ตอนที่ 103: บุคคลแรก!
เมื่อเห็นท่าทางของเว่ยหลิงเฟิงเช่นนี้ ฟ่านเซิ่งโจว และคนอื่น ๆ ก็ประหลาดใจในตอนแรก จากนั้นต่อมาก็เข้าใจอีกฝ่าย.
พวกเขาทุกคนต่างก็เข้าใจว่าเว่ยหลิงเฟิง กำลังรู้สึกอับอายต่อหน้าตี้ฟู่.
มิฉะนั้นแล้ว ด้วยบุคลิกที่อหังการเขาจะทักทายจักรพรรดิด้วยความถ่อมตนเช่นนี้ได้อย่างไร?
ถึงอย่างไร.
จักรพรรดิก็เป็นปราชญ์วรรณกรรม และ เว่ยหลิงเฟิง ก็เป็นเสมือนปราชญ์ที่ดีที่สุดเท่านั้น
เขาปลูกฝังมาห้าถึงหกพันปีแล้ว และเขายังไม่อาจเทียบได้ถึงหนึ่งในสามของตี้ฟู่ เขามีคุณสมบัติใดให้ภาคภูมิใจอย่างงั้นรึ?
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาแสดงความภาคภูมิเมื่อเอาชนะฟ่านเซิงโจวได้?
ข้าเกรงว่าในสายตาของตี้ฟู่ ความพึงพอใจภาคภูมิดังกล่าวนั้น ก็ไม่ต่างจากตัวตลกของทุกคนเท่านั้น.
คำพูดถัดไปของเว่ยหลิงเฟิง ยังยืนยันความคิดของทุกคนได้ในทันที
“ชายชรา คิดว่าหลังจากเอาชนะฟ่านเฉิงโจวได้แล้ว จะสามารถเชิดหน้าสูงมองลงไปบนทั่วทั้งทวีปได้”
“แต่ข้าไม่เคยคาดหวังว่า จะมีปราชญ์มองข้าจากด้านข้างอีกครา”
“ผู้ชราเพิ่งรู้ว่า แม้นข้าจะยืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุด แต่ก็ยังมีคนเหนือกว่าข้าอยู่เสมอ!”
มีความแตกต่างกันระหว่างกึ่งปราชญ์และปราชญ์เป็นอย่างมาก.
เมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์หลายร้อยล้านปี มีกึ่งปราชญ์วรรณกรรมหลายร้อยคน.
แต่แทบจะไม่มีปราชญ์ปรากฏขึ้นเลย.
ไม่ต้องเอ่ยถึง หลินซวน ที่กลายเป็นปราชญ์ตั้งแต่อายุยังน้อย นี่คือคนแรกในประวัติศาสตร์
ในขณะนี้ เว่ยหลิงเฟิง มีเพียงความรู้สึกชื่นชมบูชา ที่ไม่สิ้นสุดต่อหลินซวน.
หลินซวนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก: "ผู้คนมีค่าเมื่อรู้จักตัวเอง เมื่อเจ้าทราบตำแหน่งของเจ้าแล้ว ก็ควรทำงานหนักขึ้น"
"ไม่ควรภาคภูมิ พอใจกับความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ!"
“ใช่แล้ว เซียนเซิงเป็นคนที่สายตากว้างไกล ได้รับการสอนแล้ว!” เว่ยหลิงเฟิงโค้งคำนับอีกครั้ง
ถ้าคนอื่นเอ่ยแบบนี้กับเขา เขาจะโต้ตอบและท้าทายกลับไปอย่างแน่นอน
แต่ตี้ฟู่เป็นปราชญ์ทางวรรณกรรมที่มีเกียรติ สิ่งที่เขาเอ่ยนั้นไม่ผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย.
ยิ่งไปกว่านั้น คำเอ่ยของตี้ฟู่ นั้นสมเหตุสมผล เป็นภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่เอ่ยโดยบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าให้การชี้แนะเขา.
เว่ยหลิงเฟิงสามารถได้ยินคำชี้แนะที่สมเหตุสมผลนี้ ถือเป็นโชควาสนาแล้ว.
หลังจากนั้น เว่ยหลิงเฟิง ก็ทักทายหลินซวน อีกครั้ง จากนั้นจึงหันหลังกลับและจากไป
เมื่อฟ่านเซิงโจวเห็นเขาเดินจากไปง่าย ๆ ดูเหมือนพวกเขาจะสามารถปลดปมในหัวใจออกไปได้แล้ว.
ลองคิดใคร่ครวญอย่างดี.
แม้นว่าเว่ยหลิงเฟิงจะถูกตี้ฟู่วิพากษ์วิจารณ์ แต่มันก็ทำให้เขาสัมผัสบางอย่างได้ เขาพบลู่ทางที่จะปรับปรุงตัวเองแล้ว.
เวลานี้เว่ยหลิงเฟิง จะไม่มีความสุขได้อย่างไร ที่ได้รับการชี้แนะจากปราชญ์คนปัจจุบัน?
สำหรับ ฟ่านเซิ่งโจว แม้ว่าเขาจะแพ้ แต่เขาก็สามารถได้รับคำแนะนำจากตี้ฟู่ และมันก็เป็นความพ่ายแพ้ที่รุ่งโรจน์เช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจเรื่องในวันนี้เลย แม้แต่เชิญหลินซวน เข้ามาบรรยายอย่างกระตือรือร้น
หลังจากนั้น ทุกคนแทบรอไม่ไหวที่จะติดตาม หลินซวน เข้าไปในสถาบัน.
พวกเขามั่นใจอย่างยิ่งว่าการได้รับคำสอนจากปราชญ์วรรณกรรมในปัจจุบันจะมีประโยชน์ที่ประเมินค่ามิได้สำหรับการปฏิบัติฝึกฝนในอนาคตอย่างแน่นอน
ชั่วพริบตาสองชั่วโมงก็ผ่านไป
เห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเคลื่อนไปทางทิศตะวันตก
คนห้าหมื่นคนของสถาบันสามก๊กได้มาส่งหลินซวนและบุตรสาวขึ้นราชรถหยกวิหคปีกฟ้า เพื่อกลับเป่ยเสวียนเทียน.
-
เทือกเขากิเลนในถิ่นรกร้างตะวันออก
“เสิ่นเหวินซาน เจ้าหนีพ้นวันนี้ แต่หนีไม่พ้นพรุ่งนี้แน่ ยอมให้จับแต่โดยดี!”
“รีบมอบราชาโสมจักรพรรดิมังกรจื่อหยุนให้กับพวกเราซะ ไม่เช่นนั้นไม่เพียงแต่พวกเราจะสังหารเจ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงศาลาเสวียนหยุนของเจ้าด้วย!”
“ฮึ่ม เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถหลบหนีได้หรือไม่”
เสียงที่โกรธเคืองและหยิ่งผยองดังขึ้นทะลวงหมู่มวลเมฆา
และในเวลาเดียวกันนั้น.
ภายในพงหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ มีร่างที่ดูกระวนกระวายกำลังหนีอย่างรวดเร็ว.
หนึ่งในนั้นคือเหวินหยวนซ่ง ผู้นำหุบเขาเทพโอสถ.
ส่วนชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างเขาก็คือ เสิ่นเหวินซาน ผู้นำศาลาเสวียนหยุนของแดนรกร้างตะวันออก.
เหวินหยวนซ่งและเสิ่นเหวินซานเป็นสหายที่ดีต่อกัน.
เมื่อไม่นานมานี้ บุตรสาวของเสิ่นเหวินซานที่มีอายุน้อยกว่าหนึ่งปี ล้มป่วยกะทันหัน เขาจึงขอให้ราชาโอสถเหวินหยวนซ่งวินิจฉัย.
จากการตรวจสอบแล้ว เหวินหยวนซิ่งก็สรุปว่าโรคแปลก ๆ ของบุตรสาวของเสิ่นเหวินซานสามารถรักษาให้หายขาดด้วย หญ้าวิญญาณชนิดหนึ่งที่เรียกว่า โสมจักรพรรดิมังกรจื่อหยุน
หลังจากสืบสวนตรวจสอบหลายครั้ง เสิ่นเหวินซานก็รู้ว่าอาณาจักรลับในเทือกเขาฉีหลินนั้นมีโสมจักรพรรดิมังกรจื่อหยุนอาจปรากฏขึ้น.
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเชิญเหวินหยวนซ่งเข้าสู่อาณาจักรลับกับเขาเพื่อค้นหาโสมจิตวิญญาณดังกล่าวนี้.
โชคดีเป็นอย่างมากพวกเขาไม่เพียงพบกับโสมจักรพรรดิมังกรจื่อหยุนเท่านั้น แต่ยังกลับได้พบกับราชาแห่งโสมจักรพรรดิมังกรจื่อหยุนอีกด้วย.
ราชาโสมจักรพรรดิมังกรจื่อหยุน ถือเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์!
ตามตำนาน ราชาโสมชิ้นนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากในรอบหลายพันปี เป็นสมบัติจิตวิญญาณที่ยากจะพบเห็นได้.
ทุกครั้งที่เจริญเติบโต รากสีทองจะเติบโต และทั่วทั้งต้นจะก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายของปราณเซียน.
ไม่เพียงแต่มีผลในการเติมพลังปราณและฟื้นฟูจิตวิญญาณเท่านั้น
ยังสามารถช่วยทะลวงจุดฝังเข็มสามร้อยหกสิบจุดบนร่างกายมนุษย์ได้ทันทีด้วย
เมื่อสามารถทะลวงจุดฝั่งเข็ม และปรับปรุงร่างกาย ย่อมทำให้คนผู้นั้นแข็งแกร่งทรงพลังขึ้นในทันที.
แม้แต่คนทั่วไป เมื่อกินราชาโสมนี้แล้ว ก็ทำให้รางกายปรากฏรากวิญญาณ แม้แต่มีคุณสมบัติในการฝึกฝนที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน.
ส่วนผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว จะทำให้พลังบ่มเพาะเพิ่มพูนสูงขึ้นอีกขั้น.
ด้วยเหตุนี้สมบัติจิตวิญญาณนี้จึงเป็นที่ต้องการของทุกนิกายในดินแดนรกร้างตะวันออก.
เป็นเพราะเหวินหยวนซ่งและเสิ่นเหวินซานเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน พวกเขาจึงถูกนิกายอื่นไล่ล่าสังหารพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง
ท้ายที่สุดแล้ว ในโลกแห่งการปลูกฝังความเป็นอมตะ บางครั้งชีวิตมนุษย์ยังห่างไกลที่จะเปรียบเทียบกับโสมวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือนิกายที่ตามล่าพวกเขานั้นแข็งแกร่งมาก
นิกายซานชิง นิกายเทียนหยาน สำนักจิวติงและตำหนักจู่หลิง ต่างก็เป็นนิกายในยี่สิบอันดับของแดนรกร้างตะวันออก.
“หยวนซ่ง ข้าไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะลากเจ้าลงมาในหลุมด้วย!”
ใบหน้าของเสิ่นเหวินซานเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด“ราชาโสมนี้ เจ้านำมันกลับไปรักษาบุตรสาวของข้าด้วย!”
“คนพวกนี้ไล่ล่าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว ถ้าช้าอาจถูกสังหาร อย่าพูดอะไรไร้สาระ รีบหนี!”เหวินหยวนซ่งที่ส่ายหน้าไปมา.
หวึ่ง~
ทันทีที่พวกเขาทั้งสองเอ่ยจบ ลมหลายร้อยลูกก็พัดมาจากพุ่มไม้ข้าง ๆ พวกเขา และร่างหลายร่างก็ปรากฏขึ้น.
เจียงหยวนฟ่านที่ปรากฏขึ้นพร้อมกับยอดฝีมือสี่ห้าร้อยคน พร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างเย่อหยิ่ง“เสิ่นเหวินซาน เจ้าจะหนีไปไหน!”
"ฮ่าฮ่าฮ่า ศาลาเสวียนหยุนถือได้ว่าเป็นนิกายใหญ่ในถิ่นรกร้างตะวันออก ข้าไม่คิดว่าเจ้าซึ่งเป็นหัวหน้านิกายจะไร้ประโยชน์ขนาดนี้!"
สาวกตำหนักจู่หลิงที่อยู่ด้านหลังเจียงหยวนฟ่าน ล้วนแต่เผยสีหน้าเยาะเย้ยเต็มไปด้วยชัยชนะ.
เสิ่นเหวินซานโกรธมากจนกัดฟันและตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอดปูดโปน: "เจียงหยวนฟาน ข้าอยากให้เจ้าตาย!"
ขณะที่เขาชักดาบบินออกมาและกำลังจะต่อสู้จนตาย เหวินหยวนซ่งก็ดึงเขาออกมาทันที
เหวินหยวนซ่งหยิบยาหลากสีออกมาจากแขนของเขาแล้วโยนมันออกไปทันที
ปัง
เม็ดยาระเบิดและกลายเป็นหมอกขนาดใหญ่
“เหวินซาน ไป!”
เหวินหยวนซ่ง ดึงเสิ่นเหวินซานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ เขารู้ว่าเขากำลังต่อสู้กับคู่ต่อสู้อย่างสิ้นหวัง
ต้องรู้ด้วยว่าความแข็งแกร่งของเจียงหยวนฟ่านนั้นไม่ต่างจากเสิ่นเหวินซาน.
เมื่อเสิ่นเหวินซาน บุกฝ่าวงล้อมออกมา ทั่วร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยบาดแผล เวลานี้เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจียงหยวนฟ่านเลย.
โชคดีที่เขาค้นพบทันเวลาว่ายังมียาประสาทหลอนอยู่ในแหวนเก็บของ
หลังจากโยนมันออกไป เมฆหมอกยาก็สามารถระเบิดออกมา เพียงพอที่จะปิดกั้นเจียงหยวนฟ่านและคนอื่น ๆ ได้สักพักหนึ่ง.
ทั้งสองที่วิ่งไปจนสุดทาง.
“นี่…” เหวินหยวนซ่ง มองไปที่หน้าผาที่ไม่มีที่สิ้นสุดด้านหน้า โดยไม่เอ่ยอะไรออกมาพักหนึ่ง.
เสิ่นเหวินซานเผยยิ้มบิดเบี้ยว: "ดูเหมือนว่าวันนี้คงถึงฆาตของข้าแล้วจริง ๆ!"
พลังของทั้งสองที่แทบจะหมดแล้ว หากกระโดดลงจากหน้าผาในเวลานี้ จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
เมื่อได้ยินเสียงของเจียงหยวนฟ่านและคนอื่น ๆ ที่ใกล้เข้ามา เสิ่นเหวินซานก็พ่นโลหิตออกมาเต็มปาก.
“แม้นว่าข้าเสิ่นเหวินซานต้องตายก็ไม่เสียดาย น่าสงสารบุตรสาวตัวน้อยของข้า นางอายุยังไม่ถึงหนึ่งปีเลย!”
“นิกายซานชิง นิกายเทียนหยาง สำนักจิวติง และตำหนักจู่หลิง พวกเจ้ากดดันข้าเพียงเพื่อราชาแห่งโสม.”
“ถ้าข้าตายแม้ข้ากลายเป็นผีข้าก็จะไม่ปล่อยพวกเจ้า!”
เหวินหยวนซ่งก็ส่ายหน้าและถอนหายใจอยู่ด้านข้าง
เขาได้พบกับบุตรสาวของเสิ่นเหวินซานแล้ว
สาวน้อยมีสีขาวอ่อนโยนและยังน่ารักมาก นางถูกห่อด้วยผ้าห่อตัวอย่างสงบ ซึ่งทำให้ผู้คนเอ็นดูตั้งแต่แรกเห็น
น่าเสียดาย……
“สวรรค์ วันนี้ข้าเสิ่นเหวินซานจะต้องตายที่นี่จริง ๆ เหรอ?”
เหวินหยวนซ่งเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ทันใดนั้นเขาก็มองผ่านเมฆหมอกออกไป
ทว่าจู่ ๆ กับมองเห็นราชรถหยกที่หรูหราและมั่งคั่งอย่างคลุมเครือ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างสง่างามภายใต้การดึงลากของวิหคปีกสีฟ้าขนาดใหญ่สี่ตัว