บทที่ 1 นิกายชิงซานบนยอดเขา
ในเขตแคว้นหลิงซีด้านตะวันออกของรัฐฉู ณ เขตหลูซาน มีนิกายที่สืบทอดมาราวร้อยปี
นิกายนี้ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบในผืนป่าเขียว ท่ามกลางแสงพระอาทิตย์ยามพลบค่ำอันแสนสงบ
ที่นี่คือนิกายชิงซาน
เสียงของแมลงร้องระรื่น ลมพัดโชยมา ป่าไผ่ราวทะเลคลื่น บึงสีครามทอดยาว น้ำเงียบนิ่งลอยระริก
ฤดูร้อนครานี้ ท่ามกลางดวงอาทิตย์พรายแผดเผาผืนดินด้วยความร้อนแรง บรรยากาศอบอ้าวไปด้วยกลิ่นแดด จักจั่นร้องเสียงดังสนั่นราวกับฟ้าจะทลาย
ในถ้ำลึกลงไปเบื้องล่าง เบื้องหลังภูเขานิกายชิงซาน แม้ภายนอกจะร้อนระอุ แต่อากาศเย็นเยียบในที่นี้ทำให้ลู่ผิงขมวดคิ้ว
"ข้า...กำลังจะสิ้นลมหายใจแล้วเช่นนี้หรือ?"
รู้สึกได้ถึงการสูญเสียพละกำลัง วาระสุดท้ายของชีวิตกำลังจะมาถึง ลู่ผิงก็ไม่อาจกลั้นความรู้สึกสลดหดหู่ได้
นับตั้งแต่มายังโลกนี้กว่าสองร้อยปี จากชายหนุ่มไฟแรงผู้เดินทางไปทั่ว จนกระทั่งแต่งงานมีบุตร และสร้างนิกายขึ้นมา
ลู่ผิงรู้สึกว่าสิ่งที่ได้กระทำมาตลอดชีวิตนี้ ไม่ได้สูญเปล่าแม้แต่น้อย
ถึงเวลานี้แล้ว เขาก็มองโลกอย่างเป็นกลาง
ลู่ผิงเป็นนักพรตที่กลับชาติมาเกิดจากโลกอื่น
และเมื่อ 290 ปีที่แล้วนั้น เขาได้มาเกิดใหม่เป็นจอมยุทธเพนจรในโลกใบนี้
ด้วยสติปัญญาที่มีมาแต่กำเนิด และจิตใจของผู้กลับชาติมากเกิด ลู่ผิงผ่านการต่อสู้เพื่อให้รอดจากอุปสรรคนานา จนบรรลุถึงขั้นแก่นทองคำได้ในที่สุด
หลังจากนั้น ลู่ผิงเลือกตั้งรกรากที่ภูเขาชิงเหลียน เขตหลูซาน สร้างนิกายชิงซานขึ้นเป็นอาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนัก และไม่นานก็แต่งงานมีบุตรธิดาด้วยกันสองคนกับภรรยา
ด้วยการพิทักษ์รักษาจากลู่ผิงเองในฐานะอาจารย์ผู้ก่อตั้งที่มีพลังขั้นแก่นทองคำ ทำให้นิกายชิงซานสามารถเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ได้รับการยอมรับในพื้นที่หลายร้อยลี้รอบๆเขตหลูซาน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ลู่ผิงก็ค่อยๆตระหนักได้ว่า หลังจากบรรลุขั้นแก่นทองคำแล้ว กำลังของเขานั้นเพิ่มพูนขึ้นได้อย่างช้าๆ
ในฐานะผู้กลับชาติมาเกิด ลู่ผิงย่อมมีเป้าหมายที่มากกว่าแค่ขั้นแก่นทองคำ
โชคกรรมที่ร่างกายของเขานั้นไม่ค่อยดีนัก
เพื่อแสวงหาทรัพยากรในการฝึกตน เมื่อสามสิบปีที่แล้ว ลู่ผิงได้ร่วมมือกับนักพรตอาวุโสขั้นแก่นทองคำอีกหลายคน เข้าสู่ดินแดนลึกลับวิปลาสเพื่อแสวงหาสมบัติ แต่เกิดเหตุบาดหมางกันภายใน ทำให้ลู่ผิงบาดเจ็บสาหัส พละกำลังถดถอย อายุขัยลดลงจนมีเวลาเหลืออีกไม่กี่สิบปี
เมื่อกลับมายังนิกาย ลู่ผิงจำต้องสละทรัพย์สินทั้งมวลเพื่อซื้อยาวิเศษและสมบัตินาๆ ปิดกั้นปลีกตัวเองเพื่อฝึกฝนอย่างหนัก พยายามฝ่าขั้นวิญญาณแรกเกิดในช่วงเวลานั้น เพื่อให้ได้โอกาสยืดอายุต่อไปอีกสักพักหนึ่ง
การปิดตนฝึกฝนในครั้งนี้ใช้เวลานานถึงสามสิบปี
แม้จะได้อาศัยยาวิเศษช่วยยืดอายุขัย แต่หลังจากผ่านไปสามสิบปี ลู่ผิงก็ยังคงล้มเหลวในการบรรลุขั้นวิญญาณแรกเกิด
ขั้นวิญญาณแรกเกิดนั้นมิใช่ขั้นที่จะบรรลุได้ง่ายๆ
"น่าเสียดายจริงๆ แม้จะพยายามมานานเพียงใด แต่ในชาตินี้ข้าก็ยังไม่อาจบรรลุขั้นวิญญาณแรกเกิดได้"
ลู่ผิงรู้สึกคับข้องใจอยู่บ้าง
ครั้งหนึ่งเคยตั้งปณิธานว่าจะต้องบรรลุขั้นเทพอมตะสูงสุดในโลกนี้
แต่บัดนี้กลับต้องคร่ำครวญเหมือนคนแก่ชราที่กำลังจะสิ้นลมหายใจ
หลังจากผ่านพ้นอุปสรรคนานัปการ ความร้อนรนในวัยเยาว์ของเขาก็ค่อยๆ เจือจางลงไป จิตใจสงบนิ่งมากขึ้น
"แม้จะไม่พอใจก็หาประโยชน์อะไรไม่ ตอนนี้ก็ถึงจุดจบแล้ว ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับชะตากรรม"
"เพียงแต่เมื่อข้าจากไป นิกายชิงซานจะมีใครปกป้องคุ้มครองอีกเล่า หากข่าวการสิ้นชีพของข้าแพร่สะพัดไป นิกายชิงซานจะสามารถต้านทานศัตรูคู่อริได้หรือไม่?"
"ก่อนหน้านั้นข้าไม่ควรสุรุ่ยสุร่ายเสียเปล่า ควรเก็บสะสมสมบัติศักดิ์สิทธิ์เพื่อสืบทอดต่อให้นิกายมากกว่านี้ ไม่รู้เลยว่าปัจจุบันนิกายชิงซานเป็นเช่นไรบ้าง..."
"หยวนซาน เจ้าต้องปกป้องนิกายชิงซานให้ดี เป็นเจ้าสำนักที่ดี..."
หยวนซาน ชื่อเต็มคือลู่หยวนซาน เป็นบุตรชายคนโตของลู่ผิง รวมทั้งเป็นผู้นำคนปัจจุบันของนิกายชิงซาน
สำหรับลูกชายคนนี้ รวมถึงลูกสาวอีกสองคน ลู่ผิงก็ไม่ได้เจอหน้ามานานแล้ว
แต่บัดนี้ตัวเขากำลังจะสิ้นลม ไม่อาจเรียกลูกๆ มาฝากฝังสิ่งใดได้อีกแล้ว
"ทางสู่ความเป็นเซียนนั้นยากลำบากและยาวไกล หากวันหน้าพวกเจ้ามีโอกาส ก็จงไปให้สุดเส้นทางแห่งเซียนแทนข้าเถิด..."
ร่างกายเริ่มสลายไปตามลำดับ จิตใจที่เคยนึกถึงนิกายและลูกๆ ค่อยๆ จางหายไปสู่ความว่างเปล่า
สงบนิ่งสนิท
ในถ้ำเงียบงันไปชั่วครู่
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด
"ปี๊บ ระบบกำลังเริ่มทำงาน"
"การเชื่อมต่อสู่จักรวาลจำลองนิกายสำเร็จ!"
เสียงดังขึ้น ทำให้จิตวิญญาณของลู่ผิงค่อยๆ กลับมา
"ข้า...ยังมีชีวิตอยู่หรือ?"
สายตากวาดมองรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ
ลู่ผิงพบว่าตนเองกลายเป็นกระแสจิตวิญญาณโปร่งใสลอยอยู่เหนือร่างที่ว่างเปล่า ช่างเป็นความรู้สึกที่ประหลาดมาก
ในจิตสำนึกมีสิ่งใหม่ปรากฏขึ้น มันคือระบบแห่งชะตาที่ได้รับมา
"..."
รู้สึกกระอักกระอ่วนจนพูดไม่ออก
มาโลกนี้กว่าสองร้อยปี รอจนใกล้จะตายจึงได้ระบบมา คนส่งระบบนี้มากระไรกัน?
"ได้รับระบบมาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะอีกแล้ว"
ลู่ผิงโกรธเสียจนอยากกระทืบพื้น แต่เขาจำได้ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นเพียงแค่กระแสจิต จึงได้แต่คิดในใจ
หลังจากคลายอารมณ์ลง ลู่ผิงใช้เวลาสักพักเพื่อทำความเข้าใจสถานะของตนเอง
แม้จะไม่ถึงขั้นเป็นวิญญาณ แต่เขาก็กลายเป็นกระแสจิตได้ เคลื่อนไหวอิสระได้ อันเนื่องมาจากอำนาจของระบบชะตา
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่มีวรยุทธ์ใดๆ เขาจึงไม่มีโอกาสเวียนว่ายเกิดใหม่ได้เลย
ไม่รู้ควรยินดีหรือเศร้าดี
แต่นึกได้ว่าจิตวิญญาณยังคงดำรงอยู่ ในอนาคตอาจมีโอกาสฟื้นคืนชีพก็เป็นได้ จึงนับว่าไม่ได้แย่นัก
"ก็ช่างเถอะ ข้ายังคงเป็นข้าอยู่นั่นแหละ อย่างน้อยก็ยังไม่ได้สูญสลายไปทั้งหมด เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบการดำรงอยู่เท่านั้น"
ลู่ผิงไม่สนใจสภาพร่างกายอีกต่อไป และเมื่อคิดด้วยจิต หน้าจอระบบโบราณแสนสวยสดงดงามก็ปรากฏขึ้น
【จักรวาลจำลองนิกาย】
【เจ้านาย: ลู่ผิง】
【นิกาย: นิกายชิงซาน】
【สถานะ: อาจารย์ผู้ก่อตั้งนิกายชิงซาน】
【ระดับ: นิกายฝึกปราณ】
【ชื่อเสียง: 50】
【ชื่อเสียง: ชื่อเสียงถดถอย ไม่ทราบแน่ชัด】
【สมาชิก: 31 คน】
【สิ่งปลูกสร้าง: ศาลาหลัก หอจดหมายเหตุ โรงหลอมยา โรงหลอมอาวุธ ฯลฯ】
【ทรัพยากร: เส้นรากฐานชิงเหลียน (ระดับ 2) แนวป้องกันอสูรเชือกมังกร (ระดับ 2) สวนสมุนไพรหนึ่งไร่เศษ (ระดับ 1) ไร่เพาะปลูกวิญญาณห้าไร่ (ระดับ 1) ร้านค้าในตลาด 1 แห่ง】
【รายได้: 730 ก้อนหินวิญญาณต่อปี】
【รายจ่าย: 1,260 ก้อนหินวิญญาณต่อปี】
【รายได้สุทธิ: 530 ก้อนหินวิญญาณต่อปี】
【เงินสะสม: 23 ก้อนหินวิญญาณ】
【แผนที่: ครอบคลุมเขตหลูซาน 49%】
【คำอธิบาย: ในโลกที่อันตรายแฝงอยู่รอบด้าน คนธรรมดาสามัญอย่างเจ้ายังไม่มีความสำคัญอะไร แต่คนธรรมดาก็สามารถสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน】
【เป้าหมาย: นิกายชิงซานประสบปัญหาทั้งจากภายในและภายนอก สิ่งต่างๆ เลวร้ายไปหมด ในฐานะอาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนัก จงพยายามปรับปรุงนิกายของเจ้าให้รุ่งเรืองอีกครั้ง】
...
จากชื่อ"จักรวาลจำลองนิกาย" ลู่ผิงเข้าใจแล้วว่าระบบนี้มีจุดประสงค์เพื่อฝึกฝนพัฒนานิกาย เปรียบเหมือนเป็นเกมปลูกผักสวนครัว แต่ต้องเลี้ยงดูศิษย์แทนพืชผักต่างหาก
ดูท่าทางคงจะเป็นเกมจำลองชีวิตผู้ฝึกตนอย่างแท้จริง เนื่องจากศิษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตจริง ไม่มีโอกาสได้เริ่มเกมใหม่หากล้มเหลว
ลู่ผิงหันกลับมามองร่างกายที่ว่างเปล่าของตนเอง แล้วมองไปยังด้านนอกถ้ำ คิดถึงนิกายชิงซานที่ตนสร้างขึ้น รวมถึงลูกศิษย์และลูกหลานต่างๆ จนต้องเหม่อลอยไปครู่ใหญ่
การจำลองเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้นิกายชิงซาน มิอาจประมาทได้เลย
"ดีแล้ว แม้จะยากลำบากบ้าง แต่หากนิกายยังคงอยู่ ด้วยระบบช่วยผลักดันพัฒนา ให้นิกายเจริญเร็วๆ คงไม่ใช่ปัญหายาก"
ลู่ผิงยังมีความมั่นใจอยู่บ้าง
ในอดีตชาติเขาเคยเล่นเกมแนวปลูกผักสวนครัวมาไม่น้อย ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้
พูดง่ายๆ ก็คือหากนิกายล้มเหลว เขาแค่ต้องบริหารจัดการนิกายให้ดีกว่าเดิมนั่นเอง
แม้จะเป็นตัวจริงแทนที่จะเป็นเกมจำลอง แต่หลักการก็คงไม่ต่างกันมากนัก
เพียงแต่เขาต้องระมัดระวังมากกว่าเกมธรรมดา เนื่องจากหากผิดพลาด ศิษย์ในนิกายที่เป็นมนุษย์จริงๆ ก็อาจต้องเสียชีวิตได้
"เอาล่ะ ไม่ต้องคิดมากทีเดียว เราลองดูสถานการณ์ปัจจุบันของนิกายชิงซานก่อนแล้วกัน"
ไม่สนใจระบบในตอนนี้ ลู่ผิงควบคุมกระแสจิตลอยตัวออกจากถ้ำ
สภาพของนิกายชิงซานในปัจจุบันเป็นอย่างไร เขาต้องรู้ให้ได้ก่อน