"
"สองสามวันนี้ เจ้าให้นางมาที่ถ้ำของข้าหน่อย ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย"
พอนึกถึงสภาวะร่างกายของลู่จือเวย ลู่ผิงรู้สึกว่าต้องรีบไปปลอบโยนอีกฝ่ายโดยเร็ว ลูกสาวคนนี้เป็นดั่งหัวใจดวงน้อย จะปล่อยให้ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าไม่ได้
เซียนฝึกปราณชั้นเก้า สำคัญมากต่อนิกาย ถือเป็นเสาหลักของแต่ละสำนัก
"เข้าใจแล้วพ่อ"
"อือ" ลู่ผิงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะกำชับประโยคสุดท้าย
"เรื่องที่ข้าตื่นขึ้นมานี่ ห้ามบอกใครในตอนนี้ก่อน"
"ลู่ฉางเฟิง..."
ลู่หยวนซานนึกถึงน้องชาย ลู่ฉางเฟิง
"ลู่ฉางเฟิงเป็นคนปากหลวม เก็บความลับไม่อยู่ ตอนนี้อย่าบอกเขาก่อน"
เรื่องที่เขาตื่น ลู่ผิงยังอยากปกปิดไว้ก่อน ตอนนี้เป็นแค่วิญญาณ จะใช้พลังอะไรก็ไม่ได้ ถ้าหากศัตรูตามมาหาเรื่อง คงยุ่งยากแน่
เก็บเงียบไว้หน่อยจะดีกว่า
"เข้าใจแล้วท่านพ่อ"
"ไปเถอะ"
ลู่หยวนซานไม่อยู่อีกแล้ว คารวะลงก่อนจะจากไป
ระหว่างทาง ใช้มือลูบๆ ถุงเก็บของอย่างลับๆ นึกถึงต้นท้อวิเศษในนั้น แล้วก็นึกถึงลู่ผิงผู้เป็นผู้เฒ่าขั้นแก่นทองคำที่ตื่นขึ้นมาแล้ว ลู่หยวนซานไม่อาจหยุดยั้งที่จะเริ่มฝันเฟื่อง ในที่สุดนิกายชิงซานก็มีความหวังแล้ว
อนาคตของนิกายดูสดใสแล้วสิ