ตอนที่ 150
ตอนที่ 150
เมื่อเห็นร่างของเย่เฉินล้มลงต่อหน้า คังไป่หลี่ก็ทรุดตัวลงข้างๆ อย่างเงียบสงัด และหากสังเกตดีๆ เจ้าจะพบว่ามีความเกลียดชังอย่างบ้าคลั่งประกายอยู่ในดวงตาของนาง
พลังหยินหยางต้นกำเนิดก็ลอยออกมาจากร่างของเย่เฉิน และพยายามจะหลบหนีไป พลังสีดำและขาวพัวพันกันและพุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า
เต๋าซุนเห็นเช่นนั้นก็เปิดโลกแก่นชีวิตอย่างรวดเร็วและดูดมันเข้าไป
ต่อจากนั้น ลูกปัดสีฟ้าอีกเม็ดก็พุ่งออกมาจากด้านข้างร่างเย่เฉิน แต่ก็ถูกเต๋าซุนเก็บไปทันที
คังไป่หลี่มองไปยังร่างของเย่เฉิน จิตใจของนางตอนนี้สงบจนน่ากลัว หรืออาจกล่าวว่าเป็นความสงบก่อนพายุใหญ่ก็ว่าได้
นางเพียงจ้องศพตรงหน้าเหมือนน้ำที่นิ่งสงบ
“คังไป่หลี่ ทิ้งร่างอมตะทะยานของจักรพรรดินีได้แล้ว จากนี้ไปเจ้าก็ไปอยู่กับพ่อของเจ้า” เต๋าเสี่ยวโม่พูดเบา ๆ จากด้านบน
“ได้” คังไป่หลี่พยักหน้าและตอบอย่างเย็นชา
ครู่ต่อมา แสงสีขาวสุกใสก็ส่องออกมาจากร่างกายของนาง และสีหน้าของนางก็กลายเป็นบิดเบี้ยว
มีสองวิธีในการละทิ้งร่างนักรบ หนึ่งคือร่างนักรบจะออกมาจากร่างเองหลังจากที่ผู้ครอบครองตาย
ส่วนอีกวิธีคือผู้ครอบครองแยกกับร่างนักรบนั้นด้วยตัวเอง วิธีนี้อันตรายเป็นอย่างมากและอาจสร้างความเสียหายที่ไม่อาจรักษาได้กับเจ้าของร่าง
แสงสีขาวบนร่างของคังไป่หลี่ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และนางก็สั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง จากนั้นความเจ็บปวดที่ไม่อาจจินตนาการได้กลืนกินพร้อมกับร่างนักรบค่อยๆแยกออกมาจากนางทีละน้อย
นางกัดฟัน เลือกที่จะล้มลงขดอยู่กับพื้นด้วยความเจ็บปวดแทนที่จะส่งเสียงร้องออกมา
หลังจากผ่านไปนาน คังไป่หลี่ก็หมดสติไปจากความเจ็บปวดสาหัส
ลูกบอลสีเงินขาวลอยออกมาจากร่างของนางด้วยความเร็วสูงจากนั้นมือใหญ่ของเต๋าเสี่ยวโม่ก็คว้าลงมาและเก็บลูกบอลแสงนั้นไป
“ปรมาจารย์ซู หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าขอตัวพานางไปเลยละกัน ” คังเชินเฟิง กล่าวอย่างรวดเร็ว
เต๋าเสี่ยวโม่ขมวดคิ้วลึก พยักหน้า และตอบว่า: "เจ้าจัดการเองแล้วกัน"
เมื่อเห็น คังเชินเฟิงพาคังไป่หลี่จากไป ทุกคนจากนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ก็พาคนของนิกายหยินหยางกลับไปด้วยเช่นกัน
และสมบัติทั้งหมดของนิกายหยินหยางที่เก็บสะสมมาตลอดเกือบหมื่นปีก็ไดัถูกนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ยึดไป
หลังจากผ่านไปนาน หลังจากที่นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์จากไป ผู้ที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่ต่างก็พุ่งเข้ามา และเริ่มค้นหาว่ามีสิ่งใดเหลือทิ้งไว้หรือไม่
ท้ายที่สุดแล้ว ก็ไม่มีใครพบสมบัติล้ำค่าใดๆเลยในซากปรักหักพัง ไม่นานพวกเขาก็จากไป
ความน่าสะพรึงกลัวของนิกายจักรพรรดิได้ปรากฏให้โลกได้เห็นแล้ว
เหตุการณ์นี้เปรียบเสมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดไปทั่วแดนตะวันตกไกล และยังกระจายไปทั่วทวีปตะวันออกในชั่วข้ามคืน
ผู้คนประหลาดใจกับความน่ากลัวของนิกายจักรพรรดิ ความกลัวในใจของพวกเขายิ่งกลายเป็นลึกซึ้งขึ้นไปอีกจากเดิม
…………
ทุกคนในโลกชอบที่จะเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ช่วยโลกและมีชื่อเสียงไปทั่ว
ชายหนุ่มล้วนแต่มีความหลงใหลเช่นนี้ และคิดเสมอว่าวันหนึ่งพวกเขาอาจจะสามารถทำลายนิกายหยินหยางและฆ่าเย่เฉินได้ด้วยตัวเอง
น่าเสียดายที่ เต๋าซุน นั้นหาใช่วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ไม่และเขาก็ไม่มีความกระตือรือร้นเหมือนกับชายหนุ่มพวกนั้น เขาเพียงแค่อาศัยอำนาจของนิกายตัวเองเพื่อทำลายนิกายหยินหยางและฆ่าเย่เฉินก็พอใจแล้ว
นี่คือกฎของเต๋าซุน เพื่อจัดการกับสิ่งต่างๆแล้ว ตราบใดที่มันบรรลุเป้าหมาย เขาก็ย่อมสามารถทำได้ทุกอย่าง
ส่วนสายตาของโลกนั้นหาได้สำคัญต่อเขาไม่ เขาไม่สนว่าคนอื่นจะมองเขาว่าเป็นจอมมารปีศาจที่น่าหวาดกลัว หรือมองเขาเป็นหนูน้อยเอาแต่ใจแต่อย่างใด
เพราะว่าวันหนึ่งเขาจะเป็นผู้สร้างกฎเกณฑ์ของโลกนี้เอง ผู้ใดที่ติดตามเขาก็จะเจริญรุ่งเรือง ส่วนผู้ใดที่ขวางทางเขาก็จะพินาศ
ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นการคัดเลือกโดยธรรมชาติและมีเพียงผู้เหมาะสมเท่านั้นที่จะอยู่รอด
…………
หลังจากที่ทุกคนกลับมาถึงนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ได้รับแจ้งว่าให้ทุกคนไปที่ห้องประชุม
เมื่อ เต๋าซุน มาที่ห้องโถงหลัก เขาก็พบโลงศพสีขาวบริสุทธิ์วางอยู่ที่ด้านบนของห้องโถงหลัก
ออร่าที่เล็ดลอดออกมาจากโลงศพนั้นเต็มไปด้วยแรงกดดัน
“ข้าขอทราบได้ไหมว่าท่านปรมาจารย์เฟยหงต้องการให้พวกเราทำสิ่งใดหรือ?” เต๋าเสี่ยวโม่ ก้าวไปข้างหน้าและถาม
บรรพบุรุษเฟยหง คือนักรบที่กำเนิดในยุคสมัยจักรพรรดินีหงเทียน และเป็นหนึ่งในบรรพบุรุษที่เก่าแก่ที่สุดของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์
นางไม่เคยออกมาจากโลงศพบรรพบุรุษมาก่อน ไม่ว่ายังไงอายุขัยแท้จริงของนางก็ใกล้สิ้นสุดลงแล้ว และทุกครั้งที่นางออกมา มันย่อมใช้พลังชีวิตและโลหิตจำนวนมหาศาล
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากีดกันผู้สืบทอดมรดกขององค์จักรพรรดินีใช่หรือไม่?” เสียงแผ่วเบาดังมาจากภายในโลงศพ
“ใช่ขอรับ” เต๋าเสี่ยวโม่เหลือบมองผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่ถัดจากเขา จากนั้นหันหัวและพยักหน้า
“นั่นคือผู้สืบทอดมรดกขององค์จักรพรรดินี เจ้าไม่รู้รึไงตัวตนของนางเป็นเช่นไร ” เสียงในโลงศพดูบูดบึ้งเล็กน้อยและพูดเบา ๆ : “เจ้ามีคุณสมบัติอะไรถึงได้ขัดขวางผู้สืบทอดมรดกขององค์จักรพรรดินี ?”
“ผู้สืบทอดของจักรพรรดินีก็เป็นศิษย์ของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่หรือ ?” เต๋าเสี่ยวโม่ ตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยอง: “ถ้านางเป็นศิษย์ของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นข้าในฐานะผู้นำคนปัจจุบันของนิกาย ข้าจะไม่มีสิทธิ์จัดการนางได้อย่างไร ?”
“สถานะของนางนั้นไม่ธรรมดา” เสียงในโลงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วดังขึ้นอีกครั้ง “ถ้าเจ้าฝึกฝนนางให้ดี บางทีเจ้าอาจมีหวังได้แบกรับโชคชะตาในชีวิตนี้ก็ได้”
“ข้าเคยให้โอกาสนางมามากมายแล้วเพราะเห็นนางเป็นผู้สืบทอดมรดกจักรพรรดินี” เต๋าเสี่ยวโม่ ตอบ: “น่าเสียดายที่นางไม่รู้จักพอ ต่อให้นางจะเป็นผู้สืบทอดมรดกขององค์จักรพรรดินีที่ดี แต่ก็ใช่ว่านางจะทำทุกอย่างได้ตามใจตัวเอง ”
“มีบางอย่างที่ข้าไม่สามารถพูดได้ในตอนนี้ เพียงแต่ว่าพวกเจ้าได้ทำลายความพยายามทั้งหมดขององค์จักรพรรดินีไปแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น วันหนึ่งนางจะต้องล้างแค้นนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์แน่นอน ” บรรพบุรุษเฟยหงกล่าวเบา ๆ : “ถ้าเรื่องแค่นี้เจ้ายังไม่สามารถจัดการได้ เช่นนั้นก็ส่งต่ออำนาจให้ผู้อื่นซะ ดูเหมือนความคิดของผู้ที่ยังเยาว์เช่นเจ้าจะหุนหันไม่น้อย เช่นนั้นส่งต่อให้คนรุ่นก่อนเช่นผู้อาวุโสใหญ่ไม่ดีกว่ารึ ”
“ท่านบรรพบุรุษ ข้าเป็นผู้นำนิกายคนปัจจุบันของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่อาจส่งมอบอำนาจให้ผู้อื่นได้เพียงเพราะคำพูดคำพูดเดียว ” เต๋าเสี่ยวโม่ ขมวดคิ้วเล็กน้อยและตอบว่า: "ตามกฎระเบียบ หากท่านต้องการยกเลิกสถานะผู้นำนิกายของข้า ท่านก็จำเป็นต้องรวบรวมเสียงของท่านบรรพบุรุษคนอื่นให้ครบ 4 คน และ 3ใน4 นั้นก็ต้องเห็นด้วยกับท่าน
ยิ่งกว่านั้น การลงคะแนนเสียงครั้งใหญ่จะต้องถูกจัดขึ้นในหมู่ศิษย์ทั้งนิกายด้วยเช่นกัน
หากท่านบรรพบุรุษต้องการยกเลิกสถานะผู้นำนิกายของข้า ข้าก็ย่อมสามารถติดต่อท่านบรรพบุรุษคนอื่นอีกสามคนให้ได้ "
“ไม่จำเป็น ข้าอยู่นี้แล้ว” เมื่อเสียงของ เต๋าเสี่ยวโม่ ลดลง เขาได้ยินเสียงอันกว้างใหญ่ดังขึ้นรอบตัวเขา
ที่ด้านบนสุดของห้องโถง มีชายชราในชุดคลุมสีเทาปรากฏตัวขึ้น
ในตอนนี้ ทุกคนต่างก็คุกเข่าคำนับ ผู้เฒ่าเทพเมฆา แม้แต่บรรพบุรุษเฟยหงก็ไม่มีข้อยกเว้น
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้เฒ่าเทพเมฆาก็เป็นแม่ทัพที่ร่วมต่อสู้มากับจักรพรรดิเจิ้นหวู่เมื่อยุคสมัยเริ่มต้น และอำนาจกับสถานะของเขาก็สูงส่งกว่าบรรพบุรุษเฟยหงหลายชั่วอายุคน
ตอนที่พวกเขาพบเห็นการแบกรับโชคชะตา ตอนนั้นจักรพรรดินีหงเทียนยังไม่กำเนิดด้วยซ้ำ
"ข้าไม่คัดค้านหรอกนะหากเราต้องการจะดูแลศิษย์คนไหนเป็นพิเศษ แต่ทุกอย่างก็ต้องดำเนินไปตามความถูกต้อง " ผู้เฒ่าเทพเมฆากล่าวอย่างสงบ: "การปลดแม่นางน้อยคนนั้นออกจากการเป็นผู้สืบทอดจักรพรรดินีเป็นคำสั่งของข้าเอง หากเจ้าไม่พอใจ ก็มาพูดกับข้าได้โดยตรง ”
“ข้าไม่เคยคิดอยากว่ากล่าวกับท่านผู้เฒ่าเทพเมฆาแม้แต่น้อย แต่เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของนิกายเรา ” เสียงเรียบๆของบรรพบุรุษเฟยหงก็ดังออกมามาจากโลงศพบรรพบุรุษ “ข้าแค่หวังว่าท่านจะไม่มุ่งเป้าไปที่นางอีกในอนาคต ”
“ถ้านางไม่สร้างปัญหาให้กับนิกายของเรา ข้าก็ย่อมไม่ไปยุ่งกับนางอยู่แล้ว แต่หากนางกล้าสร้างความขุ่นเคืองแม้แต่น้อยล่ะก็ นิกายก็จะไม่เมตตาเช่นกัน ” เต๋าเสี่ยวโม่ ตอบ